ตอนที่ 15 ProjectZyphon
ผมยืนมองสมาชิกเผ่าอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปช้าๆ
“ซู…”
“แคลน…”
ทุกคนคงจะรู้สึกได้ถึงผมที่กำลังเดินเข้ามา จึงได้หันหลังกลับมามอง แต่ผมก็ยกมือห้ามไว้ได้ทัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปแทรกกลางพวกเขาอย่างช้าๆ
และสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าสุสานนั่น ทำเอาผมต้องส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ
อันฮยอนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสุสาน แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิท แต่ท่าทางของเขาดูเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก
อันฮยอนก้มตัวลง แล้วจึงก้มกราบสองครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เวลาผ่านเลยไปสักระยะหนึ่ง เขาจึงค่อยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่หันตัวกลับมาอย่างเฉยชา และแน่นอนว่าหันกลับมามองผมด้วย น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าผมมา
“ท่านพี่ ผมได้ยินมาว่าหากเรารวบรวมคะแนนได้หนึ่งล้านโกลเด้นพอยต์ เราจะสามารถใช้ความปรารถนาในการชุบชีวิตผู้เล่นได้ครับ”
“…”
“ท่านพี่ ผมอยากช่วยชีวิตพี่ซังยงครับ ไม่สิ ผมต้องช่วยพี่เขาให้ได้ครับ”
ไม่ได้เจอหน้ากันสักระยะหนึ่งแท้ๆ แต่เขาก็ต้อนรับผมด้วยประโยคเหล่านั้นโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่ออันฮยอนพูดประโยคข้างต้นจบ ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันจับจ้องมาที่ผมทันที
จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนแบกอะไรอยู่บนบ่า พร้อมกันนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อห้าวันก่อน จึงได้ฉายภาพสะท้อนอยู่ในหัวผมอย่างรวดเร็ว
‘พอก่อนเถอะ’
‘ขอร้อง…ขอร้องล่ะ หยุดทีเถอะ เรื่องนั้น…ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง’
‘คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดยาวแล้วนะครับ งั้นพอแค่นี้ครับ ขอจบวันนี้ไว้เพียงเท่านี้’
‘แล้วก็ในหนึ่งวันนี้…ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ แยกย้ายได้ครับ’
ผมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อตอนนั้น
พูดแบบนั้นไม่ได้ เราต้องอย่าเลี่ยงสิ
ใช่แล้ว อย่างน้อยๆ เราจะต้องจัดการปัญหาเรื่องชินซังยงให้เสร็จสิ้นเสียที
ผมหันหน้าไปมองด้วยท่าทีนิ่งเฉย ก่อนที่จะใช้สายตากวาดมองทุกคนทีละคน ทีละคน ผมรู้ดีว่าทำไมอิมฮันนาหรือโกยอนจูถึงได้เป็นห่วงผมขนาดนั้น
ผมกำลังหลีกเลี่ยงปัญหาของชินซังยง ผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับอนาคตที่จะมาถึงในภายภาคหน้า
ผมค่อยๆ เรียบเรียงความคิดตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วจึงจ้องอันฮยอนอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาของเขาดูไหวหวั่นมากทีเดียว
จากนั้นผมจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ฉันไม่มีความคิดที่จะช่วยให้เขาฟื้นตั้งแต่แรกแล้ว และคิดว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วด้วย”
“…”
“…มันไม่ง่ายเลยนะ นายมั่นใจใช่ไหม ว่าจะไม่เสียใจภายหลัง”
“ครับ ผมจะไม่มีวันเสียใจอย่างเด็ดขาดครับ”
อันฮยอนตอบกลับมาทันทีทันใด ผมรับรู้ได้ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขา ผมจึงพูดประโยคตอบกลับไป ประโยคนั้นคือคำตัดสินของปัญหาที่ผมเอาแต่เบือนหน้าหนีมาตลอด
“ดี เรื่องที่นายจะช่วยเขา ฉันจะไม่ห้ามอีกต่อไปแล้ว”
สีหน้าอันฮยอนพลันดูสดใสขึ้นมา แต่แล้วผมก็พูดต่อออกไปทันที
