ตอนที่ 247-2 เรื่องในปีนั้น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เห็นสีหน้าของสวีโย่วไม่ดีเล็กน้อย เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาทอาจจะสังเกตอะไรได้หลังจากเรื่องเกิด ดังนั้นเขาเพียงแค่กักขังไท่จื่อ ไม่ได้ตัดสินโทษ ถอดยศไท่จื่อของเขาก็เพียงเพราะต้องการปกป้องเขาก็เท่านั้นเอง”

 

 

สีหน้าของสวีโย่วดีขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขามองเสิ่นเวยด้วยดวงตาเป็นประกาย ถอนหายใจกล่าว “เวยเวยเจ้าฉลาดจริงๆ” ให้นางวิเคราะห์เช่นนี้ คดีก่อกบฏของท่านพี่ไท่จื่อปีนั้นก็เต็มไปด้วยช่องโหว่ทันที

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “คนนอกเห็นชัดรู้หรือไม่ อีกอย่าง ข้าไม่เชื่อว่าในกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งราชสำนักจะไม่สงสัยเลย เพียงแค่ดูท่าทีของฝ่าบาทก็เท่านั้นเอง ฝ่าบาทเชื่อทั้งหมดเลยหรือ ก็ไม่แน่ เพียงเพราะว่าหลักฐานมัดตัว จำใจต้องรับผิดชอบต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักก็เท่านั้นเอง เห็นแล้วหรือยัง แม้ว่าวิธีการจะหยาบ แต่ใช้ได้ผลก็พอแล้ว หรือว่าหลังเรื่องจบท่านไม่เคยตรวจสอบเลยหรือ จานซื่อผู้นั้นไม่มีครอบครัว หรือว่าครอบครัวสูญหายไปก่อนแล้ว”

 

 

สวีโย่วลูบจมุก กล่าวอย่างไม่สบายใจ “เป็นเช่นนี้จริงๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าใช้กำลังทหารมังกร ภายในครึ่งเดือนครอบครัวจานซื่อผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”

 

 

เสิ่นเวยยกยิ้มอย่างพอใจ วางท่าทางว่าดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ “จดหมายเหล่านั้นน่าจะเป็นของปลอมทั้งหมด เอาลายมือของไท่จื่อกับอ๋องเคียงบ่ามา หาคนปลอมก็ง่ายดายไม่ใช่หรือ” คนอื่นไม่รู้ แต่นางกลับทำได้ อ้อยังมี อาจารย์ซูของนางทำงานนี้ได้ช่ำชองยิ่งกว่า

 

 

ดวงตาของสวีโย่วก็ยิ่งเป็นประกาย มองเสิ่นเวยอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้น นี่ทำให้เสิ่นเวยอดระวังตัวขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมถึงมองข้าอย่างนั้น น่าขนลุก!”

 

 

สวีโย่วยิ้มเอาใจ กระซิบเสียงเบาข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค กล่าวร้องขอ “เวยเวยคนดี เจ้าฉลาดมากความสามารถเพียงนี้ ก็ช่วยข้าหน่อยเถิด” มือใหญ่บีบไหล่ของเสิ่นอย่างกระตือรือร้น

 

 

“ท่านหาเรื่องมาให้ข้าเก่งจริงๆ” เสิ่นเวยถลึงตามองสวีโย่วอย่างอารมณ์ไม่ดีปราดหนึ่ง เพียงแค่ดูจากที่คนหลังม่านสามารถใช้เวลานานเพียงนี้วางแผนเช่นนี้ได้ ก็รู้ถึงอำนาจฝีมือของคนผู้นี้แล้ว นางเผลอตัวเข้าไปมีส่วนร่วมจะดีหรือ

 

 

“เป็นคนเก่งก็เหนื่อยหน่อย ใครให้ข้ามีฮูหยินที่เก่งกาจเล่า แต่เจ้าบอกไว้ว่า ข้าเพียงแค่รับผิดชอบหน้าตาดี เจ้ารับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว” สวีโย่วคนหน้าไม่อายผู้นี้คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ประโยคนี้ก็ยกมาอ้างได้ จุๆ ควรจะให้ท่านพี่ไท่จื่อในตำหนักโยวหมิงมาดูฝีปากที่น่าไม่อายของน้องชายเขาจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยอยากตบหน้าใบนี้ตรงหน้าออกไปเสียจริงๆ นี่มันคนเสเพลไม่รู้จักทำมาหากิน ก่อนแต่งนางยังถูกทำให้ซาบซึ้งจะเป็นจะตายอยู่เลย

 

 

