ตอนที่ 712 เขื่อนแตก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 712 เขื่อนแตก

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดชะงักชั่วครู่ เนื่องด้วยความตื่นตกใจ

สิ่งที่เขาคิดถึงเป็นลำดับแรกคือมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับครอบครัวที่จินหลิงหรือไม่

ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวมีกำหนดคลอดในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หากเกิดปัญหากับพวกนางย่อมเป็นปัญหาใหญ่ !

เขารับจดหมายมาแล้วรีบเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว…

“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบห้า เดือนเจ็ด บริเวณแม่น้ำแยงซีตลอดสายเกิดฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันเต็ม ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำแยงซีเพิ่มสูงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งคืนวันที่สามสิบ เดือนเจ็ด ฝนก็ยังคงตกมิขาดสายส่งผลให้ทะเลสาบหยุนเมิ่งขยายวงกว้างกลายเป็นมหาสมุทร ทำลายนาข้าวของชาวนาเสียหายมากกว่า 300 ลี้

เมื่อเขื่อนจิงเจียงประสบกับน้ำที่ไหลหลากเข้ามา ในยามราตรีจึงพบรอยร้าว 3 แห่งด้วยกัน และตอนนี้เมืองเจียงหลิงอีกทั้งที่ราบเจียงฮั่นกำลังเผชิญกับอันตรายอันใหญ่หลวง

……

ในขณะเดียวกันนั้นเองแม่น้ำต้าหลิงแห่งราชวงศ์อู๋ก็ประสบกับฝนตกหนักที่ยากจะได้พบเห็น

เขื่อนที่ตั้งอยู่ในอู่หยวนโจวบริเวณช่วงกลางของริมแม่น้ำต้าหลิงได้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาซึ่งมีผลกระทบต่ออู่หยวนทั้งจังหวัด หมู่บ้านทั้งหมดพังระเนระนาดลงบริเวณที่เกิดอุทกภัย แปลงนาเสียหายทั้งหมด ผู้ว่าการเขตอู่หยวนได้สั่งให้ขุดอุโมงค์ตรงทางเข้าเมืองเพื่อน้ำที่ไหลหลากเข้ามาจะได้ผ่านเข้าไปในอุโมงค์ มันสามารถปกป้องตัวเขตได้ แต่ทว่าจะทำให้อีกสิบกว่าตำบลในสามอำเภอที่อยู่ตรงปลายอุโมงค์นั้นหายวับไปกับตา

จากการคาดการณ์เบื้องต้นของหอเทียนจีพบว่ามีผู้เสียชีวิตในอู่หยวนโจวมากกว่า 300,000 รายและไร้บ้านเรือนอยู่อาศัย…ราว 1,000,000 คน !

องค์จักรพรรดิ์อู๋ทรงพิโรธมากยิ่งนัก ในยามที่จดหมายฉบับนี้ส่งถึงองค์ชาย ฝ่าบาทคงพระราชดำเนินออกจากเมืองกวนหยุนและองครักษ์ชุดแดงกว่าหนึ่งหมื่นนายภายใต้การบัญชาของแม่ทัพไป๋ก็คงเดินทางออกจากภูเขาโต่วฟางไปยังเขตอู่หยวนแล้ว”

คิ้วของฟู่เสี่ยวกวนขมวดเป็นปมแน่น หนึ่งเพราะเขื่อนที่จิงเจียงเกิดรอยร้าวมากถึง 3 แห่งด้วยกัน หากต้านทานมิไหวย่อมถล่มลงมาทั้งหมดเป็นแน่…ผลที่ตามมาช่างยากจะจินตนาการถึง

สองคือเขามิคุ้นเคยกับแคว้นอู๋สักเท่าใดนัก และยังเกิดอุบัติเหตุเขื่อนแตกที่แม่น้ำต้าหลิงขึ้นมาอย่างกะทันหันอีก…

“เจ้ามีแผนที่ของราชอาณาจักรอู๋หรือไม่ ? ”

ซุยเยว่หมิงได้หยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าในอกเสื้อแล้วกางไว้บนโต๊ะ

ฟู่เสี่ยวกวนมองแม่น้ำต้าหลิงที่ปรากฏอยู่บนแผนที่โดยมีซุยเยว่หมิงอธิบายว่า “เขตนี้มีชื่อว่าอู่หยวนเพราะประกอบด้วยที่ราบห้าแห่งด้วยกัน ส่วนแม่น้ำต้าหลิงได้ไหลผ่านที่ราบ 2 แห่ง แห่งแรกมีชื่อว่าที่ราบสือจ้าง แห่งที่สองมีชื่อว่าที่ราบเย่ฮั่ว ซึ่งก็คือตรงนี้…”

ซุยเยว่หมิงชี้ไปยังที่ราบทั้งสองแห่งบนแผนที่แล้วเอ่ยว่า “อุโมงค์ทางเข้าเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสือจ้าง เดิมทีถูกใช้สำหรับการทดน้ำเข้าที่นา แต่ทว่าการขุดเช่นนี้เป็นเหมือนทางระบายน้ำเสียมากกว่า เช่นนั้นที่ราบสือจ้างอันกว้างใหญ่จึงต้องแบกรับน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำต้าหลิง ส่งผลให้อำเภอ 3 แห่งในที่ราบสือจ้างซึ่งกระจุกรวมกันนับสิบตำบลและมีมากกว่าร้อยหมู่บ้านถูกน้ำท่วมในชั่วอึดใจเดียว”

ฟู่เสี่ยวกวนฟังอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา

ห่างไกลเกินช่วยเหลือ หรือต่อให้สามารถทำได้เขาเองก็จนปัญญาอย่างแท้จริง

มิว่าจะเป็นวิกฤตจิงเจียงหรือโศกนาฏกรรมที่อู่หยวนโจว…เขาก็มิสามารถช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง !

การจัดการน้ำเป็นโครงการระยะยาว หากไร้ความยำเกรงต่อสวรรค์ เมื่อเง็กเซียนฮ่องเต้พิโรธขึ้นมาเมื่อใด…เมื่อนั้นมนุษย์ย่อมมิอาจต้านทานได้

เวลานี้จะทำอันใดได้อีกกัน ?

สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คงมิต่างอันใดกับที่บิดาอ้วน ที่แค่ไปเยือนยังสถานที่ประสบภัยแล้วสั่งการให้ช่วยเหลือชีวิตของผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ต้องเตรียมความพร้อมในการป้องกันภัยพิบัติเสมอ มิเช่นนั้นแล้วก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรม

“แผนที่นี้ยกให้ข้าเถิด…” ฟู่เสี่ยวกวนปัดอารมณ์หม่นหมองทิ้งไป พลางเก็บแผนที่ไว้กับตน จากนั้นก็หยิบจดหมายอีกฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อเพื่อส่งให้ซุยเยว่หมิง ในนี้เป็นคำสั่งเรื่องที่มิเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ

“ให้คนส่งจดหมายฉบับนี้ถึงเยียนหานยวี่องค์ชายแห่งแคว้นอี๋… นี่มิใช่ความลับและต้องทำให้ประเจิดประเจ้อเข้าไว้ เพราะข้าต้องการให้เยียนเหลียงเจ๋อรับรู้ด้วย”

ซุยเยว่หมิงตื่นตกใจเล็กน้อย และย่อมเกิดความสงสัย แต่เขาก็มิมีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยถามออกไป ในขณะที่เขากำลังหันหลังจากไปนั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้อธิบายขยายความว่า

“อดีตจักรพรรดิของแคว้นอี๋ได้แต่ตั้งเยียนหานยวี่องค์ชายแขนเดียวผู้นี้ไปบริหารเขตฉางทาน… ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นแร้นแค้นมากยิ่งนัก ในเมื่อแขนข้างนั้นของเขาถูกขายให้กับข้าแล้ว ข้าคงมิอาจทนเห็นเขาลำบากแล้วมิยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้หรอกนะ”

มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีแผนการใดซ่อนอยู่ แต่ทว่าทั้งหนิงหยู่ชุน หยุนซีเหยียน หรือแม้แต่ซุยเยว่หมิงต่างก็รู้ดีว่านี่มิใช่แผนการที่ดี อย่างแน่นอน

บุรุษผู้นี้กำลังคิดอันใดอยู่กัน ?

แคว้นอี๋กำลังทำศึกอยู่กับแคว้นฮวงนี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อราชวงศ์หยู หรือเขาต้องการก่อความวุ่นวายให้แคว้นอี๋มากเป็นทวีคูณกัน ?

หากแคว้นอี๋เกิดปัญหาภายในขึ้นย่อมทำให้เฟิงเสียนชูหันทัพกลับแคว้น ส่วนชาวฮวงได้พักจากสงครามและนี่จะเป็นผลร้ายต่อราชวงศ์หยู !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ชี้แจงสิ่งใดทั้งสิ้น ซุยเยว่หมิงจึงก้มลงคำนับแล้วทูลลา จากนั้นสายตาของฟู่เสี่ยวกวนจึงจ้องมองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง เขาเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าว่า

“ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงมิกี่ฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นมิเมามายมิเลิกรา…”

“วันไหว้พระจันทร์มาเยือนแล้ว คืนนี้ข้าจะเลี้ยงสุราพวกเจ้าทั้งสองที่หอสุ่ยหยุนเอง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเก็บจดหมายรายงานฉบับนั้นแล้วเดินออกไป ส่งผลให้สำนักงานเลขาธิการแห่งนี้หลงเหลือเพียงแค่หนิงหยู่ชุนและหยุนซีเหยียน 2 คน

หยุนซีเหยียนรีบสะสางงานที่อยู่ในมือ จากนั้นก็หันหน้าไปมองหนิงหยู่ชุนเพื่อเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าหนิง ท่านและติ้งอันป๋อคบหากันมาช้านาน เขา…เป็นคนลึกลับถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

