ถ้าไมได้ฟราเทอร์นำฝูงหมาป่าเข้าช่วยเหลือ กลายเป็นฟางช่วยชีวิตสุดท้ายในการคว้าชัยเหนืออูฐ ต้นไม้ต้นนี้คงไม่ได้โค่นลงได้ง่ายเลย และจางจื่ออันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ต้นไม้ใกล้โค่นต้นนี้อย่างสะเพร่า ก็เหมือนตอนจุดประทัด ถึงสายนำไฟเผาหมดแล้ว และประทัดเงียบเชียบไม่ส่งเสียงดัง แต่ไม่ว่าเข้าไปตรวจสอบหรือปล่อยทิ้งไว้ก็อันตรายทั้งนั้น
พวกภูตสัตว์เลี้ยงแมวก็ช่วยได้ แต่น้ำหนักตัวของแมวเบามาก ถึงแม้เพิ่มฟีน่าเข้าไปก็ยังโค่นไม่ได้…
“ตาของเจ้ากำลังมองอะไร?”
ฟีน่าสังเกตเห็นสายตาของเขาขยับ จึงถามเสียงเย็นทันที
“เมี๊ยวๆๆ! ให้ข้าน้อยช่วยฝ่าบาทควักลูกตาไร้ศีลธรรมคู่นั้นของเขาออกมาเถอะเจ้าค่ะ!” เสวี่ยซือจื่อร้องตะโกนพร้อมแยกเขี้ยวและโบกกรงเล็บ
จางจื่ออันอธิบายทันที “ฉันแค่อยากเรียกให้พวกเธอรีบขึ้นรถ…ไม่ใช่สิ รีบขึ้นสะพาน!”
ถึงแม้ต้นไม้จะโค่นแล้ว แต่ก่อนจะแน่ใจว่ามั่นคง ตอนนี้เขาไม่กล้าขึ้นสะพานไปโดยตรง เพราะเขาสะพายกระเป๋าเป้ทั้งใบเล็กและใหญ่ รักษาสมดุลได้ยาก ถ้าเดินบนสะพานแล้วสะพายเกิดเอียงและกลิ้ง อย่างนั้นเขาก็จะตกน้ำพร้อมกับกระเป๋า แถมหวังให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงมาช่วยไม่ได้ด้วย
ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นข้ามสะพานไปได้อย่างปลอดภัยตัวแล้วตัวเล่า ริชาร์ดยังตั้งใจบินไปกลับอยู่เหนือผิวน้ำหลายรอบเพื่ออวดว่ามันมีปีก และไม่ต้องข้ามสะพาน
เขาลองดันจากข้างๆ ดูก็รู้สึกว่ามั่นคงทีเดียว จึงโยนไม้เท้าปีนเขาไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำก่อน จากนั้นค่อยขึ้นสะพานอย่างระมัดระวัง เขาเดินกางแขนทั้งสองข้างเพื่อรักษาสมดุลราวกับเดินอยู่บนลวดเหล็ก พยายามไม่ไปสังเกตน้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก สุดท้ายก็ข้ามแม่น้ำไปได้อย่างปลอดภัย
ส่วนฝูงกวางที่ตามหลังอยู่ไกลๆ สำหรับพวกมันแล้วการข้ามแม่น้ำไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าเดินบนสะพานต้นไม้หรือกระโดดข้ามไปโดยตรง แม้กระทั่งลุยน้ำข้ามแม่น้ำไปก็ไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรความสามารถในการกระโดดของกวางก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้กลัวร่างกายและกระเป๋าจะเปียกน้ำเหมือนจางจื่ออัน
หลังจากข้ามแม่น้ำมา ข้างหน้าก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอีก
ในป่ามืดเร็วอยู่แล้ว เดินไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ยังไม่ถึงตอนเย็นก็ฟ้ามืดลงแล้ว
รอบๆ ไม่มีแหล่งน้ำ ฝูงกวางไม่กล้าเข้าใกล้เพราะมีฝูงหมาป่าอยู่ด้วย ดังนั้นจึงหวังพึ่งฝูงกวางช่วยหาแหล่งน้ำไม่ได้อีก
ไม่มีน้ำไม่ได้แน่นอน ถ้าฟ้ามืดสนิทแล้วยังหาแหล่งน้ำไม่เจอ คืนนี้ก็คงต้องลำบากอย่างมาก
จางจื่ออันลอบลังเลในใจ จะย้อนกลับไปทางปลายน้ำของแม่น้ำ เดินกลับไปช่วงหนึ่ง หรือจะเดินหน้าต่อ เพื่อลองพึ่งดวงดูว่าจะหาแหล่งน้ำเจอไหม?