คิดครู่หนึ่ง เสิ่นเวยจึงกล่าวอย่างสุดความสามารถ “เอาเถอะ ข้าจะคิดหาวิธี เฮ้อ ใครให้ข้าชอบหน้าใบนี้ของท่านเล่า” นางบีบหน้าสวีโย่วอย่างเคืองแค้น

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยไม่ได้ไม่ยินยอมเหมือนอย่างที่นางแสดงออกมา ชั่วพริบตานางก็คิดไปมากอย่างยิ่ง ตอนที่ฮ่องเต้ยงเซวียนครองบัลลังก์ สวีโย่วได้รับความโปรดปรานมากล้น ชีวิตของพวกเขาก็สบายยิ่งนัก

 

 

หลังฮ่องเต้ยงเซวียน หากไท่สื่อองค์ปัจจุบันสืบทอดบัลลังก์ พวกเขาก็น่าจะยังเป็นอิสระได้ แต่ว่านางจับจ้องอยู่เงียบๆ ไท่จื่อองค์ปัจจุบันไม่ค่อยเก่งเท่าองค์ชายรอง องค์ชายรองสืบทอดบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรเสิ่นเวยก็ไม่อยากเห็น

 

 

องค์ชายรองเป็นคนถ่อมตัวอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยรังเกียจคนข้างกายเขาอย่างถึงที่สุด ท่านเสนาบดีฉินก็ผูกพยาบาทมานานแล้ว จางจ่างสื่อผู้นั้น นางก็ไม่รู้สึกดีด้วย ส่วนซูเฟยเหนียงเหนียง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอก็เยาะเย้ยเหยียดหยามนาง ไม่ต้องพูดถึงเลย

 

 

หากให้องค์ชายรองขึ้นครองบัลลังก์ จวนเสนาบดีฉินก็จะเป็นบ้านฝั่งมารดาของฮ่องเต้ ซูเฟยก็จะกลายเป็นไทเฮา จางจ่างสื่อก็พลอยได้ดีไปด้วย เพียงแค่ซูเฟยคนเดียวก็สามารถทำให้ชีวิตของนางลำบากได้แล้ว

 

 

ดังนั้นเพื่อให้ชีวิตหลังจากนี้ของนางดี องค์ชายรองอย่าได้ขึ้นครองบัลลังก์เสียเลยดีกว่า องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะทั้งราชสำนักปัดไปปัดมา ก็เหลือเพียงไท่จื่อผู้ถูกถอดยศผู้นั้นในตำหนักโยวหมิง มีความสัมพันธ์อันดีกับสวีโย่วพอดี อืม หากต้องเลือกฝั่งจริงๆ เช่นนั้นเป็นเขาก็ดี

 

 

อ้อ จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งคน นอกจากไท่จื่อผู้ถูกถอดยศสวีเช่อแล้ว ยังมีองค์ชายสามสวีเฉิง แต่ว่าองค์ชายสามเกิดมาขาก็พิการ เดินเป๋เล็กน้อย ไม่มีคุณสมบัติในการชิงบัลลังก์

 

 

ทั้งสองคุยเรื่องไท่จื่อผู้ถูกถอดยศเสร็จแล้ว สวีโย่วก็เห็นหนังสือที่ถูกเสิ่นเวยวางลงบนโต๊ะก่อนหน้านี้ หยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยความสงสัย “เจ้าอ่านพวกนี้ทำไม” นี่ไม่ใช่หนังสืออะไร แต่เป็นการแนะนำความสัมพันธ์ของจวนแต่ละจวนในเมืองหลวง

 

 

“ท่านคิดว่าข้าอยากอ่านหรือ” เสิ่นเวยแสยะปาก “แม่นมมั่วเตือนข้า พวกเราย้ายเข้ามาไม่ใช่หรือ พิธีขึ้นบ้านใหม่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองสักหน่อยไม่ใช่หรือ คนอื่นมาไม่มาข้าไม่รู้ อย่างไรเสียบ้านฝั่งมารดากับบ้านท่านตาข้าก็ต้องมาเยี่ยม”

 

 

สวีโย่วเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ได้ กล่าวอย่างไม่สนใจ “จัดงานเลี้ยงเหนื่อยยิ่งนัก ไม่ต้องจัดหรอก” อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้คบค้าสมาคมกับตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงอยู่แล้ว

 

 

เสิ่นเวยปรายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง โห คนผู้นี้ปล่อยวางยิ่งกว่านางเสียอีก! แต่มนุษย์เกิดมาบนโลก พึ่งพาตัวเองเกินไปก็ไม่ดีนัก “เหลวไหล เราสองคนคนหนึ่งเป็นจวิ้นอ๋อง คนหนึ่งเป็นจวิ้นจู่ ซ้ำยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง ต้องให้โอกาสทุกคนประจบประแจงมอบของขวัญบ้างมิใช่หรือ กฎระเบียบบางอย่างก็ยังต้องปฏิบัติ อีกอย่าง ท่านอยากพาท่านพี่ไท่จื่อของท่านออกมาไม่ใช่หรือ ท่านไม่ผูกมิตรเชื่อมความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้ ใครจะช่วยท่านพูดเล่า”