“แต่สัญญากับฉันหนึ่งอย่าง”
“สัญญา…หรือครับ”
“ในอนาคต เมื่อชินซังยงได้ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว”
ตอนที่นายจะได้รู้ความจริงที่ว่า ชินซังยงไม่อาจกลับไปยังโลกมนุษย์ได้อีกต่อไปแล้ว
“ไม่ว่านายจะเจอกับสถานการณ์อะไร…จะต้องอดทนอย่างเดียว อดทนอย่างไม่มีเงื่อนไข”
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อันฮยอนทำสีหน้างุนงงขึ้นมา เขาทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมพูดอยู่ตอนนี้ แต่แล้วเขาก็ยังมุ่งหวังที่จะช่วยชีวิตชินซังยงให้ได้อย่างสุดแรงกล้า จึงได้รีบพยักหน้าทันที
พออันฮยอนตกลงรักษาสัญญา ผมจึงถอนหายใจยาวๆ ออกมาอย่างเสียมิได้
“เข้าไปกันเถอะ”
“ซูฮยอน ก่อนอื่นก็กินข้าว…”
“ไม่ครับ ผลประชุมครั้งที่หนึ่งออกมาแล้วครับ เพราะฉะนั้น ขอให้ไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมชั้นสาม…”
ผมหยุดพูดไปโดยไม่รู้ตัว
และก่อนที่จะพูดต่อไปอีกครั้ง ผมก็เงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน
“…”
หมอกหนาทึบที่เข้าปกคลุมท้องฟ้ายามเช้านั้นได้สลายหายไป ก้อนเมฆสีขาวนวลค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาแทนที่ ดวงอาทิตย์พาดผ่านอยู่ตรงกลางท้องฟ้า แสงแดดสาดส่องลงมาทั่วสนามหญ้า
“…ก่อนอื่นเรารับประทานอาหารกันก่อนดีกว่าครับ ขอเชิญทุกคนนะครับ”
แสงแดดเริ่มแผ่ไอร้อนออกมา ส่วนตัวผมก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเดินออกไปอย่างเฉยชา
* * *
ขณะนี้ แม้จะได้เวลาแล้วก็ตาม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถยืนยันได้กับตาตัวเอง นั่นก็คือ เซราฟที่ทำสีหน้ากระอั่กกระอ่วนใจ ท่าทีของหล่อนดูกระสับกระส่ายมาก
“ปะ ไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหนหรือคะ”
“สำหรับทูตสวรรค์และปิศาจนั้น มีกุญแจสำคัญที่ชื่อว่า ซีโร่โค้ดอยู่ สำหรับทูตสวรรค์ กุญแจดอกนั้นคือ เครื่องมือพิทักษ์สวรรค์ที่จะต้องปกป้องให้ได้ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม แต่สำหรับพวกปิศาจ คือ กุญแจใช้ไขเพื่อเข้าครอบงำสวรรค์”
“…เฮ้อ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ท่านไปได้ยินมาจากไหน แล้วจากใครกันก็ตาม แต่…ดูเหมือนท่านจะไปได้ยินเรื่องนี้มาจากพวกปิศาจสินะคะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
ผมอ้างข้อมูลเช่นนั้นไปตามที่ได้ยินมาจากแอสทารอธเป๊ะๆ จริงๆ แล้วไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ยังได้ยินเรื่องราวอื่นๆ อีกมากด้วย แต่ผมไม่สนว่าเรื่องอื่นจะจริงเท็จสักแค่ไหน ผมสนแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น
และตอนนี้ผมก็กำลังเฝ้ารอคำตอบจากอีกฝ่าย
“…”
“…”
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมได้แต่รอแล้ว รอเล่า ทว่าเซราฟก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมาแต่อย่างใด
บรรยากาศโดยรอบเกิดความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงโต้ตอบ ผมได้แต่กัดปากตัวเองจนเลือดแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว
ผมไม่รู้สึกถึงลางสังหรณ์หรือสัญญาณบอกเหตุอะไรใดๆ เลย นับตั้งแต่ได้เห็นอากัปกิริยาของเซราฟที่เป็นเช่นนั้น
เซราฟทั้งนิ่ง เงียบ และสุขุมอยู่ตลอดเวลา ทว่าขณะนี้ หล่อนกลับแสดงท่าทีเหมือนกับกำลังข่มความกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นมากะทันหัน ซึ่งหากเป็นยามปกติ หล่อนก็คงจะตอบออกมาภายในเวลาไม่เกินห้านาทีแล้วว่า เรื่องที่ผมได้ยินมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