หนิงหยู่ชุนส่ายศีรษะแล้วยิ้ม “ช่างตอบยากยิ่ง เพราะบางคราเขาก็เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่มีนิสัยร่าเริง มิอ้อมค้อม แต่ทว่าก็มีบางครา…ที่เขาเป็นเหมือนผู้เฒ่าอายุ 80 ปีที่มีปัญญาเลิศล้ำ คาดเดามิได้ว่าต้องการทำสิ่งใดและแปลความหมายที่แอบแฝงลึก ๆ ในคำเอ่ยของเขามิออก”

หนิงหยู่ชุนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเลิกคิ้วขึ้น “เยี่ยงไรเสียเขาย่อมมิทำสิ่งใดโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน เกรงว่าครานี้คงจะเกิดหายนะขึ้นมาเสียแล้ว”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังจวนแล้วเขียนจดหมายยาวเหยียดถึงบิดาอ้วน ในจดหมายฉบับนี้ได้เขียนอธิบายความรู้ทุกอย่างที่เขามีเกี่ยวกับการชลประทานลงไป

เขาหวังว่าบิดาอ้วนจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาแม่น้ำ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโศกนาฏกรรรมแบบนี้จะมิเกิดขึ้นมาอีก

บัดนี้เขาก็กำลังคิดแผนการจัดการกับแคว้นอี๋ และในช่วงเวลาเดียวกันเยียนเหลียงเจ๋อก็กำลังคิดแผนจัดการเขาอยู่เช่นกัน

ในห้องทรงพระอักษรประจำเมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋นั้น เยียนเหลียงเจ๋อประทับอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอัครมหาเสนาบดีเปียนมู่หยู

“แม่ทัพเฟิงมิเคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ ทุกวันนี้เขตแดนเมืองหลานฉีของชาวฮวงตกอยู่ในกำมือของข้าเกินครึ่งแล้ว ท่าป๋าเฟิงจึงส่งหนังสือมาขอสงบศึก และในหนังสือฉบับนี้มีประโยคหนึ่งที่ข้าเห็นพ้อง เช่นนั้นแล้วข้าจึงยกเลิกแผนการครอบครองดินแดนตรงเขตหลานฉีที่เหลือ แล้วเห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึกกับชาวฮวง”

เปียนมู่หยูเคยอ่านหนังสือเจรจาฉบับนั้นมาก่อนและรู้ดีว่าประโยคที่เยียนเหลียงเจ๋อเห็นพ้องคือประโยคใด

ประโยคนั้นได้เขียนไว้ว่า ‘มหาสมุทรทางเหนือมีปลาคุน1 อาศัยอยู่ในน้ำมิอาจล่าขึ้นมาได้ หากปลาคุนแปลงร่างเป็นพญาปักษา ทูลถามองค์เหนือหัวว่าผู้ใดสามารถต้านทานได้ ?

จะดีกว่าหรือไม่หากพวกเราฉวยโอกาสในยามที่ยังเป็นปลาอยู่ มาร่วมมือล่าด้วยกันแล้วนำมาประกอบอาหารเพื่อแบ่งปันกันเอง !

เยียนเหลียงเจ๋อเงียบไปชั่วอึดใจแล้วตรัสออกมาว่า “หากฟู่เสี่ยวกวนตายไปสักคน การปฏิรูปที่ราชวงศ์หยูก็คงจะหยุดชะงักลงในทันใด ส่วนความหวังของราชวงศ์อู๋นั้น…ก็จะขาดสะบั้นลง ส่วนข้ากับเจ้าก็ถือว่าได้แก้แค้นให้กับเปียนหรงเอ๋อด้วย”

“ข้าคิดทบทวนมาแล้วเห็นว่าควรให้แคว้นฮวงกุมบังเหียนเสียดีกว่า เพราะหากฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้าชาวฮวงบุกรุกทางใต้ มิว่าแคว้นฮวงหรือราชวงศ์หยูผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋เยี่ยงข้าอยู่ดี

ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้น…”

เยียนเหลียงเจ๋อกำพระหัตถ์แน่นโดยมิรู้ตัว แม้ว่าตอนนี้จะได้เป็นองค์จักรพรรดิแล้ว แต่ทว่าก็ยังรู้สึกหวาดระแวงฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในใจลึก ๆ

“สำหรับฟู่เสี่ยวกวน แน่นอนว่าข้าจะมิส่งกองทัพไปโจมตีด่านหว่าเฉียวได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้มันคอยชี้นิ้วสั่งอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าอย่างสุขสบายได้อย่างแน่นอน ดังนั้นต้องทำให้มันเกิดความรำคาญใจจนอยู่มิเป็นสุข”

เปียนมู่หยูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “นี่…มิสามารถสังหารปลาตัวนั้นได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เยียนเหลียงเจ๋อมิได้ออกความเห็นใด ๆ เขาเพียงรินชาให้กับเปียนมู่หยูด้วยพระองค์เอง “ปลาคุนที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนั้น ควรค่อย ๆ เชือดให้ตายจะดีกว่า ! ”

1ปลาคุน คือ พญามัจฉาชื่อ ‘คุน’ เมื่อผ่านไป 10,000 ปีจึงกลายร่างเป็นพญาปักษาชื่อ ‘เผิง’ เรียกรวมกันว่า ‘คุนเผิง’