ตอนที่ 208 ธาตุแท้ที่ถูกปกปิดไว้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เหวินเฟิงกะพริบตาปริบๆ หันกลับเข้าไปมองในบ้านของตน และพูดอย่างเกรงกลัวว่า “ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์นอนหลับไปแล้วขอรับ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันวันพรุ่งได้หรือไม่ขอรับ”

 

 

ไฟโกรธในใจของนายท่านเหวินปะทุขึ้นมา พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “หรือเจ้าอยากให้พ่อสั่งคนไปจับนางมาเอง”

 

 

“ท่านพ่อ” เสียงของเหวินเฟิงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว พาคนมาบุกรุกเรือนของลูกดึกๆ ดื่นๆ และยังมาประกาศปาวๆ อีกว่าจะขอเจอภรรยาของลูก หากเรื่องนี้แพร่ออกไปข้างนอก คนเขาจะหัวเราะเยาะท่านเอาได้นะขอรับ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดก้าวร้าวของเขาเช่นนี้ ร่างของนายท่านเหวินซวนเซไปเล็กน้อย โกรธจนแทบจะลมจับ ลูกชายคนนี้ของเขา แต่ก่อนเป็นคนรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี แต่เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

 

เมื่อเห็นว่านายท่านเหวินมีท่าทางแปลกไป เหวินเฟิงทำท่าจะเดินเข้ามาพยุงเขาอย่างลืมตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงได้ชักฝีเท้ากลับไป

 

 

นายท่านเหวินเห็นท่าทีของเขาแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก นี่เป็นลูกที่เขาเลี้ยงดูประคบประหงมมาจนโตจริงๆ หรือ!

 

 

การตัดสินใจที่ยังลังเลอยู่ในทีแรก ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อดูจากท่าทีของเขาเมื่อครู่

 

 

เหวินซื่อเองก็เห็นแล้ว เม้มปาก เดินมาด้านหน้าเพื่อพยุงนายท่านเหวินเอาไว้ จากนั้น ก็มองหน้าพ่อบังเกิดเกล้าของตนเองอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เห็นแล้ว มองหน้ากันเล็กน้อย ทั้งสองแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา

 

 

เหวินเฟิงไม่รู้ว่าในเวลาสั้นๆ นี้ผู้คนตรงหน้าเขาคิดอะไรไปแล้วบ้าง “ท่านพ่อ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านบอกลูกคนนี้มาเถิด รอพรุ่งนี้หรงเอ๋อร์ตื่นแล้ว ข้าจะบอกนางเอง”

 

 

“ไอ้เจ้าคนไม่ได้เรื่อง!” นายท่านเหวินด่าออกมาด้วยความโกรธ “ไสหัวไป ไปเรียกเมียของเจ้ามา”

 

 

น้อยครั้งที่นายท่านเหวินจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเขา เหวินเฟิงตกใจพร้อมกับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ยอมกลับเข้าเรือน แต่ยังมายืนขวางประตูเอาไว้ไม่ยอมไปไหน “ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอะไรถามข้ามาเลย หรงเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”

 

 

เห็นชัดว่าเขากำลังปกป้องนาง ทำให้นายท่านเหวินโกรธเป็นอย่างมาก ชี้หน้าเขา หายใจหอบแรง แต่กลับโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

เหวินซื่อลูบหลังของเขาเล็กน้อย พูดอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านปู่”

 

 

นายท่านเหวินเอามือลง พักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปด้านในแล้วตะโกนว่า “แม่ลูกสะใภ้ เจ้าจะออกมาเอง หรือจะให้ข้าสั่งคนเข้าไปเอาตัวเจ้าออกมา”

 

 

ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน

 

 

ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีลางสังหรณ์ไม่ดี ตะโกนว่า “จูหลี!”