ผมจึงเปิดปากพูดออกไปอีกครั้งหนึ่ง
“ตอบ”
“…”
แต่กระนั้นทุกอย่างก็ยังเงียบเหมือนเดิม
ตอนนี้ความจริงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วสินะ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ปลายดาบที่เล็งไปทางเซราฟก็เริ่มสั่นน้อยๆ อาการเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมจะใช้ฝีมือหรือเทคนิคอะไรใดๆ เพียงแค่มือเจ้ากรรมที่กำลังจับด้ามดาบอยู่นั้น ออกอาการสั่นก็เท่านั้น
เหล่าทูตสวรรค์คือ เผ่าพันธุ์ที่มีเหตุผลและตรรกะในตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าคำคำนั้นที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดออกมา กำลังค่อยๆ กลืนกินไปยังกระดูกมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชอย่างบอกไม่ถูก
นานมาแล้ว ที่ผมรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ เหมือนมีอะไรแตกร้าวอยู่ภายในใจตัวเอง แต่ผมก็ยังยืนหยัดต่อสู้มาตลอด เพราะยังมีความหวังที่ตัวเองเฝ้าปรารถนามาตลอดสิบปี ความหวังนั้นยังอยู่กับผมมาจวบจนทุกวันนี้
ผมคิดทบทวนทุกอย่างจนกระทั่งถึงความคิดสุดท้าย จึงได้ปริปากพูดออกไป
“พวกเธอแพ้งั้นเหรอ”
“แพ้…หรือคะ”
“แพ้สงครามที่ต่อสู้กับปิศาจงั้นเหรอ แพ้ก็เลยกลัวการต่อสู้กับพวกมัน ไม่สิ พวกเธอคงกลัว จนไม่กล้าออกไปสู้กับพวกมันอีก สุดท้ายก็เลยคิดอะไรตามใจตัวเอง สะเออะอัญเชิญมนุษย์ลงมาเป็นตัวแทนของพวกตัวเองอย่างนั้นล่ะสินะ”
“กลัวหรือคะ กลัวพวกปิศาจมากเสียจนไม่ยอมออกมาสู้เองอย่างนั้นหรือคะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน ท่านเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วค่ะ ข้าต้องขอเรียนให้ทราบว่า อย่างน้อยๆ แล้ว เรื่องที่ท่านว่ามามันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใดค่ะ”
“แล้วทำไมกันล่ะ”
“ระ เรื่องนั้น…เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดได้ค่ะ เป็นข้อมูลที่มิอาจเปิดเผยให้ผู้เล่นทราบได้ แต่อย่าลืมไปนะคะ ว่าสิ่งมีชีวิตที่บอกข้อมูลให้ท่านทราบนั้น แท้แล้วพวกเขาก็คือปิศาจดีๆ นี่เอง ท่านไม่ทราบหรือคะว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน”
คำตอบของเซราฟดังแว่วเข้ามาในหู ผมจึงรีบหลับตาลงทันที ความรู้สึกอนาถใจ สังเวชใจ เวทนาตัวเองเริ่มซึมลึกเข้าไปทั่วทุกอณูของร่างกาย
“ฮ่าๆ ตอนนี้ผมกลัวคำคำนั้นมากกว่าอีก”
“ผะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน?”
“งั้นอะไรล่ะ แบบนี้แสดงว่าที่เหลือก็คือความจริงอย่างนั้นใช่ไหม…”
“…!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงที่คอยรักษาโทนเสียงมาโดยตลอดก็ขาดผึง พร้อมกันนั้น ฟางที่เป็นความหวังเส้นสุดท้ายที่ผมจับไว้มาตลอดสิบปีก็ได้ขาดออกจากกัน
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“แก…”
ทว่าวินาทีนั้น ผมกลับรู้สึกหายใจไม่สะดวก จึงได้หยุดพูดไปเสียดื้อๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่ามวลอากาศหยุดไหลเวียนวน
ผมจ้องไปที่เซราฟอย่างช้าๆ หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองปลายดาบที่เพ่งเล็งเข้าหาตัวเอง
ปีกเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง จนไม่อาจนับจำนวนครั้งถ้วนได้
เซราฟมองผมด้วยสีหน้าเวทนาเกินทน ก่อนที่จะหลบสายตา หลับตาลงทันที
วินาทีที่ผมเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ผมจึงตะโกนออกมาเสียงดังลั่น พร้อมกับวิ่งบุกเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด
“ไอ้ XX!”