“จริงสิ ฟราเทอร์ นอกจากแม่น้ำที่พวกเราเพิ่งผ่านมา แถวนี้มีแม่น้ำอยู่ตรงไหนอีกเหรอ?” เขาคิดว่าฟราเทอร์น่าจะสอบถามสถานการณ์กับพวกฝูงหมาป่าได้ จึงถาม
ฟราเทอร์เรียกฝูงหมาป่าที่อยู่ข้างหน้ากลับมา ก่อนจะคำรามเสียงต่ำใส่พวกมันเป็นการสอบถาม
จางจื่ออันรอการสื่อสารระหว่างมันกับฝูงหมาป่าจบลงอย่างเงียบๆ ถือโอกาสพักหายใจไปด้วย
ไม่นานนัก ฟราเทอร์ก็พูดอย่างประหลาดใจ “ไม่มีแหล่งน้ำ แต่ฟังพวกมันพูดแล้ว ข้างหน้าไม่ไกลมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง”
“เอ๋? หมู่บ้านเหรอ”
จางจื่ออันตกใจมาก เรื่องจริงที่ว่าในป่าดงดิบแบบนี้มีหมู่บ้านอยู่ก็ให้เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เลย
“นายไม่ได้บอกว่าจุดรวมพลแถวนี้มีแค่พวกหลี่ผีเท่อเหรอ” เขาถาม
“เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านถูกทิ้งร้างไว้นานแล้ว ก่อนฝูงหมาป่าจะมาที่นี่ก็เคยเจอแล้ว ตอนนั้นไม่เหลือใครแล้วด้วย ความจริงจะบอกว่าหมู่บ้านก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะมีบ้านอยู่ไม่กี่หลังเอง”
“อย่างนี้นี่เอง…”
จางจื่ออันมองท้องฟ้า สมมติว่าหาแหล่งน้ำไม่เจอ แทนที่จะกางเต็นท์กลางป่า คืนนี้ไปค้างในหมู่บ้านร้างสักคืนน่าจะดีกว่า
ที่เขาคิดอีกอย่างคือ ในเมื่อเคยมีคนอยู่ ชาวบ้านพวกนั้นอาจจะมีวิธีหาน้ำ เพราะยังไงก็ไปหาบน้ำจากแม่น้ำทุกวันไม่ได้สินะ?
“ดี งั้นฝูงหมาป่าช่วยนำทางพวกเราไปเถอะ” เขาพูด
ฟราเทอร์คำรามเสียงต่ำอีกสองสามครั้ง ฝูงหมาป่าที่ได้รับคำสั่งแล้วก็รวมกลุ่มเปลี่ยนไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตามอยู่ข้างหลัง
เดินไปได้พักหนึ่ง พวกเขาก็พบเส้นทางเล็กๆ สำหรับคนเดินเส้นหนึ่งในป่า ถึงแม้จะมีหญ้าขึ้นรกแล้ว แต่ก็พบป้ายบอกทางเลือนรางอยู่ตรงริมทาง
พอเดินตามลูกศรของป้ายบอกทางอีกสองสามนาที ข้างหน้าก็มีหมู่บ้านขนาดเล็กตั้งอยู่จริงๆ
เหมือนอย่างที่ฟราเทอร์พูด หมู่บ้านที่ว่ามีบ้านอยู่แค่สิบกว่าหลังกระจายอยู่ประปราย บางหลังก่อจากหิน บางหลังสร้างจากไม้ บางหลังเป็นบ้านกึ่งหิน กึ่งไม้ ข้างในหน้าต่างมืดสนิท ดูแล้วน่ากลัวพิลึก
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ตอนเดินอยู่ในป่าแล้วเห็นบ้านหลายหลังแบบนี้กะทันหัน คาดว่าคงจะตกใจจนสะดุ้งโหยง อาจจะคิดว่าเป็นบ้านผีสิงก็ได้ แต่จางจื่ออันกลับไม่กลัวเท่าไร ความรู้สึกกลัวผีก็เป็นผลที่เกิดจากจิตใจเท่านั้น เทียบกับผีแล้ว คนน่ากลัวกว่าอีก
“เป็นที่พักอาศัยของนักล่าสัตว์ในป่าหรือ?” เหล่าฉาถาม
