ตอนที่ 186-1 ใครคือคนที่น่าสงสารกันแน่

ลำนำสตรียอดเซียน

สามร้อยปี…

 

 

ถึงแม้นางจะเดาไว้นานแล้วว่าเริ่นอวี่เฟิงต้องใช้ยาคงรูปหรือไม่ก็ใช้วิชาการฝึกตนที่มีผลของการคงรูป แต่ความจริงที่ว่าเขาอายุถึงสามร้อยปีแล้วก็ยังทำให้นางประหลาดใจ

 

 

สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน อายุสามร้อยปีจะแก่เพียงไรกัน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งพวกเขาอายุสามร้อยปี ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นกลางและขั้นสุดท้ายสามารถอยู่ได้ถึงสี่ร้อยปีถ้าพวกเขาดูแลตัวเองอย่างดี อย่างไรก็ตาม สี่ร้อยปีคือขีดจำกัดที่สูงสุด โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะตายไปก่อนพวกเขาอายุเท่านั้น

 

 

หากสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูดเป็นความจริง เขาก็ไม่เด็กแล้วจริงด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาก้าวขาลงหลุมไปแล้วข้างหนึ่ง

 

 

ในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน “ยิ่งเด็กก็ยิ่งดี” เสมอ ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการสร้างฐานแห่งพลังงาน โดยทั่วไปศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อพวกเขาอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปีเป็นอย่างมาก แต่หากเลยอายุห้าสิบปีไปแล้วยังไม่สามารถพัฒนาได้ ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนกับศิษย์ธรรมดา สำหรับศิษย์ธรรมดา โดยทั่วไปพวกเขาจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้ก่อนอายุร้อยปี ถ้าผ่านอายุร้อยปีไปแล้ว โอกาสในการที่จะทำให้สำเร็จจะลดลงอย่างมาก

 

 

ในการก่อขุมพลังของคนผู้หนึ่งก็เช่นกัน ก่อนอายุสองร้อยปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการก่อขุมพลัง หลังจากสองร้อยปีไปแล้ว ความยากลำบากที่คนหนึ่งจะต้องเจอในระหว่างการก่อขุมพลังจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ถ้าเริ่นอวี่เฟิงอายุสามร้อยปีแล้วและต้นทุนของเขาอยู่ระดับปานกลางจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆ คิดว่าเขาไม่สามารถก้าวหน้าไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ ผู้ฝึกตนที่ก่อขุมพลังเมื่อพวกเขาอายุประมาณสามร้อยปีก็มีอยู่ แต่โอกาสทำสำเร็จของพวกเขาจะต่ำกว่าผู้ฝึกตนวัยหนุ่มสาวที่อายุน้อยกว่าสองร้อยปีมาก นอกเสียจากว่าพวกเขาได้พบกับชะตาลิขิต โดยปกติแล้วก็ยากที่พวกเขาจะบรรลุผ่านดินแดนได้

 

 

เมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้ว พวกเขาจะถูกจัดว่าแก่ การเป็นคนแก่… คือความทุกข์ของผู้ฝึกตน

 

 

เริ่นอวี่เฟิงทอดสายตามองความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาและพูดช้าๆ ว่า “พวกเจ้าคิดว่าที่ข้าก้าวร้าวมากเป็นเพราะความหยิ่งยโสของข้าจริงๆ หรือ ถ้าข้าไม่ก้าวร้าว ไม่หยิ่งยโส ใครจะเคารพข้า แม้แต่ผู้หญิงคนนี้ที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าข้าตั้งมากมายยังดูถูกข้าเลย!”

 

 

ใบหน้าเขาแสดงให้เห็นสีหน้าดุร้ายและเขาถลึงตามองซย่าโหวย่วนที่กำลังใกล้ตาย

 

 

ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครพูดอะไร

 

 

ซย่าโหวย่วนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว ชิวจื้อหมิงก็ยังคงตะลึงงัน เริ่นอวี่เฟิง… มีสีหน้าแสนชั่วร้าย ทว่าเขาก็ทำเพียงแค่จ้องมองไปในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ เท่านั้น

 

 

ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเฝ้ามองพวกเขาเงียบๆ

 

 

นี่คือความโหดร้ายของเส้นทางการฝึกตน ไม่ว่าในตอนเริ่มแรกคนนั้นจะฉลาดหลักแหลมแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคงถูกคนอื่นเยาะเย้ยอยู่ดีถ้าพวกเขาไม่สามารถข้ามผ่านดินแดนได้

 

 

อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่รู้สึกเห็นใจเริ่นอวี่เฟิงแม้แต่นิดเดียว เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนคนเดียวที่แก่ขึ้น พวกผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่ยังติดอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณมาตลอดชีวิตโดยไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยสักนิดและสุดท้ายก็หมดอายุขัยลงเมื่อพวกเขาอายุแค่ร้อยกว่าปียังน่าสงสารมากกว่าเขามากนัก แต่แล้วทำไมเล่า มีคนตั้งมากมายในโลกแห่งการฝึกตนและทุกคนก็ต้องผ่านอุปสรรคนี้ทั้งนั้น

 

 

ที่จริงแล้วระดับการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงก็อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วและเขาก็ยังได้รับเข้าเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ลืมเรื่องศิษย์หัวกะทิที่มีคนคอยหนุนหลังไปก่อน ศิษย์ธรรมดาคนไหนจะกล้าดูถูกเขา อย่างเช่นเจียงซั่งหังที่ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพต่อ “ศิษย์พี่เริ่น” คนนี้แม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ มีคนอีกมากมายในการเดินทางนี้ ดังนั้นซย่าโหวย่วนจึงไม่ใช่ศิษย์หัวกะทิเพียงคนเดียวที่นั่นแน่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาทุกคนก็ถือว่าเขาเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ ดังนั้นถ้าพวกเขาซุบซิบกันลับๆ ส่วนตัวแล้วจะทำไม ถ้าใจของผู้ฝึกตนไม่กว้างพอจะยอมรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ แล้วพวกเขาจะก่อขุมพลังได้อย่างไร บางทีที่เริ่นอวี่เฟิงไม่ก้าวหน้ามาหลายต่อหลายปีก็เพราะสภาวะจิตของเขาเข้าเขตมารไปนานแล้วก็เป็นได้ ต่อให้เขาเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ แต่เขาก็คงจะก่อขุมพลังไม่สำเร็จแน่

 

 

“ศิษย์พี่เริ่น…” ชิวจื้อหมิงสะกดกลั้นความโกรธได้ในที่สุดและพูดว่า “ท่านจะไม่ปล่อยข้าไปจริงหรือ”

 

 

เริ่นอวี่เฟิงมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม”

 

 

หลังจากหมดความหวังทั้งหมดไป หัวใจของชิวจื้อหมิงหล่นวูบและเขาหมดกำลังใจโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความหวังเล็กน้อย เขายืดหลังแล้วจึงพูดอย่างเร็ว “ศิษย์น้องถังและศิษย์น้องเจียงหนีไปแล้ว พวกเขาจะต้องรายงานเรื่องนี้กลับไปที่สำนัก ท่านปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของเราจะออกมาเพื่อจัดการแน่ ศิษย์พี่เริ่น ต่อให้ท่านฆ่าข้า ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้หรอก!”

 

 

พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอที่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อย่างน้อยเจียงซั่งหังและถังฟังก็สามารถหนีไปได้

 

 

“ใครบอกว่าข้าต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” เริ่นอวี่เฟิงชำเลืองมองเขาด้วยสายตาดูถูก “ข้าจะปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาลในอีกครู่เดียว เมื่อข้าซึมซับลมปราณเทพมังกรทั้งหมดเสร็จแล้ว พวกปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่พวกนั้นจะทำอะไรกับข้าได้”

 

 

“…” ชิวจื้อหมิงถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยคาดคิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะมีความมั่นใจถึงเพียงนั้นในพละกำลังของตัวเอง

 

 

เริ่นอวี่เฟิงยื่นมือออกไปซึ่งทำให้กลุ่มก้อนของพลังดำมืดปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขาเล่นกับพลังดำมืดนั้น เขามองชิวจื้อหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าเขากำลังคิดว่าเขาจะโจมตีจากตรงไหนดี

 

 

การกระทำตอนนี้ของเขาทำให้ชิวจื้อหมิงตัวซีดเผือดขึ้นอย่างมาก ตัวของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

 

 

แต่เริ่นอวี่เฟิงไม่ได้โยนพลังดำมืดนั้นใส่เขา หลังจากอยู่นิ่งมาเป็นเวลานาน สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา “ศิษย์น้องซิว ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าเร็วเกินไปนัก ข้าคงไม่เหลือใครให้คุยด้วยถ้าข้าฆ่าเจ้า”

 

 

ใบหน้าชิวจื้อหมิงสดใสขึ้นทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูด “ศิษย์พี่เริ่น ไว้ชีวิตข้าเถอะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า! ข้าสัญญาว่าข้าจะฟังท่าน อย่างน้อยข้าก็อยู่เป็นเพื่อนท่านได้”

 

 

สีหน้าเริ่นอวี่เฟิงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะปล่อยชิวจื้อหมิงไป แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะฆ่าชิวจื้อหมิงโดยทันที ในท้ายที่สุดเขาเก็บพลังดำมืดในมือเขากลับและพูดว่า “ช่างมัน ตอนนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อน แต่อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนักล่ะ ข้าแค่ไว้ชีวิตเจ้าในตอนนี้ เมื่อข้าอยากจะฆ่าเจ้า เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี!”