 

 

จูหลีเดินตรงดิ่งไปยังเหวินเฟิง

 

 

เหวินเฟิงตกใจมาก ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็ถูกจูหลีดันไปอีกฝั่งแล้ว

 

 

เมื่อเข้ามาในห้อง จูหลีรู้สึกราวกับว่าถูกแรงลมปะทะ ทำอะไรไม่ได้จึงถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว กลับมายืนอยู่ที่เดิม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง

 

 

นายท่านเหวินและเหวินซื่อตกใจมาก เบิกตาโพลงมองฮูหยินในห้องที่เดินไปมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

 

 

ฮูหยินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เครื่องประดับยังไม่ได้ถอดออก ดวงตาสดใส ไม่เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน

 

 

นางถอนสายบัวทำความเคารพนายท่านเหวิน และพูดออกมา เสียงของคนที่อายุหลายสิบปีแล้วกลับมีเสียงสดใสราวกับเด็ก “ข้าไม่ทราบว่าท่านพ่อจะมา ลูกสะใภ้คนนี้ไม่ค่อยสบาย นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อได้โปรดอย่าถือสาเลย”

 

 

แม้ว่าฟังดูแล้วจะดูเหมือนการกล่าวขอโทษ แต่ลึกๆ แล้วนางกำลังต่อว่านายท่านเหวินที่เสียมารยาท มาที่เรือนของนางดึกๆ ดื่นๆ

 

 

เป็นไปได้หรือที่นายท่านเหวินจะฟังไม่ออกว่านางกำลังจะสื่ออะไร เขาทำหน้าบึ้งตึง

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกยอมใจหญิงผู้นี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนางมาทำอะไรที่นี่ แต่นางกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อตาใส ช่างเป็นการแสดงชั้นสูงจริงๆ

 

 

นายท่านเหวินถูกลูกชายและลูกสะใภ้ตำหนิติดต่อกัน ทำให้ในใจโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขาพูดกับนางตรงๆ ว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย วันนี้เหวินเอ๋อร์ปวดท้องมาก ลูกในท้องจะรอดไม่รอดก็ยังไม่อาจรู้ได้ เจ้าเป็นคนสั่งให้บ่าวรับใช้ไปทำเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

 

 

หญิงสาวทำสีหน้าตกใจออกมาอย่างถูกเวลา “ท่านพ่อพูดอย่างนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ตั้งแต่ที่ท่านจับข้าทั้งสองมาขังไว้ที่เรือนฝูหรงนี้ พวกข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องภายนอกอีกเลย แล้วจะสั่งคนไปวางยานางได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

 

 

“เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว ยังจะปากแข็งอีกหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่แสดงตัวแล้ว จะมีคนไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ หรือ” เมื่อเห็นสายตาของนาง นายท่านเหวินรู้สึกโกรธมากขึ้น ถามไปด้วยความโมโห

 

 

สีหน้าของฮูหยินยังคงปราศจากความกลัว พูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านพ่อไม่ชอบหน้าข้าตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าเองก็พยายามไม่ไปให้ท่านเห็นหน้า ไม่ทำให้ท่านรำคาญ สะใภ้คนนี้คิดเองว่าทำดีที่สุดแล้ว เหตุใดท่านพ่อจึงได้เอาความผิดที่ข้าไม่ได้ก่อมาโทษข้าด้วย ตั้งแต่ท่านเดินเข้ามาที่นี่ก็ไม่ไถ่ถามความจริงใดๆ แต่กลับสั่งให้คนมาเข่นฆ่าคนรับใช้ของข้าจนหมด ลูกสะใภ้คนนี้ก็ไม่กล้าปริปากพูดสักคำ ท่านพ่อพูดเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เพราะว่าต้องการกุเรื่องหาเหตุผลมาฆ่าลูกสะใภ้คนนี้หรอกนะเจ้าคะ”

 

 

นายท่านเหวินยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เหวินเฟิงก็เดินมาขวางไว้ด้านหน้าทันที พูดกับนายท่านเหวินว่า “ท่านพ่อ หากท่านกล้าแตะต้องหรงเอ๋อร์แม้แต่ปลายเล็บ ลูกคนนี้ก็จะตายต่อหน้าท่านให้ดู”

 

 

หากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้านายท่านเหวินแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวคงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านเหวินถึงได้มอบร้านยาเต๋อเหรินให้เหวินซื่อดูแล แต่กลับไม่ยกให้ลูกชายของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ว่าทำไม่ได้ต่างหาก ลูกชายเขาเป็นเช่นนี้ หากร้านยาไปอยู่ในมือเขาแล้ว คาดว่าไม่กี่วันก็คงได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่เป็นแน่

 

 