จางจื่ออันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ที่นี่ห้ามล่าสัตว์นานมากแล้ว นอกจากเป็นคนที่มีใบอนุญาตล่าสัตว์ หรือคนที่ไม่สนใจกฎหมายอยู่แล้ว”
ถึงแม้จะมีบ้านนักล่าสัตว์อยู่ในป่า สร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ เอาไว้พักเท้าหลังหนึ่งก็พอแล้ว เหมือนอย่างแจ็คทหารเก่า แต่บ้านพวกนี้เห็นชัดว่าเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเคยมีคนพำนักอยู่เป็นเวลานาน
เขามองเห็นโต๊ะ เก้าอี้ รถเข็นที่ตากแดดอยู่นอกบ้าน ข้างหลังบ้านบางหลังยังมีชิงช้าผุพัง รวมถึงรถเก๋งเชฟโรเล็ตสีแดงของยุคหกศูนย์คันหนึ่ง สีเคลือบลอกจนมองไม่เห็นเค้าเดิม แถมยังมีใบสนและใบไม้หล่นใส่เต็มไปหมด
ประตูบ้านบางหลังเปิดกว้างไว้ บางหลังปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แต่ดูจากเค้าลางหลายๆ อย่างแล้ว ตอนออกไปเจ้าของบ้านไม่ได้รีบร้อน
“ดูตรงนั้นสิ”
จางจื่ออันชี้ไปด้วย พูดไปด้วย “นั่นคือโรงม้ากับ**บเลี้ยงผึ้ง ฉันเข้าใจแล้ว ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนเลี้ยงผึ้งกับคนเลี้ยงม้า”
ข้างๆ บ้านหลังหนึ่งมีกล่องที่ทำจากไม้มากมายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ข้างบนตั้งเพิงไม้เพื่อบังลม บังฝนไว้ด้วย
ไกลออกไปกว่านั้น โรงม้าเป็นทิวแถวบังอยู่ข้างหน้าราวกับกำแพง ช่องใส่อาหารข้างในโรงม้าก็มีใบไม้แห้งร่วงใส่เต็มไปหมดเหมือนกัน
คนเลี้ยงผึ้งกับคนเลี้ยงม้าก็เหมือนห่านป่า อพยพไปตามที่ต่างๆ ระหว่างฤดูผสมพันธุ์ ที่ไหนมีดอกไม้บาน วัชพืชน้ำของที่นั่นอุดมสมบูรณ์ ก็จะย้ายไปที่นั่น พอหมดหน้าดอกไม้ วัชพืชในน้ำเ**่ยวเฉา ก็จะย้ายไปที่อื่น
ที่นี่เคยเป็นสถานที่พักอพยพแห่งหนึ่งของพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่เติบโตไม่หยุดตามแบบแคลิฟอร์เนีย ธุรกิจประเพณีในหุบเขาทางตะวันตกแบบนี้ อาศัยแค่การเลี้ยงผึ้งและเลี้ยงม้าคงจะเลี้ยงชีพให้สุขสบายไม่ได้ เจ้าของบ้านจึงค่อยๆ ทิ้งที่นี่ไป ที่นี่จึงกลายเป็นหมู่บ้านห่างไกลที่ถูกทิ้งร้างเช่นกัน
ถ้าเขาเดาไม่ผิด คนเลี้ยงผึ้งและคนเลี้ยงม้าที่เคยอยู่ที่นี่อาจจะเป็นชาวอินเดียแดง
ชาวอินเดียแดงก็เหมือนโต๊ะวางชุดน้ำชาตัวหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ข้างบนวางเครื่องแก้วเต็มไปหมด
เมื่อคลี่คลายปัญหาได้แล้วว่าหมู่บ้านนี้ถูกทิ้งร้างได้อย่างไร ทุกคนก็วางใจ ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอด
ไม่ว่าอย่างไร สรุปแล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องตั้งเต็นท์