ตอนที่ 1095 สิ่งที่คิดอยู่ในใจ โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจบการสนทนากับทางแนวหน้า ไนติงเกลก็เอาห่วงจดหมายลับสีขาวเงินมาวางบนโต๊ะเขา
นี่เป็นที่รัดจดหมายที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับนกส่งจดหมาย โดยมันทำขึ้นมาจากแผ่นอลูมิเนียมสองแผ่น ข้างในสามารถใส่ม้วนจดหมายขนาดเท่าฝ่าบาทได้หนึ่งแผ่น เมื่อเทียบกับการเอาผ้าไปมัดไว้กับขานกอย่างในตอนแรกแล้วถือว่าดูดีกว่ามาก ยิ่งเมื่อมี ‘กระดาษชนิดบางพิเศษ’ ที่โซโรยาทำขึ้นมา ทำให้นกสามารถบรรทุกจดหมายลับได้มากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่ระยะทางในการส่งจดหมายเพิ่มมากขึ้นมากกว่า 500 กิโลเมตร เปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุของนกส่งจดหมายก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจมองข้ามได้ ด้วยเหตุนี้สำนักบริหารของแต่ละท้องที่จึงมีการตั้งจุดพักสำหรับนกส่งจดหมายขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีการตีหมายเลขลงไปบนห่วงเพื่อใช้ในการคัดแยกจดหมายลับ ขอเพียงมองดูก็จะรู้ว่านี่เป็นจดหมายที่ส่งมาจากไหนและจะส่งไปที่ไหน
ส่วนตัวหนังสือ D ที่อยู่บนห่วงรัดจดหมายก็หมายความว่ามันถูกส่งมาจากอาณาจักรดอว์น ในตอนที่โรแลนด์กำหนดระบบตัวอักษรแบบนี้ขึ้นมาเนื่องจากเหตุผลทางความลับ เขาเลือกใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนสัญลักษณ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสี่อาณาจักรเพื่อความสะดวกของตัวเขาเอง
“ส่งมาจากเมืองธอร์นอาณาจักรดอว์นงั้นเหรอ?” เขาเลิกคิ้ว “เจ้ารับมันมาเมื่อไร?”
“เมื่อ 10 นาทีก่อนหน้านี้ฮันนี่เอามันมาส่งให้หม่อมฉันเพคะ” ไนติงเกลตอบ “แต่หม่อมฉันเห็นพระองค์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ก็เลยไม่อยากรบกวนพระองค์เพคะ”
หรือว่าที่ซากโบราณสถานเคจเมาเธ่นจะเจออะไรใหม่ๆ? โรแลนด์แกะที่รัดจดหมายออกมา ก่อนจะเอาจดหมายออกมากางอ่าน
เนื้อหาในจดหมายค่อนข้างยาว เขาใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเข้าใจสถานการณ์ที่หัวหน้าองครักษ์ของเขาพบเจอมาในช่วงนี้
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ศาสนจักรมาขอความช่วยเหลือจากทางเกรย์คาสเซิล” โรแลนด์วางจดหมายลงพร้อมกับทอดถอนใจออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าทันทีที่ทิ้งเฮอร์มีสไป พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถไปสร้างอิทธิพลในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลซักที่ได้อยู่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นอดีตมุขนายกของศาสนจักรเสียเองที่ทำลายผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายเหล่านั้นของศาสนจักร
“มีเบาะแสของพวกสุนัขรับใช้ศาสนจักรพวกนั้นแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลถามอย่างสงสัย
“ถ้าบนจดหมายบอกเอาไว้ไม่ผิดล่ะก็ ศาสนจักรแทบจะล่มสลายจนไม่เหลือแล้ว” โรแลนด์ส่งจดหมายให้อีกฝ่าย “ความหวังสุดท้ายของพวกเขากลับเป็นฝ่ายหักหลังพวกเขาเสียเอง”
ไนติงเกลมองไปทางเขาหลังอ่านจดหมายจบ “อย่างนั้นพระองค์คิดจะทำยังไงเหรอเพคะ?”
