บทที่ 6 บทที่ 52 ลิลลี่สีขาว

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

เฉิงอี้หรานจ้องหลี่จื่อเฟิงเขม็ง คล้ายอยากมองคนคนนี้ให้ทะลุ 

 

ส่วนหลี่จื่อเฟิงก็หัวเราะออกมาและเอ่ยว่า “อี้หราน เพราะผมหาคุณมากับมือ ผมต้องหวังให้คุณโด่งดังอยู่แล้ว! และยิ่งหวังให้คุณทำเงินได้มากๆ ด้วย!” 

 

หลี่จื่อเฟิงหยุดครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ยิ่งคุณไปสู่จุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตผมถึงจะดียิ่งขึ้น! อี้หราน ผมกับคุณไม่ใช่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่ผมกับคุณเป็นพี่น้องที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน” 

 

เขาเริ่มพูดว่า “ถ้าไม่มีริมฝีปากฟันก็จะเย็น หลักการง่ายมาก คุณไปได้ดีผมถึงไปได้สวย ส่วนทำไมผมถึงช่วยคุณ? นั่นก็เพราะผมลงทุนกับตัวคุณ ที่ลงทุนก็เพื่อต้องการได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากคุณในอนาคต! คุณคิดว่าผมอยากจะเห็นคุณล้มเหลวงั้นเหรอ? ไม่มีทาง!” 

 

เฉิงอี้หรานไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของหลี่จื่อเฟิงได้ ทุกคำล้วนแต่มีเหตุผล…ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ 

 

ที่น่าตลกก็คือ ความสัมพันธ์แบบผลประโยชน์กลับแน่นแฟ้นยิ่งกว่าความสัมพันธ์พี่น้องง่อยๆ ของเขากับหงก้วนเสียอีก 

 

เฉิงอี้หรานหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็พยักหน้า สูดหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า “หลี่จื่อเฟิง บุญคุณที่คุณช่วยผมในครั้งนี้ ผมจะไม่มีวันลืม คุณพูดถูก มีเพียงความสัมพันธ์แบบผลประโยชน์เท่านั้นถึงเหนียวแน่นมากที่สุด…ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง และจะไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าการลงทุนของคุณล้มเหลวอย่างเด็ดขาด!” 

 

เฉิงอี้หรานพูดด้วยท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม “รอดูเถอะ การแสดงครั้งแรกนี้ ผมจะให้ทุกคนมาสยบแทบเท้า!” 

 

 “ผมชอบความทะเยอทะยานของคุณจริงๆ!” 

 

หลี่จื่อเฟิงหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็ตบไหล่ของเฉิงอี้หราน “คุณพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องต่อไป ผมจะจัดการให้เรียบร้อย! เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็ตั้งใจเรียนนะ! ผมจะรอวันที่คุณโด่งดังและคืนเงินสามล้านให้ผม!” 

 

เฉิงอี้หรานตอบกลับไปว่า “แน่นอนครับ” 

 

หลังจากหลี่จื่อเฟิงจากไปไม่นาน ประตูห้องของเฉิงอี้หรานก็ถูกเปิดออก 

 

วันนี้มีผู้หญิงสวยคนละสไตล์มาอีกคนหนึ่ง…ผู้หญิงคนนั้นตั้งใจยั่วยวนเต็มที่ 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะอารมณ์เสียหรือต้องการระบายอะไรสักอย่างจริงๆ…หรือบางทีอาจเป็นเพราะหงก้วนทำให้เขาเห็นได้ชัดถึงความหมายของคำว่า ‘พี่น้อง’  

 

เฉิงอี้หรานคว้าจับตัวผู้หญิงที่ไม่รู้จักตรงหน้าอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งสัตว์ป่า ยิ่งได้ยินเสียงครางอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายก็ยิ่งส่งให้ความสุขแผ่กระจายไปทั่วร่าง  

 

เขาค่อยๆ จมดิ่งลงในความอ่อนโยน ภายในห้องค่อยๆ เต็มไปด้วยเสียงครางของชายหญิง แน่นอนว่าห้องนี้เก็บเสียงได้ดีมาก ถึงจะใช้หูแนบกับผนังก็ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

 

แต่หลี่จื่อเฟิงไม่เพียงแต่ได้ยิน แต่เขายังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา 

 

ภายในห้องทำงาน หลี่จื่อเฟิงหรี่ตาลงเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาและหัวเราะเบาๆ เขาจิ้มลงหน้าจอเบาๆ เพื่อปิดจอภาพ “เจ้าโง่สองคน…” 

 

ทันใดนั้นเองหลี่จื่อเฟิงก็ตบแก้มตนเอง จากนั้นก็ส่องหน้าต่างกระจกด้านหลังตนเอง แล้วปรับสีหน้าของตนเอง “อย่าทำหน้าน่าเกลียดขนาดนั้น” 

 

แต่หลี่จื่อเฟิงมองไม่เห็นใบหน้าแก่ๆ ใบหน้าหนึ่งที่กำลังจ้องมองหน้าเขาจากนอกหน้าต่างกระจกของชั้นยี่สิบกว่าๆ 

 

เป็นใบหน้าแก่ๆ กับหัวระเบิด…และเขาก็คือทูตภูตดำตนใหม่ของสมาคม 

 

… 

 

หากใช้คำศัพท์นิยมมากในอินเทอร์เน็ตมาอธิบายแล้ว ตอนนี้ไท่จื่ออินก็รู้สึกเหมือนมีอัลปาก้าหนึ่งหมื่นตัวกำลังผสมพันธุ์กันอย่างบ้าคลั่งในหัวใจของเขา? 

