บทที่ 809 ปลอมตัว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บุรุษในชุดคลุมสีเขียวสวมหน้ากากกระทิงซึ่งทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก นัยน์ตาของบุรุษผู้นั้นทอประกายความโหดเหี้ยมและความเย็นชาที่ราวกับว่าจะทำให้อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงออกมา เป็นแววตาที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องก้าวถอยหลังและหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องด้วย

หวังเป่าเล่อกะพริบตา สายตาของชายหนุ่มหันมาจับจ้องบุรุษผู้นั้น และก่อนที่เขาจะทันได้เบือนสายตาหนี บุรุษในชุดเขียวก็สังเกตเห็นเข้าก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีปัญหากับหน้ากากสุกรที่หวังเป่าเล่อสวมอยู่ จึงจ้องมองกลับมาก่อนจะยิ้มเยาะ

“คราวก่อนที่ข้าเข้าร่วมภารกิจนี้ ข้าคิดว่าบุรุษที่สวมหน้ากากสุกรช่างน่ารำคาญ จึงฆ่าเขาเสีย เจ้าอยากไปพบเขาหน่อยไหมเล่า”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มเพิ่งจะมาถึงที่นี่และยังไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการจะต่อสู้ตอนนี้ อีกประการหนึ่งคือเวลานั้นมีจำกัด และหากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อคงจะกระโดดเตะหน้าบุรุษผู้นั้นไปแล้ว

แน่นอนว่ายังมีปัญหาเรื่องที่เขาไม่สามารถบอกระดับปราณของบุรุษผู้นั้นได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจก่อนจะเดินจากมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหมุนตัวพุ่งทะยานจากไปด้วยความเร็วสูง

บุรุษกำยำผู้นั้นหัวเราะเยาะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหันหลังเดินจากไป มีประกายเย้ยหยันสะท้อนอยู่ในดวงตาขณะที่เอ่ยปากพูด

“ไอ้คนขี้ขล…” ประโยคที่เขาตั้งใจจะพูดคือ “ไอ้คนขี้ขลาด” แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจนจบพยางค์ เมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน แม้หน้ากากจะปิดบังพลังปราณของผู้เข้าร่วมภารกิจ ทำให้ไม่อาจล่วงรู้ระดับปราณของกันและกันได้ แต่ระดับปราณยังสามารถมองเห็นได้จากความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้ฝึกตนนั้นๆ ด้วย

นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมีความเร็วสูงยิ่ง ชายหนุ่มอาจอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย แต่ความเร็วของเขาเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ไปแล้ว ทำให้บุรุษในหน้ากากกระทิงถึงกับต้องกลืนพยางค์สุดท้ายของเขาลงคอไปด้วยความตกตะลึง

ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่มองเห็นความเร็วของหวังเป่าเล่อก็อดนึกไปถึงระดับปราณของชายหนุ่มไม่ได้ ทุกคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยความเร็วต่างๆ กัน คนที่ช้าที่สุดอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น มีอยู่สี่คนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง…แสดงให้เห็นถึงความเร็วขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสี่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างแนบเนียน การแสดงพลังขึ้นมาอย่างปุบปับของพวกเขาทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงเหงื่อกาฬแตก

มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนมาด้วย เกินคาดจริงๆ! บุรุษร่างกำยำเริ่มสำนึกเสียใจกับการพูดโอ้อวดเมื่อครู่ หลังจากที่ยืนอับอายอยู่ระยะหนึ่ง เขาก็รีบรุดออกเดินทางไปเช่นกัน

ผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจกว่าสองร้อยคนที่เพิ่งมาถึงต่างก็แยกย้ายกระจายตัวกันออกไปทั่วทะเลทรายสีขาว

สถานที่นี้เป็นดินแดนรกร้างซึ่งมีวัชพืชขึ้นอยู่ประปราย ส่วนใหญ่ถ้าไม่แห้งตายไปแล้วก็มีสภาพใกล้ตาย พลังชีวิตของดาวเคราะห์ดวงนี้รวมถึงปราณวิญญาณกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทราย ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่กำลังถูกดูดออกไปจากดาวดวงนี้ แม้ว่าจะเพิ่งมาถึง เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงระดับปราณวิญญาณที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ จากดาวดวงนี้