“ในเมื่อพ่อบ้านของเอิร์ลแห่งเกาะอาชดยุครับสารภาพมาหมดแล้ว เบาะแสของสมบัติในซากโบราณสถานเองก็มีแล้ว ช้าเร็วข้าก็ต้องส่งคนเข้าไปในวูล์ฟฮาร์ทอยู่ดี” โรแลนด์เคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ลูกบาสก์เวทมนตร์แห่งการบูชายัญทำปฏิกิริยากับแผ่นยูเรเนียมความบริสุทธิ์สูง อย่างนั้นภาพที่อยู่บนผนังถ้ำคงไม่ใช่แค่ภาพวาดศิลปะธรรมดาๆ เสียแล้ว ไม่ว่ามันจะใช้ทำอะไร มันก็ควรจะอยู่ในการดูแลของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะดีที่สุด ส่วนเรื่องฟาร์รีน่าที่เป็นผู้รักษาการณ์พระสันตะปาปาที่ถูกจับเอาไว้คนนั้น…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “พาตัวกลับมาสอบสวนพร้อมกับโจก็แล้วกัน”
“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ต้องตอบแบบนี้เพคะ” ไนติงเกลยิ้มๆ
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ชอบคำตอบนี้เสียอีก” โรแลนด์พูดอย่างระมัดระวัง “เพราะว่าศาสนจักรเคยทำร้ายพวกเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ”
“จริงอยู่ที่หม่อมฉันเคยเกลียดศาสนจักรมาก จะกระทั่งพาลเกลียดพวกมนุษย์ไปด้วย” ไนติงเกลพูดเปิดอก “แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดคืออควาเรียสซึ่งเป็นแม่มดเหมือนกัน อีกทั้งนางยังทำไปเพื่อความอยู่รอดของแม่มดด้วย ความคิดของหม่อมฉันก็เลยเปลี่ยนไปจากเดิม จะบอกว่าเกลียดก็คงไม่ใช่ มันกลับกลายเป็นความรู้สึกว่านางทั้งน่าสงสารและน่าเศร้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นศาสนจักรที่เมืองสตาร์ฟอลสร้างขึ้นมาก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้หม่อมฉันอยากจะล้างแค้นก็ไม่รู้จะไปล้างแค้นกับใครแล้วเพคะ”
“เอ่อ…เจ้าเคยเกลียดมนุษย์ด้วยเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ
“ใช่น่ะสิเพคะ” ไนติงเกลถลึงตาใส่เขา “การตื่นรู้ไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะไปควบคุมได้ หม่อมฉันเองก็ไม่เคยเอามันไปทำเรื่องที่ไม่ดี แล้วทำไมหม่อมฉันถึงต้องถูกไล่ล่าเหมือนหมูเหมือนหมาด้วยล่ะเพคะ? พวกมันไม่ได้มองหม่อมฉันเป็นพวกเดียวกัน แล้วทำไมหม่อมฉันต้องทำเหมือนพวกมันเป็นพวกเดียวกันด้วย นี่น่าจะเป็นความคิดของหม่อมฉันในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันยังมั่นใจด้วยว่าพี่น้องแม่มดส่วนใหญ่ก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“ตอนนั้นเจ้าจึงได้ถือมีดแล้วมาปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนของข้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ตอนนั้นหม่อมฉันควบคุมพลังได้ดีแล้วเพคะ” ไนติงเกลหลุดขำออกมา “ความคิดที่รังเกียจมนุษย์เช่นนี้มันเกิดมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเพคะ แต่เรื่องที่หม่อมฉันเกลียดพวกขุนนางนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอนเพคะ ถ้าไม่เป็นเพราะว่าอันนาอยู่ในมือพระองค์ หม่อมฉันคงไม่อดทนนั่งคุยกับพระองค์เป็นแน่…พระองค์ทรงลืมฉายาของหม่อมฉันก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอเพคะ?”
