ตอนที่ 710 สุดจะทน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 710 สุดจะทน

ขบวนรถม้าของจังชีเยวี่ยเดินทางมาถึงตรอกจิ่วหยู่

เมื่อลงมาจากรถม้า นางก็ได้ชี้ไปที่ห้างร้านที่เรียงรายกันอยู่จำนวน 5 ร้าน “เป็นที่นี่…ได้ยินมาว่ามีหลายคนยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเเล้ว พอถึงเวลาขายจริง ราคาย่อมสูงลิบลิ่ว แต่ร้านก็ตั้งอยู่บนทำเลทอง พวกท่านเชิญดูก่อนเถิดว่าพอใจหรือไม่ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยมิเคยศึกษาเรื่องการการค้าขายมาก่อน สวี่ซินเหยียนเองก็มิเข้าใจ ส่วนซูซูแม้จะเรียนกับต่งชูหลานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ทว่านางก็ยังมิอาจตัดสินใจได้อยู่ดี

เมื่อมีสตรีรูปงามทั้งห้ามายืนอยู่ในตรอกจิ่วหยู่แห่งนี้ พวกนางย่อมตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณชน

หนานกงตงเซวี๋ยและคู่หมั้นคนอื่น ๆ หันไปจ้องมองจางเพ่ยเอ๋อร์เป็นตาเดียว

จางเพ่ยเอ๋อร์ถึงกับผงะตกใจ เหตุใดพวกเจ้าถึงหันมามองข้ากันเล่า ?

ข้า… ข้าเป็นหนึ่งในชาวยุทธ มิหนำซ้ำยังเป็นพวกที่มีบัตรผ่านของยุทธภพอีกด้วย

นางมองร้านทั้งห้านั้นแล้วสาวเท้าก้าวออกไป ใช้จำนวนก้าววัดขนาดของร้านจากนั้นก็หันไปมองสตรีทั้งสี่นาง… ทั้งห้าร้านนี้ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของตรอกจิ่วหยู่ ด้านซ้ายเป็นร้านขายทองคำ ส่วนด้านขวาเป็นร้านขายเครื่องสำอาง ฝั่งตรงข้ามมีร้านผ้าไหมเรียงรายเป็นแถบ

หากพิจารณาแล้วสินค้าที่วางขายละแวกนี้ล้วนเป็นสินค้าที่หรูหรา ที่นี่จึงมีสถานะเทียบเท่ากับตรอกชิงหลวนในเมืองจินหลิง

ตรอกจิ่วหยู่ที่ทอดยาวนี้มีร้านค้าปิดตัวลงราว ๆ สามในสิบส่วน แม้จะมีผู้คนเดินขวักไขว่พอประมาณ แต่ดูเหมือนคนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยนั้นมิเยอะเท่าที่ควร

สืบเนื่องมาจากปัญหาขาดแคลนประชากรในเมืองว่อเฟิง และร้านรวงที่ถูกปิดไปทั้งหมดก็คงเป็นร้านของพ่อค้าที่ออกจากเมืองว่อเฟิงไปยังแคว้นอี๋แล้วนั่นเอง

“ตามความเห็นของข้า ข้าคิดว่าทั้งห้าร้านควรกว้านซื้อเสียให้หมดเพราะเขามีธุรกิจหลายอย่าง” นางหันไปเอ่ยกับคู่หมั้นทั้งสามคนที่เหลือ คล้ายกับได้ย้อนไปเป็นเด็กสาวที่สดใสแห่งเมืองหลินเจียงอีกครา

สวี่ซินเหยียนมิได้คิดถึงเรื่องอื่น แต่ทว่านางกำลังคิดถึงเรื่องเงินอยู่ “มิรู้ว่าต้องใช้เงินกี่ตำลึงกัน ? ”

“เมื่อก่อนนั้นราคา 1 ร้านอยู่ที่ 12,000 ตำลึง” จังชีเยวี่ยเป็นผู้ตอบกลับ

ซูซูทำท่าทางครุ่นคิด “ราคาถูกกว่าร้านรวงในตรอกชิงหลวนมากนัก”

ในจังหวะที่สตรีทั้งห้ากำลังหารือกันเรื่องห้างร้านอยู่นั้น นายน้อยฉางควนก็ได้นำบริวารทั้งสิบและพ่อค้าอีกสี่คนเดินเข้ามาพอดี

ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันใด…ฮ่าฮ่าฮ่า ถิ่นทุรกันดารเยี่ยงนี้กลับมีสตรีเลอโฉมอาศัยอยู่ด้วย !

คืนก่อนได้ไปเยือนยังเพียวเซียงหยวนรู้สึกว่าสตรีที่นั่นงดงามใช้ได้ แต่ทว่าตอนนี้รู้สึกว่าสตรีที่เพียวเซียงหยวนเทียบกับสตรีทั้งห้าคนนี้มิติดแม้แต่ปลายเล็บ !

ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาพวกนางแล้วเก็บพัดในมือลง จากนั้นก็ได้ยกมือขึ้นคารวะ “คารวะแม่นางทั้งหลาย ข้าน้อยมีนามว่าฉางควน มิทราบว่าสามารถเชิญท่านทั้งห้าไปดื่มด้วยกันที่หอสุ่ยหยุนได้หรือไม่ ? ”

เจ้าหมอนี่ท่าทางจะเสียสติ !

จางเพ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วเป็นปมแต่ก็มิได้แยแสอันใด จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับสวี่ซินเหยียน “พวกเรากลับไปคำนวณว่าต้องใช้เงินกี่ตำลึงจึงจะคุ้มค่าดีหรือไม่ ? ”

พอฉางควนได้ยินดังนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “ไอหยา… แม่นางทั้งหลายต้องการซื้อร้านนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าน้อยขอเอ่ยตามตรงว่าทั้งห้าร้านนี้ข้าได้ส่งหนังสือแสดงเจตจำนงไปเรียบร้อยแล้ว เห็นทีพวกท่านคงจะมิมีโอกาส…”

ซูซูถลึงตาและใกล้บันดาลโทสะออกมาเต็มทน แต่ทว่าสวี่ซินเหยียนได้กระตุกแขนเสื้อของนางไว้ “ไปเถิด… พวกเรากลับกันดีกว่า”

“ช้าก่อน ช้าก่อน ช้าก่อน แม่นางทั้งหลายได้โปรดอย่าเพิ่งไป พวกเรามาหารือกันดีหรือไม่ หากท่านทั้งห้ายอมไปดื่มเป็นเพื่อนข้าน้อย หลังจากที่ข้าได้ร้านเหล่านี้มาแล้ว ข้าจะขายให้พวกท่านในราคาต้นทุน พวกท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

จังชีเยวี่ยลอบคิดในใจว่า ไอ้บ้านี่คงอยากตายเต็มทน !

นางมิอยากให้เป็นเรื่องเป็นราวจึงเอ่ยเพียงสั้น ๆ ว่า “พวกเรากลับกันเถิด”

เมื่อฉางควนเห็นดังนั้นจึงทึกทักเอาว่าสตรีทั้งห้าเป็นชาวอี๋ดั้งเดิม ตัวข้าเป็นถึงนายน้อยตระกูลการค้าอันสูงส่งแห่งราชวงศ์หยู อุตส่าห์ให้เกียรติพวกเจ้า แต่พวกเจ้ายังเมินเฉยต่อกันอยู่อีกหรือ !

ในตอนนั้นเองบริวารทั้งสิบก็ได้เข้ามาขวางทิศทางที่สตรีทั้งห้ากำลังเดินไป ส่วนบุรุษอีก 4 คนก็ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเช่นเดียวกัน

หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีขาว “พวกเจ้าช่างมิรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง นายน้อยฉางเป็นผู้ใดพวกเจ้ารู้หรือไม่ ? การที่ท่านเชิญพวกเจ้าไปดื่มด้วยก็เท่ากับว่าท่านให้เกียรติพวกเจ้า แต่พวกเจ้าตอบแทนด้วยความเมินเฉยเช่นนี่ ช่างบังอาจมากยิ่งนัก ! ”

จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังมาจากกลุ่มของพวกมัน วาจายิ่งไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนฉางควนนั้นได้ก้าวเดินออกมาช้า ๆ

คนที่มุงดูยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาราวกับต้องการหยิกแก้มของซูซู…

ซูซูบันดาลโทสะขึ้นมาในทันใด ดวงตากลมโตของนางจ้องมองศัตรูด้วยความอาฆาต และในขณะที่กำลังจะยกขาขึ้นถีบสั่งสอนฉางควนอยู่นั่นเอง คาดมิถึงว่ามือของฉางควนได้ลอยค้างอยู่กลางอากาศไปแล้ว

จากนั้นซูซูก็หันไปเห็นชายหนุ่มที่นางเคยพบพานตอนที่อยู่ในราชวงศ์อู๋มาก่อน…

จัวตงหลายคว้ามือของฉางควนเอาไว้ !