 

จะแหวกฟ้าเลยงั้นหรือ? 

 

คุกเข่าลงแป้นพิมพ์? เจ้าของสมาคมต้องถามเขาว่าทำไมต้องคุกเข่าและอ่านมัน? 

 

ใครกันแน่ที่เป็นทูตภูตดำ…หลี่จื่อเฟิง เจ้าเป็นทูตภูตดำปลอมตัวมาหรือเปล่า? 

 

ทำไมถึงได้เชี่ยวชาญขนาดนี้? 

 

สอนข้าหน่อยดีไหม…ฮึ่ม!! 

 

“แต่หากพัฒนาเช่นนี้ต่อไป ตามนิสัยของนายท่านแล้วคงไม่ชอบใจแน่ และก็หมายถึง…” ไท่จื่ออินครุ่นคิดขึ้นมา ไม่ได้สังเกตว่าด้านหลังตนเองมีอีกาบินผ่าน 

 

หลังจากอีกาบินผ่านไปแล้ว ไท่จื่ออินยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดไข่ “แม่มันสิ นี่ก็หมายถึงครั้งนี้ข้าจะทำคะแนนดีๆ ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” 

 

ถึงเขาจะละทิ้งความอยากเป็นทูตภูตดำหมายเลขหนึ่ง และไม่คิดเป็นคนที่นายท่านเรียกใช้มากที่สุด แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรี!! เป็นถึงทูตภูตดำ แต่กลับเทียบไม่ได้กับความเจ้าเล่ห์ของมนุษย์? 

 

น่าขายหน้าเกินไปแล้ว… 

 

“ไม่ได้การแล้ว! ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง!” ไท่อินจื่อหันกายในทันใด เพื่อปกป้องสถานะของเขา! 

 

… 

 

… 

 

ดอกไม้ที่ปักอยู่บนแจกันนั้นคือลิลลี่สีขาว 

 

นี่เป็นหนึ่งในพันธุ์ของดอกไม้ที่ท่านผู้หญิงจางชอบ…อีกอย่างภายในช่วงสองอาทิตย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้พันธุ์ไหนก็สามารถหาได้ 

 

เพราะเมืองแห่งนี้ปรากฏเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานในชั่วข้ามคืน หลังจากวันที่แผ่นดินไหวและปรากฏรูขนาดใหญ่บนแม่น้ำ ก็ดูเหมือนฤดูได้เปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิในชั่วข้ามคืน 

 

จางชิ่งหรุ่ยใช้สองมือจัดกิ่งดอกไม้ ทำให้ดอกลิลลี่สีขาวเหล่านี้กระจายอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นจากนั้นถึงได้หันไปมองย่าของตนเอง 

 

จางหลี่หลันฟางตกใจเพราะหนูบุกจนหกล้ม เพราะเธออายุมากแล้วดังนั้นเมื่อสะดุดล้มจึงเกิดปัญหามาก เช่นในครั้งนี้ หญิงชราล้มจนกระดูกหักและต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว 

 

 “หลานไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนย่าทุกวันก็ได้” จางหลี่หลันฟางมองจางชิ่งหรุ่ยอย่างอ่อนโยน 

 

 “ไม่เป็นไรค่ะ” จางชิ่งหรุ่ยยิ้มและมานั่งข้างเตียงของจางหลี่หลันฟาง ก่อนเริ่มปอกส้มอย่างตั้งอกตั้งใจ “เรื่องทางบริษัทก็มีลุงซือคอยดูแล ส่วนทางร้านกู่เย่ว์ไจก็ไม่มีเรื่องด่วนอะไร ช่วงนี้คาบเรียนก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หนูไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยมาหลายวันแล้ว” 

 

 “แต่ก่อนหลานชอบพูดว่าอยากอิสระเล็กน้อยนี่ไม่ใช่เหรอ?” ทันใดนั้นจางหลี่หลันฟางก็เอ่ยถามออกมา 

 

จางชิ่งหรุ่ยยิ้มและพูดว่า “ตอนไม่มีนั้นคิดถึง แต่เมื่อพบว่ามีอยู่แล้วกลับไม่ได้คิดเหมือนเมื่อก่อน” 

 

 “เป็นเพราะเหลือตัวคนเดียวใช่ไหม?” จางหลี่หลันฟางหัวเราะออกมา 

 

จางชิ่งหรุ่ยรู้ว่าย่าของตัวเองหัวเราะเรื่องอะไร…ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงย่าของเธอเองเท่านั้น แม้แต่ซือซื่อเจี๋ยหรือลุงซือก็ยังเข้าใจผิด ว่าเธอกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนประหลาดคนนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน 

 

แต่คุณหนูจางก็รู้เรื่องราวของตัวเองดี ที่เธอสนใจเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนั้นเป็นพิเศษนั้นไม่ได้เป็นเพราะความรักระหว่างชายหญิง แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น 

 

แต่เธอจะให้พูดยังไงดี? หรือจะบอกย่าของตัวเองว่าเจ้าของการ์ดเชิญสีดำลึกลับที่ตระกูลจางเก็บรักษาเอาไว้ เป็นของลั่วชิวเพื่อนร่วมชั้นที่ย่าและลุงซือคิดว่าสืบจนละเอียดดีแล้วคนนั้น?  