ฮูหยินไม่กล่าวอะไรอีก ก้มหน้าหลบอยู่หลังเหวินเฟิง ทำราวกับว่าสามีเป็นเกราะกำบังอันตรายทุกอย่าง

 

 

แต่เหวินเฟิงกลับมองนายท่านเหวินอย่างโกรธเคือง

 

 

นายท่านเหวินโกรธจนร่างสั่นสะท้าน ตอนแรกคิดว่าจับพวกเขาขังไว้ที่เรือนฝูหรงแล้ว ทั้งสองจะสำนึกผิด ไม่คิดเลยว่าเจ้าลูกไม่รักดีคนนี้จะมาถึงจุดที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้ เขาโบกมือพร้อมสั่งว่า “ไปเอาตัวมา!”

 

 

มีคนนำตัวของชิวจวี๋ที่สั่นสะท้านเข้ามา โยนลงไปบนพื้น

 

 

ชิวจวี๋เห็นศพสองร่างด้านหน้าประตู ก็ยิ่งกลัวมากขึ้น มือเท้าอ่อน คลานมายังหน้าของเหวินเฟิงและฝูหรง ก้มศีรษะขอร้องว่า “ฮูหยินเจ้าขา บ่าวทำเรื่องนี้เพื่อท่านนะเจ้าคะ”

 

 

เหวินเฟิงเบิกตาโพลง ถีบร่างของชิวจวี๋จนทำให้ชิวจวี๋กลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ แต่ก็ยังไม่หนำใจ ด่าทอไปว่า “นังสารเลว ขี้ข้าอย่างเจ้ายังมีหน้ามาใส่ร้ายฮูหยินเชียวรึ อยากตายนักหรือไร”

 

 

ฮูหยินไม่ชายตามองแม้แต่น้อย ยังคงหลบเงียบๆ อยู่หลังเหวินเฟิง

 

 

นายท่านเหวินโยนยาหอมในมือใส่เหวินเฟิงด้วยความโมโห

 

 

เหวินเฟิงเอนหัวหลบ ยาหอมประทะเข้ากับผ้าม่านด้านหลังของเขา ปัง และหล่นลงบนพื้น ตรงเท้าของฮูหยินพอดี

 

 

ฮูหยินยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่เงยหน้าก็ยังไม่ทำ

 

 

“แม่ลูกสะใภ้ ตอนนี้ทั้งพยานและหลักฐานก็พร้อมแล้ว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” นายท่านเหวินถามเสียงแข็ง

 

 

“ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์ไม่ได้ทำจริงๆ ท่านจะให้นางพูดอะไร” เหวินเฟิงกล่าวโทษพ่อด้วยความไม่พอใจ

 

 

นายท่านเหวินโกรธยิ่งกว่าเดิม สั่งไปว่า “เอาอะไรไปอุดปากมันซะ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางกัวเฟย

 

 

กัวเฟยพยักหน้า ส่งสายตาสั่งการไปยังองครักษ์ลับสองคน

 

 

แต่มีหรือที่เหวินเฟิงจะยอมแต่โดยดี เขาขัดขืนเต็มแรง

 

 

องครักษ์ทั้งสองหมดแรงไปมาก กว่าจะอุดปากของเขาไว้ได้ และนำตัวเขาไปไว้อีกด้าน เผยให้เห็นฮูหยินที่แอบอยู่ด้านหลัง

 

 

ฮูหยินทำเพียงแค่มองไปทางเหวินเฟิงเล็กน้อย จากนั้นก็หันมา มองไปทางนายท่านเหวิน ถามด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “หากข้ายอมรับแล้วท่านพ่อจะโยนความผิดมาที่ตัวข้ามากกว่าเดิมใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

นายท่านเหวินไม่พูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดปากพูดว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นคนฉลาด พวกเรามาหาท่านถึงที่ และยังมั่นใจว่าเรื่องนี้มีท่านบงการอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ยอมรับ”

 

 

ฮูหยินขมวดคิ้ว “แม่นางผู้นี้คือ…”

 

 

“เมิ่งเชี่ยนโยว” ตอบด้วยรอยยิ้ม

 

 

ฮูหยินพยักหน้า “เป็นแม่นางเมิ่งเองหรือ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างยิ้มๆ “เช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