 

 

ถึงแม้จะแค่ชั่วคราว แต่ชิวจื้อหมิงก็ยังรู้สึกโล่งอกและรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เขาพูด “ขอบคุณที่ไม่ฆ่าข้า ศิษย์พี่เริ่น! ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น…”

 

 

เริ่นอวี่เฟิงโบกมือแล้วจึงพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาล จัดการกับศพหญิงคนนั้นซะ!” ในที่สุดเขาก็พูดเตือนเพิ่ม “ถ้าเจ้าพยายามจะทำอะไรตุกติก ข้าจะปลิดชีวิตเจ้าทันที!”

 

 

ชิวจื้อหมิงสัญญากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาจะไม่ทำอะไร ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงจึงหันกลับและเดินออกไป

 

 

เมื่อเริ่นอวี่เฟิงหายไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าชิวจื้อหมิงจางหายไป เขาล้มลงที่พื้น ดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ชั่วขณะหนึ่งเขาแค่นั่งอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อราวกับเขายังไม่สามารถทำใจได้กับการเปลี่ยนสถานะของเขา เขายังคงคิดต่อไปจนกระทั่งจู่ๆ เขาโน้มตัวกอดขาตัวเองและร้องไห้โฮในทันที

 

 

ชายร่างสูงกำยำคนนี้ห่อตัวและร้องไห้โฮไม่หยุด… นางไม่รู้จริงๆ ว่าภาพนี้น่าขันหรือน่าสงสารมากกว่ากัน เห็นได้ชัดว่าชิวจื้อหมิงเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พูดได้ว่าเขาถูกเริ่นอวี่เฟิงจับก็เพราะเขาพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาด้วยตอนหนี ตอนนี้คนพวกเดียวที่สามารถหนีไปได้คือเจียงซั่งหังและถังฟังขณะที่ชิวจื้อหมิงและซย่าโหวย่วนถูกจับตัวได้ อวิ๋เซี่ยวหรานน่าจะตายไปแล้ว และตัวชิวจื้อหมิงเองก็คงไม่สามารถหนีจากหายนะนี้ไปได้

 

 

รอดชีวิตแค่ชั่วคราวเทียบกับตายทันที จะดีกว่ากันสักแค่ไหนเชียว สถานที่นี้เป็นตำหนักใต้บาดาลที่อยู่ใต้น้ำและภูมิทัศน์ของแดนแห่งมังกรซ่อนลายเปลี่ยนไปทุกปี ดังนั้นภูมิทัศน์จากปีก่อนจึงไม่คงอยู่ไปจนถึงปีหน้า ใครจะไปรู้ว่าปีหน้าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วยซ้ำ แต่แม้กระทั่งตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะอารมณ์เสียและต้องการฆ่าเขาขึ้นมาเมื่อใด ต่อให้เริ่นอวี่เฟิงไม่ฆ่าเขา แต่พวกเขาก็อยู่ใต้น้ำ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานยังไม่มีความสามารถในการสร้างมนตร์กันน้ำได้ด้วยตัวเอง ต่อให้เขาสามารถรอดชีวิตอยู่ใต้น้ำได้ มันก็คงจะเป็นระยะเวลาจำกัดเท่านั้น ฤทธิ์ของผลฟองอากาศสามารถคงอยู่ได้แค่หนึ่งวัน และเขาก็มีผลพวกนั้นแค่หลายสิบลูกเป็นอย่างมาก ในไม่ช้ามันจะต้องหมดและเมื่อถึงจุดนั้นเขาก็ต้องตายอยู่ดี…

 

 

ยิ่งชิวจื้อหมิงคิดถึงสถานการณ์ของเขามากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงแค่ร้องไห้ให้พอใจ

 

 

โม่เทียนเกอกำลังมองชายผู้ห่อเ**่ยวอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเขา

 

 

นางสามารถใช้จังหวะนี้ทำให้ชิวจื้อหมิงสลบไปและพาเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่ถ้าชิวจื้อหมิงหายไปทั้งที่มีแค่ทางเดินเดียวในตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ นางจะทำอย่างไรเมื่อเริ่นอวี่เฟิงเกิดสงสัยขึ้นมา ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่รู้เลยว่าเริ่นอวี่เฟิงมีความสามารถแบบไหนในตอนนี้ที่เขาได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว อีกอย่าง ชิวจื้อหมิงก็อ่อนแอมาก แม้ว่านางจะช่วยชีวิตเขา แต่อำนาจจิตของเขาก็แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะมีอนาคตอีกแน่นอน

 

 

ชิวจื้อหมิงไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าในระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ นี้ หนทางออกจากหายนะครั้งนี้เพิ่งเฉียดผ่านเขาไป หลังจากร้องไห้มาสักพัก เขาดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงรีบยืนขึ้นทันทีและเริ่มจัดการกับศพของซย่าโหวย่วน หลังจากถูกพลังดำมืดปกคลุมอยู่เป็นเวลานาน มนตร์กันน้ำบนร่างของซย่าโหวย่วนจึงถูกทำลายไปนานแล้ว และเป็นเช่นนั้นเอง ร่างนางจึงเต็มไปด้วยน้ำ ทำให้นางจมน้ำจนตาย

 

 

ขณะที่ชิวจื้อหมิงใช้ไฟตานเถียนของเขาเพื่อเผาศพซย่าโหวย่วน เริ่นอวี่เฟิงเดินเข้ามาในโถง เขาดูพึงพอใจมากที่ชิวจื้อหมิงกำลังทำตามที่เขาบอก ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปทางแท่นหินที่อยู่ข้างลานจัตุรัสทันทีและนั่งขัดสมาธิโดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

แท่นหินนี้คือที่ที่เท้าของมังกรวางอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่นอวี่เฟิงนั่งลง เขาจึงนั่งบนกระดูกฝ่ามือมังกร

 

 

เขาดูเหมือนจะกำลังปรับลมปราณอยู่ โม่เทียนเกอเห็นพลังดำมืดบนตัวเขาโหมกระหน่ำ ลมปราณเทพมังกรที่หลงเหลืออยู่บนกระดูกมังกรค่อยๆ พุ่งเข้าหาเขาทีละนิด

 

 

ชิวจื้อหมิงมองภาพนี้ด้วยความประหลาดใจ เขากลัวกับวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเริ่นอวี่เฟิงอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่กล้าทำอะไรอื่นอีก

 

 

แต่โม่เทียนเกอแตกต่างจากเขา นางพิจารณาทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบเมื่อเริ่นอวี่เฟิงกำลังฝึกตนอยู่ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ลมปราณเทพมังกรจะสามารถสร้างพลังมารขึ้นมาได้ บางทีนางอาจจะสามารถหาคำตอบให้กับปัญหานี้ได้จากเหตุการณ์ต่อเนื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่นอวี่เฟิงกำลังฝึกตนอยู่

 

 

หลังจากดูอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ สายตาโม่เทียนเกอก็สดใสขึ้นมากะทันหัน

 

 

นางค้นพบอะไรบางอย่าง เริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะกำลังซึมซับลมปราณเทพมังกร แต่ลมปราณเพียงแค่ไหลผ่านเขา ลมปราณเทพมังกรบนกระดูกมังกรไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย! นี่มันหมายความว่าอะไร มันหมายความว่าลมปราณบนร่างของเริ่นอวี่เฟิงไม่ใช่ลมปราณเทพมังกร!

 

 

แต่ถ้าไม่ใช่ลมปราณเทพมังกรแล้วมันคืออะไร โม่เทียนเกอไม่เข้าใจจริงๆ นางคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่สิ่งเดียวที่นางมั่นใจก็คือวิชาลับของเทพมังกรนั้นที่เริ่นอวี่เฟิงมีอยู่ ซึ่งเขาคิดว่าสามารถเปลี่ยนไปให้เขากลายเป็นทายาทของเทพมังกร ถ้าไม่ใช่ของปลอมก็ต้องผิดโดยสิ้นเชิง!

 

 

ถ้าวิธีการที่เขาใช้ซึมซับลมปราณของเทพมังกรผิด งั้นเกิดอะไรขึ้นตอนนี้

 

 

ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงทำได้แค่ยอมล้มเลิกอย่างไม่เต็มใจไปก่อนแทนที่จะคิดเกี่ยวกับปัญหาพวกนั้น นางควรคิดว่านางจะทำอะไรต่อไปดีกว่า

 

 

ถึงแม้นางจะปลอดภัยอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนตามปกติ แต่ความปลอดภัยก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางมีอยู่ที่นี่ นางไม่สามารถอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิตได้ แน่นอน ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนางสามารถใช้ยาครอบจักรวาลได้ทุกชนิดและฝึกตนอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าสภาวะจิตของนางไม่พัฒนาขึ้น อันตรายในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนก็จะมากเหลือคณา นางอาจจะต้องใช้เวลานานมากก่อนที่นางจะแข็งแกร่งพอสู้กับเริ่นอวี่เฟิง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดวิชาชั่วร้ายของเริ่นอวี่เฟิงทำให้เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้อย่างรวดเร็วจะเป็นอย่างไรเล่า