 

พอได้ยินว่าเขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย จางชิ่งหรุ่ยก็ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมชั้นเรียนลึกลับคนนี้มาหลายวันแล้ว แต่สำหรับคุณหนูจางคนนี้แล้ว จะเจอหรือไม่เจอก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ 

 

 “จริงสิ ทางบริษัทใหม่เป็นยังไง?” ทันใดนั้นจางหลี่หลันฟางก็ถามขึ้นมา ด้วยหญิงชรารู้สึกได้ว่าหลานสาวของตัวเองกำลังใจลอย 

 

จางชิ่งหรุ่ยเริ่มจัดการธุรกิจของร้านกู่เย่ว์ไจตั้งแต่ยังเล็ก ผ่านการฝึกฝนมาหลายปี นอกจากที่เธอจะสุขุมกว่าคนวัยเดียวกันแล้ว ยังได้ฝึกความสามารถการจัดการหลายอย่างพร้อมกันอีกด้วย 

 

 “ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร” จางชิ่งหรุ่ยตอบอย่างสงบ “หนูได้ดูแผนงานที่จงลั่วเฉินส่งมาแล้วค่ะ เขาทำได้ดียิ่งกว่าที่หนูคิดเอาไว้อีก หนูหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลย…หรืออาจจะเป็นเพราะหนูยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ” 

 

 “คนของตระกูลจงยังมีความสามารถอยู่สินะ” 

 

จางหลี่หลันฟางพูดว่า “หลานหาข้อผิดพลาดออกมาไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงจงลั่วเฉินมักจะถูกเจ้าสัวจงส่งไปตามที่ต่างๆ และทุกๆ ครั้งก็จะให้งานไม่สลักสำคัญมา แต่ความจริงแล้วกำลังขัดเกลาฝีมือของเขา ถึงคุณชายใหญ่ตระกูลจงจะได้จัดการกิจการหลักของตระกูลจงซึ่งดูแล้วมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ในความเป็นจริงนั้นเจ้าสัวจงรักคุณชายรองตระกูลจงคนนั้นมากกว่า” 

 

จางชิ่งหรุ่ยขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าหากจงลั่วเฉินอาศัยการร่วมมือกับพวกเราเปิดบริษัทใหม่เพื่อเพิ่มคะแนนและไม่ทำให้ภายในตระกูลจงเกิดการล่มสลาย หากเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเราเข้าไปยุ่งกับการสืบทอดทายาทตระกูลจง…คุณย่าคะ หนูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องเข้าไปยุ่งด้วย?” 

 

จางหลี่หลันฟางกลับตอบว่า “ย่ามีความคิดของย่า หลานแค่ดูการดำเนินงานของจงลั่วเฉินในบริษัทใหม่นี้ให้ดีก็พอ อย่าปล่อยให้เขาอยู่เหนือหลานได้ นับตั้งแต่อาการป่วยของเจ้าสัวจงดีขึ้นมาแล้ว จงลั่วเฉินก็ดูต่างจากเมื่อก่อน ถ้าบอกว่าเมื่อก่อนเขาเป็นเด็กเยี่ยมยอด เป็นอัญมณีที่ยังไม่ได้ขัดเกลาก็เกือบจะสมบูรณ์แบบ งั้นตอนนี้เขาก็เป็นหยกอันเกลี้ยงเกลาที่ผ่านการขัดเกลาแล้ว แต่น่าเสียดายที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวจักรพรรดิ*” 

 

 “คุณย่าหมายถึง…อุบายเหรอคะ?” จางชิ่งหรุ่ยถามอย่างมึนงง 

 

จางหลี่หลันฟางพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นคนที่สามารถทำการใหญ่ได้ หรุ่ยเอ๋อร์ หลานไม่คิดจะพิจารณาสักหน่อยเหรอ?” 

 

จางชิ่งหรุ่ยกลับส่ายหน้าและพูดเบาๆ ว่า “หนูยังอยากมีอิสระอีกสักหน่อย” 

 

จางหลี่หลันฟางไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองออกนอกหน้าต่างเงียบๆ กลิ่นหอมของดอกลิลลี่สีขาวชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่เธอเคยโหยหาอิสระ 

 

 “ปิดหน้าต่างเถอะ ย่าหนาวแล้ว” 

 

หญิงชราค่อยๆ หลับตาลง 

 

 

 

*สีเขียวจักรพรรดิ คือสีเขียวเข้มมากของหยก