คิ้วของฮูหยินยังคงขมวดกันอยู่ สีหน้าสงสัย “ไม่ทราบว่าเหตุใดเรื่องภายในตระกูลเหวินของพวกเรา จะต้องให้คนนอกมาพูดแทรกด้วย ข่าวที่แพร่กันภายนอกคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ ที่ว่าเจ้าและนายน้อยของบ้านเรามีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกันมานานแล้ว จึงได้…”

 

 

ยังพูดไม่ทันขาดคำ มีดเล่มเล็กก็ลอยผ่านหน้าของนางไป

 

 

เสียงของนางหยุดชะงัก สีหน้าไม่มีความตระหนกแม้แต่น้อย รอจนมีดเล็กลอยมาใกล้ตน จึงได้ค่อยๆ เอนหลบอย่างใจเย็น

 

 

มีดเล็กลอยไปปักอยู่ที่ประตูด้านหลัง

 

 

ฮูหยินเหลือบไปมองเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ทีเดียวว่าใครกันที่ฆ่าคนของข้าได้อย่างเงียบเชียบ ที่แท้ก็เป็นองครักษ์ลับที่ได้ยินชื่อมานานแล้วนี่เอง”

 

 

ผู้ที่รู้จักเหล่า ‘องครักษ์ลับ’ นั้นมีไม่มาก แต่ฮูหยินกลับบอกได้ว่ากัวเฟยเป็นองครักษ์ลับจากมีดเล่มเล็กนั่น ใจในของเมิ่งเชี่ยนโยวตกใจไม่น้อย

 

 

เหวินซื่อกลับตกใจกลัวมาก ความสามารถของเหล่าองครักษ์ลับนั้นเขารู้ได้จากตอนที่ไปตำบลชิงซีเมื่อปีนั้น ต่างเป็นผู้เก่งกาจขนาดที่คนเดียวสามารถสู้ชนะสิบคนได้ กัวเฟยลงมือในระยะใกล้เช่นนี้ เขาเองยังไม่ทันได้ระวังตัว แต่แม่เลี้ยงของเขาผู้นี้กลับหลบไปอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าทักษะการต่อสู้ของนางไม่ธรรมดา แต่หลายปีมานี้ คนในบ้านกลับไม่มีใครรู้มาก่อนเลย เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขามองไปยังพ่อของตน เห็นเขาไม่มีสีหน้าตกใจเลย ชัดเจนแล้วว่า พ่อบังเกิดเกล้าตัวดีของเขารู้ดี เพียงแต่ปิดบังเขาและปู่เอาไว้เท่านั้นเอง

 

 

ฮูหยินมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน “ผู้นี้ก็คงเป็นซื่อจื่อที่เขาว่ากันสินะเจ้าคะ ว่ากันว่าซื่อจื่อมีรูปร่างงดงามหาใครเปรียบไม่ได้ กิริยาเป็นผู้ดีน่าเกรงขาม วันนี้ได้พบหน้าแล้ว ดูดียิ่งกว่าที่เขาว่ามาเสียอีก น่าทึ่งเสียจริงนะเจ้าคะ”

 

 

พูดจบ สีหน้าของหวงฝู่อี้เซียนเปลี่ยนไป แผ่พลังภายใน กดดันไปที่ฮูหยิน

 

 

แม้ว่าใบหน้าของฮูหยินยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่สีหน้าของนางก็ดูไม่สู้ดีนัก อดทนได้ไม่นาน ก็ถูกพลังภายในของเขากดดันจนกระอักเลือดออกมา

 

 

เหวินเฟิงเป็นห่วงและสงสารนางเป็นที่สุด ตะเกียกตะกายจะมาหานาง ปากส่งเสียงร้องอู้อี้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเก็บพลังภายในของเขา

 

 

ฮูหยินผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมุมปากอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็ทิ้งผ้าเปื้อนเลือดลงไว้ที่ข้างเท้า ยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ วันนี้ที่ท่านพาปรมาจารย์และผู้คนมามากมายเพียงนี้ ก็เพียงเพราะคำใส่ร้ายที่นางคนรับใช้ชั้นต่ำผู้นี้มีต่อข้าหรือเจ้าคะ”

 

 

อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนที่ทำการค้ามาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก หลังจากที่หายตกใจแล้ว ก็กลับมาตั้งสติได้ดังเดิม เขาพยักหน้า “เจ้าแต่งเข้าตระกูลเหวินของเรามายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ข้ากลับไม่รู้เลยว่าเจ้ามีความรู้วิชาต่อสู้ เห็นที เหตุการณ์ปองร้ายที่เกิดขึ้นกับเหวินซื่อในหลายปีมานี้คงจะเป็นฝีมือเจ้าไม่ผิดแน่”

 

 

“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ช่างไม่เป็นธรรมกับข้าเลยนะเจ้าคะ ตอนที่ข้าแต่งเข้าบ้านก็ไม่ได้ถามข้าว่าข้ามีวิชาต่อสู้หรือไม่” พูดถึงตรงนี้ เขามองหน้าเหวินซื่อเล็กน้อย “ต่อข้อที่ว่านายน้อยถูกปองร้ายนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ท่านเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ ข้าเองไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลย”

 

 

“แล้วลูกในท้องของหลานสะใภ้เล่า เจ้าเป็นผู้วางยาพิษทำร้ายนางใช่หรือไม่” นายท่านเหวินถามอีกครั้ง

 

 

ฮูหยินยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า กุ่ยเอ๋อร์ถูกไล่ออกจากบ้านไปแล้ว และข้าเองก็ถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนฝูหรงอยู่หลายปีแล้ว ขนาดสะใภ้ตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อใดข้าเองก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปวางยานางได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

 

 

“ฮูหยินพูดเก่งเสียงจริงนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวชมนาง “หากเป็นผู้อื่นคงจะถูกท่านพูดตลบจนมึนงงไปแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่วันนี้เจ้ามาเจอกับข้า ต่อให้เจ้าปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดออกมาเองว่าเป็นผู้ทำร้ายอาซ้อ”

 

 

ฮูหยินยิ้มเล็กน้อย ยังคงปั้นหน้าสวยดังเดิม “สมองของแม่นางเมิ่งมีปัญหาหรือ ข้าไปยอมรับเมื่อใดกันว่าข้าวางยานาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบนาง “ฮูหยิน ผู้ที่สมองมีปัญหาน่าจะเป็นท่าน ไม่ใช่ข้า ท่านเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ก็พูดทันทีว่าไม่ได้วางยาซ้อ ทั้งๆ ที่พวกเรายังไม่ได้พูดเลยว่ามีคนวางยา อย่างนี้จะไม่เรียกว่าเป็นการหลุดปากสารภาพออกมาเองหรือ”

 

 

สีหน้าของฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนผู้คนไม่ทันได้สังเกต “ข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น พอพวกเจ้าเข้ามาก็เข่นฆ่าคนของข้าจนหมดสิ้น ข้าจึงตกใจ และคาดเดาไปว่าลูกสะใภ้อาจถูกยาพิษ”

 

 

“ใช่แล้ว นี่เองก็เป็นช่องโหว่ที่สองของท่าน เมื่อครู่ท่านพูดเองว่าไม่ค่อยสบาย นอนไปตั้งนานแล้ว แล้วทราบได้อย่างไรว่าคนในเรือนถูกฆ่าตาย เห็นได้ชัดว่าท่านไม่ได้นอนเลยต่างหาก ทั้งยังคอยแอบฟังเสียงจากด้านนอกอยู่ตลอด หรือไม่ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนี้นายท่านเหวินจะต้องโกรธมาก จะต้องมาเข่นฆ่าท่านเป็นแน่”

 

 

ฮูหยินใช้ดวงตาคู่สวยมองไปยังนาง ครู่หนึ่งจึงได้ยิ้มออกมา “เป็นอย่างที่แม่นางพูดไม่มีผิด ยาหอมนั่น เป็นข้าเองที่สั่งให้คนนำไปไว้ที่ห้องของหญิงชั้นต่ำนั่น ที่จริงแผนนี้ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าผู้ที่ไปลอบฆ่าเจ้าระหว่างทางกลับทำไม่สำเร็จ ปล่อยให้เจ้ามาถึงจวนเหวินได้ และทำลายแผนของข้าในที่สุด”

 

 

เมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากนาง นายท่านเหวินถามอย่างโกรธแค้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ วางยาเหวินเอ๋อร์เช่นนี้ต้องการจะทำลายผู้สืบสกุลของตระกูลเหวินหรือไร!”