ข้าไม่ได้ลืมซักหน่อย นักฆ่าแห่งเงามืด มัจจุราชที่ทำให้ขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงเก่าต่างหวาดผวา
“อย่างนั้นที่เจ้าทำเป็นยั่วยวนข้าในตอนนั้น…”
“แกล้งทำเพคะ” ไนติงเกลพูดพร้อมเอามือปิดปาก “ถ้าทำให้พระองค์ทรงเผยธาตุแท้ออกมาได้ ก็จะทำให้อันนางยิ่งเข้าใจว่าขุนนางเป็นคนยังไงกันแน่ แต่เสียดาย…”
เสียดายอะไร? เจ้าเสียดายที่ทำให้อันนาออกไปจากเมืองชายแดนไม่ได้ หรือว่าเสียดายที่ยั่วยวนข้าไม่สำเร็จ? โรแลนด์พูดอย่างเคืองๆ ว่า “ดูเหมือนตอนนั้นข้าจะโชคดีทีเดียวนะเนี่ย”
“ตอนที่ในใจมีแต่ความเกลียด คนเราก็มักจะทำได้ทุกอย่างนั่นแหละเพคะ” ไนติงเกลตบ่าเขา “แต่หลังจากนั้นไม่นานหม่อมฉันก็พบว่าที่แท้ในหมู่ขุนนางก็ยังมีคนอย่างพระองค์อยู่ หม่อมฉันเลยคิดว่าบางทีลองเชื่อใจพระองค์ดูก็คงไม่เลวเหมือนกันเพคะ”
“ข้าควรจะขอบคุณเจ้าสินะ?”
“ไม่เป็นไรเพคะ” เธอพูดเหมือนตัวเองถูกอย่างมั่นใจ “ส่วนหลังจากนั้นที่เราพบว่าในบรรดาแม่มดยังมีแม่มดผู้บริสุทธิ์เหมือนอย่างซีโร่อยู่ ความคิดที่ไม่โตเหล่านั้นก็เลยไม่มีเหลืออยู่แล้วเพคะ”
“งั้นเหรอ…เจ้าก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย” โรแลนด์ทอดถอนใจ
“ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าพระองค์ดูหดหู่ล่ะเพคะ?” ไนติงเกลโน้มตัวลงมา เส้นผมของเธอปรกลงมาตรงหน้าผากเขา “ถึงก่อนหน้านี้จะแกล้งทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนั้นจะแกล้งทำเหมือนกันนะเพคะ อย่างเช่น…ตอนนี้”
พอพูดจบ เธอก็หายตัวไปในหมอกมายา ก่อนไปปรากฏตัวอยู่บนเก้าอี้นอนพร้อมกะพริบตาให้เขาอย่างทะเล้น
โรแลนด์ลุกขึ้นมาอย่างหมั่นเขี้ยว ในขณะที่กำลังจะเข้าไปสั่งสอนเธอให้รู้สักหน่อยว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล โทรศัพท์ภายในห้องพลันดังขึ้นมา
บารอฟจากสำนักบริหารโทรเข้ามา
เขาส่งสายตาให้ไนติงเกลเหมือนจะบอกว่า ‘เจ้ารอก่อนเถอะ’ จากนั้นจึงรับโทรศัพท์ขึ้นมา
“ฝ่าบาท” เสียงบารอฟดังขึ้นมาทันที “มีแขกพิเศษจากเมืองหลวงเก่าคนนึงบอกว่าอยากจะขอเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
แขกที่ทำให้หัตถ์ของพระราชาพามาเข้าเฝ้าด้วยตัวเองได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ เลย “โอ้? เขาเป็นใคร?”
“ท่านเคแกน เฟส ปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวที่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของบารอฟฟังดูค่อนข้างตื่นเต้น
ทำไมเป็นเขาอีกแล้วล่ะ? โรแลนด์ขมวดคิ้ว เขาปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างชัดเจนในจดหมายแล้วไม่ใช่เหรอ? “ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมาก ถ้าเขาไม่มีเรื่องสำคัญอะไร…”
“มีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” บารอฟรีบเล่าถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที
“เจ้าแน่ใจ?” โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคนพูดออกมาเองเลยพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าสำนักบริหารพูดอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โรแลนด์พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปลี่ยนความคิดที่มีก่อนหน้านี้ไป “ข้าจะไปพบเขาที่ห้องรับแขกของปราสาท เจ้าไปจัดการให้หน่อย”
…………………………………………………………