หากยังสูญเสียปราณวิญญาณมากขนาดนี้ อีกเพียงสามถึงห้าวัน…ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะตายลงไปอย่างสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้าขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปในดินแดนเวิ้งว้าง ชายหนุ่มพร้อมเต็มที่ที่จะสำรวจพื้นที่ แต่จู่ๆ…ก็มีเสียงแผ่วจางดังก้องขึ้นมาในหู

“คนนอก…ช่วยข้าด้วย…”

น้ำเสียงนั้นทั้งแก่ชราและแหบพร่าราวกับถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา ฟังดูอ่อนล้าอย่างรุนแรง คล้ายมาจากชายชราที่กำลังจะสิ้นใจ และใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการขอความช่วยเหลือ

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดเท้า เขากลับเร่งความเร็วขึ้นและมุ่งหน้าไปอีกทิศทางหนึ่ง ก่อนจะปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาตรวจดูไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มสำรวจจนทั่วทั้งท้องฟ้าและใต้พื้นดินแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

น้ำเสียงอันเจือจางและอ่อนล้าเลือนหายไปหลังจากที่ร้องขอความช่วยเหลือ ทำเอาหวังเป่าเล่อสงสัยขึ้นมาจับใจ

ประสาทหลอนหรือ เป็นไปไม่ได้! ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็ก้มลงมองผืนแผ่นดินอันแห้งแล้ง พลางสงสัยว่าเสียงนั้นจะใช่เสียงของดาวเคราะห์ดวงนี้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คำอธิบายอีกอย่างที่เป็นไปได้ก็คือ…ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าหวังเป่าเล่อจนเกินจะจินตนาการผู้นั้น ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณนี้และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมา

ไม่ว่าจะเป็นข้อใด หวังเป่าเล่อก็ไม่คิดโอ้เอ้ ชายหนุ่มเร่งความเร็วอีกครั้งก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าต่อไปยังดินแดนรกร้างห่างไกล เดินหน้าไปอีกร่วมสิบห้านาทีจึงเห็นขอบของทะเลทรายและ…บรรดาซากปรักหักพังที่รายล้อมทะเลทรายเอาไว้

รูปแบบสถาปัตยกรรมของซากปรักหักพังเหล่านั้นต่างจากสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเหมือนพีระมิด โครงกระดูกที่แห้งกรังและคงสภาพอยู่เพราะอากาศแห้งแล้งในทะเลทรายปรากฏอยู่ทั่วบนซากเหล่านั้น รูปร่างของพวกมันคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวใหญ่กว่า

เห็นได้ชัดว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัย บางทีอาจจะเป็นที่ตั้งสำนักเสียด้วยซ้ำ แต่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น โครงกระดูกที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วบริเวณแสดงให้เห็นว่าการสังหารหมู่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

ราวๆ เดือนหนึ่งกระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากนิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็มองกวาดไปรอบกายก่อนที่ร่างกายภายนอกจะแปรสภาพไป มีแขนสี่ข้างและสองศีรษะโผล่ออกมาจากร่าง หน้ากากสุกรยังแปรสภาพเป็นสิ่งอื่นอีกด้วย ขณะนี้หวังเป่าเล่อดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมภารกิจ แต่กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นแทน!

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเล็กน้อย จากนั้นก็พยายามพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเบาๆ สองสามคำ ทันทีที่คุ้นเคยกับภาษานี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ระมัดระวังตัวอีกต่อไป แต่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างอุกอาจข้ามทะเลทรายไป หวังเป่าเล่อกำลังจะเร่งความเร็วผ่านทุ่งหญ้า แต่สายตาของเขาก็พบอะไรบางอย่างทางด้านขวาเสียก่อน

มีเสียงคำรามแผดร้องก้องขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า ตามด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังสนั่น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้น คนเหล่านั้นหัวเราะไปพลางวิ่งแข่งกันไปพลาง คนที่อยู่ตรงกลางมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจับศีรษะของเด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าโดนคาถาบางอย่าง มีควันสีเขียวลอยออกมาจากดวงตา รูจมูก ปาก และหูของเด็กหนุ่ม เข้าไปยังฝ่ามือของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ขณะที่ใบหน้าของเชลยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เส้นเลือดเต้นตุบๆ อยู่บนขมับของเด็กหนุ่ม ในขณะที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและความเกลียดชัง

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มกวาดสายตาไปพบ พวกเขาหยุดวิ่งทันที หนึ่งในกลุ่มนั้นมองเครื่องแต่งกายของหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัยก่อนจะตะโกนถาม

“เจ้ามาจากลุ่มใดกัน”

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบคำ ชายหนุ่มพินิจสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นก่อนจะลงความเห็นว่ามีสองคนที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ คนที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะเป็นผู้นำกลุ่ม แต่ก็ยังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น

หวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็อยู่กลุ่มพวกเจ้าอย่างไรเล่า”

เมื่อเห็นคนพวกนั้นชะงักไป หวังเป่าเล่อก็จู่โจมทันที ชายหนุ่มพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกเข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้

ชายหนุ่มรวดเร็วเกินไป จนมีเพียงผู้นำกลุ่มเท่านั้นที่เคลื่อนไหวหลบได้ทันท่วงที แม้กระนั้นก็ยังมีใบหน้าตื่นตะลึง ส่วนคนที่เหลือ…รวมถึงผู้ถึงตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไม่มีโอกาสได้หนี พวกเขาถูกหมอกเข้าปกคลุม ก่อนจะเหี่ยวแห้งตายไปเพราะถูกเกราะจักรพรรดิสูบพลังชีวิตและวิญญาณก็ถูกวิชาดวงเนตรปีศาจแย่งชิงไป  คนพวกนี้ไม่มีโอกาสกระทั่งจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ก่อนที่…จะตายในหมอกและถูกทำลายหายไป…ทั้งร่างกายและวิญญาณ!

ผู้นำกลุ่มที่ถอยออกไปได้ทันเวลาและเหมือนว่าจะหลบหมอกไปได้ ก็ไม่อาจหนีโชคชะตาไปได้พ้น แขนขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากหมอกและจับศีรษะของเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับที่เขาจับศีรษะของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ มีเสียงจากหมอกกระซิบออกมาว่า “ค้นวิญญาณ” ดวงตาของผู้นำกลุ่มเบิกโพลง ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด

เขาร้องออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะถูกหมอกปกคลุมไปเช่นกัน จากนั้นเสียงของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง พักใหญ่ต่อมา หมอกก็ควบแน่นเข้าด้วยกันและกลับมาเป็นกายหยาบของหวังเป่าเล่ออีกครา แสงประหลาดส่องสว่างอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มได้ข้อมูลจำนวนมากของดาวดวงนี้มาจากการค้นวิญญาณ!

เขารู้แล้ว…ว่าหลังจากการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ราวหนึ่งเดือนก่อน สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากที่อยู่บนดาวเคราะห์ได้หลบหนีไป เหลือรอดอยู่เพียงค่ายทหารเดียวเท่านั้น มีผู้ฝึกตนราวสามแสนชีวิตที่ได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดและดูแลดาวเคราะห์ดวงนี้

ค่ายนั้นอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปไม่น้อย แต่ด้วยความเร็วของเขา ชายหนุ่มจึงน่าจะไปเดินทางไปถึงได้ภายในสองชั่วโมง

เขายังรู้ด้วยว่า ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในค่ายนั้นเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย และรู้อีกว่าทั้งค่ายนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพียงคนเดียว ที่นี่เคยมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดูแลอยู่ แต่เพราะมีธุระต้องสะสาง คนผู้นั้นจึงออกจากดาวเคราะห์ไปได้หนึ่งเดือนแล้ว

ค่ายทหาร…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปากก่อนจะหันมาวัดระดับพลังปราณของตนเอง ซึ่งแข็งแกร่งขึ้นจากการสังหารผู้ฝึกตนเจ็ดคนก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อมองลงไปยังชายหนุ่มผู้ที่ใกล้ถึงความตาย มีความซาบซึ้งใจฉายชัดอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้น ราวกับกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ทำไม่ได้ จนสุดท้ายชีวิตก็หลุดลอยออกจากร่าง

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ชายหนุ่มโบกมือครั้งหนึ่ง เพื่อส่งทรายมากลบศพของเด็กหนุ่มเอาไว้แทนการฝัง ก่อนที่เขาจะหันหลังและออกเดินทางอีกครั้ง หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มและมุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร

 ………………………..