ฉางควนรู้สึกปวดตรงข้อมือขึ้นมาทันใด “ผู้ใดช่างบังอาจ…”

ยังมิทันสิ้นเสียง จัวตงหลายก็ได้สะบัดมือออก จากนั้นร่างของฉางควนก็ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ

“อ๊าก…ช่วยข้าด้วย… ! ”

ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน จากนั้นก็บังเกิดเสียงดัง ‘ตุบ… ! ’ ร่างของฉางควนร่วงหล่นลงสู่พื้น ที่ห่างออกไปหลายจั้ง มิหนำซ้ำยังตกมาแรงจนรู้สึกมึนงง

บริวารทั้งสิบตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือด “นายน้อย… ! ”

สามในสิบคนได้วิ่งไปทางฉางควน ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือได้พุ่งเข้าไปหาจัวตงหลาย

“ผั๊วะ ผั๊วะ ผั๊วะ… ตุบ ตุบ ตุบ…”

พวกบ่าวรับใช้มิได้เป็นวรยุทธ์ พวกเขาเพียงแค่มีร่างกายกำยำเท่านั้นเอง พวกเขาย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของจัวตงหลาย บริวารของฉางควนจึงถูกจัวตงหลายจัดการจนต้องล่าถอย และบัดนี้จัวตงหลายกำลังแสดงความเคารพต่อหน้าหนานกงตงเซวี๋ยและอีกสี่คนที่เหลือ

“คาดมิถึงเลยว่าท่านจะมาถึงก่อนข้า”

หนานกงตงเซวี๋ยแสดงความเคารพตอบแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “องค์ชายตรัสว่า…พวกท่านมาช้าไปหน่อย”

จัวตงหลายพลันหน้าแดงเรื่อ “ข้าแวะดูสิ่งต่าง ๆ ระหว่างทางมากไปหน่อยน่ะ”

“แล้วท่านพบเห็นสิ่งใดมาบ้างเล่า ? ”

“พบว่าองค์ชาย…ช่างมีพระปรีชาสามารถมากยิ่งนัก”

หนานกงตงเซวี๋ยยิ่งรู้สึกชอบใจ “ท่านแทบมิเคยเอ่ยปากชมผู้ใดเช่นนี้มาก่อนเลยนี่”

จัวตงหลายส่ายศีรษะ “เพราะข้าในเยาว์วัยนั้นช่างแสนโง่เขลาต่างหาก”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ฉางควนก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วเช็ดเลือดที่กลบเต็มปาก เขาเพ่งเล็งจัวตงหลายด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมอำมหิต จากนั้นก็ชักมือข้างหนึ่งออกมา ซึ่งของที่อยู่ในมือก็คือปืนคาบศิลา !

“พวกเจ้าจงไปลงนรกเสีย ! ”

คิ้วเรียวงามของซูซูขมวดมุ่น และในชั่วอึดใจนั้นเอง นางก็ได้ชักปืนออกมาแล้วลั่นไกโดยมิลังเล

‘ปัง… ! ’

ฉางควนล้มตึงลงกับพื้นหลังจากเสียงปืนสิ้นสุดลง

ในขณะเดียวกันนั้น ฝูงชนที่รายล้อมก็ได้ร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจกับเสียงปืน

จัวตงหลายหันกลับไปมองว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ส่วนซูซูที่ถือปืนได้เดินไปหยุดอยู่ข้างกายของฉางควนแล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบข้อมือของฉางควนเอาไว้ นางก้มลงไปหยิบปืนของเขาขึ้นมา

กระสุนที่เมื่อครู่ได้ยิงออกมาอย่างเร่งรีบได้ฝังไปที่บริเวณท้องด้านซ้ายของเขา แน่นอนว่าย่อมมิถึงกับเอาชีวิตของเขาได้

ในยามที่ซูซูอยากอัดกระสุนไปอีก 1 นัด สวี่ซินเหยียนก็ได้ตรงเข้ามา จากนั้นก็ได้สะกิดแขนเสื้อนางเอาไว้ สวี่ซินเหยียนส่ายศีรษะห้ามปรามนางเบา ๆ จนแทบจะมิสังเกตเห็น

ฉางควนยกมือขึ้นประคองท้องแล้วร้องโอดครวญ “อ๊าก…พวกเจ้า พวกเจ้าสมควรตายให้หมด ! ข้าจะฟ้องร้องต่อติ้งอันป๋อ ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายโดยไร้ที่ฝัง ! ”

ซูซูเลิกคิ้วแล้วส่งยิ้มเริงร่าให้กับเขา จากนั้นก็ออกแรงที่เท้าส่งผลให้ฉางควนส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาราวกับหมูที่กำลังถูกเชือด

“ไปกันเถิด”

“อืม… ปล่อยให้มือของมันพิการไปข้างหนึ่ง”

ในหมู่ฝูงชนที่มามุงดูนั้นมีบุตรชายของเฉียวลิ่วเยอยู่ด้วย บัดนี้เขากำลังมองตามแผ่นหลังของจังชีเยวี่ยแล้วยกยิ้มขึ้นมา จากนั้นจึงหันไปสั่งการลูกน้องที่อยู่ข้างกายว่า “วันไหว้พระจันทร์นี้จงนำเทียบเชิญไปเชิญคนเหล่านี้มาร่วมฉลองกับข้า”