 

 

เมื่อสวีโย่วได้ยินเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ ก็เห็นด้วยทันที “ได้ พวกเราจัดงานเลี้ยงเถอะ เจ้าเองก็อย่ามองเป็นเรื่องสนุก อย่างไรเสียคนที่มาส่วนใหญ่ก็ต้องเคารพเจ้า ในราชวงศ์ที่มาน่าจะมีศักดิ์เท่ากัน ไม่น่าจะมีใครทำให้เจ้าลำบากใจ เตรียมงานเลี้ยงเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล ให้แม่นมมั่วจัดการก็ได้แล้ว อืม เชิญเสิ่นซื่อท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้ามาช่วยด้วยก็ได้” น้องสี่ของเขาเก่งบุ๋นสร้างความสงบสุขให้ชาติได้ เก่งบู๊สร้างความมั่นคงให้แคว้นได้ ไยจะต้องยุ่งเรื่องเล็กน้อยของเรือนในด้วยเล่า

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าวเสริม “เชิญน้องสะใภ้รองมาช่วยด้วย”

 

 

“เชิญนางมาทำไม” สวีโย่วไม่พอใจเล็กน้อย ย้ายออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้ว เขาอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับฝั่งนั่นได้อย่างยิ่ง ไหนเลยจะยอมเชิญน้องสะใภ้รองมาช่วยจัดการงานเลี้ยง

 

 

เสิ่นเวยเข้าใจความคิดของสวีโย่วเป็นอย่างดี รู้ว่าเขาไม่ชอบคนฝั่งนั้น จึงยักไหล่กล่าวสั่งสอน “ท่านโง่แล้วหรือ! กับฝั่งนั้นเป็นเช่นไร พวกเรารู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว ภายนอกยังต้องรักษาหน้าไว้บ้าง พวกเราจัดงานเลี้ยง เชิญเพียงแต่คนฝั่งข้ามาช่วย แต่ไม่เชิญคนฝั่งท่านมาช่วย ท่านจะให้คนข้างนอกมองพวกเราอย่างไร ท่านกำลังแสดงจุดอ่อนให้แม่เลี้ยงท่านเห็น อีกอย่าง แม้พ่อท่านจะไม่เอาไหน แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท มีจวนจิ้นอ๋องค้ำอยู่ตรงนั้น พวกเราที่เป็นชนรุ่นหลังก็สามารถพึ่งพาได้ มีผลประโยชน์แต่ไม่เอาท่านโง่แล้วหรือ”

 

 

สวีโย่วถูกเสิ่นเวยสั่งสอนจนหน้าเหยเก กล่าว “เอาตามที่เวยเวยว่าทั้งหมด”

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา ซุกเข้าไปในอ้อมอกของสวีโย่วอีกครั้งด้วยความพอใจอย่างถึงที่สุด

 

 

คดีของฉินมู่หรานยังคงคืบหน้าด้วยความลำบาก หลังจากที่เด็กรับใช้เอ้อร์หนิวจื่อทรยศ เขาก็ตายอยู่ในคุกอย่างกะทันหัน ริมฝีปากสีม่วงดำ มือทั้งคู่กำคอตัวเองแน่น มองดูก็รู้ว่าถูกพิษตาย

 

 

จ้าวเฉิงซวี่โมโหเดือดดาล ปากพึมพำว่ากลั่นแกล้งเกินไปแล้ว กลั่นแกล้งเกินไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านี่คือฝีมือของจวนเสนาบดีฉิน ต้องการจะแสดงอำนาจให้เขาเห็น แต่เขากลับไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

วันนี้ ท่านเสนาบดีฉินลดตัวลงมาเยือนถึงศาลต้าหลี่ เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้าไปอย่างสบายอกสบายใจ ไปยังสถานที่ทำงานของจ้าวเฉิงซวี่โดยตรง

 

 

จ้าวเฉิงซวี่ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แขกพิเศษจริงๆ ลมหอบไหนพัดท่านเสนาบดีฉินมาเล่า”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินประสานมือ “ข้าอยากมาถามใต้เท้าจ้าวว่าจะปล่อยตัวบุตรข้ากลับบ้านเมื่อไร นายหญิงในบ้านคิดถึงหลานยิ่งนัก ร่ำไห้ทั้งวัน ข้าผู้เป็นบุตร ละอายใจจริงๆ! เฮ้อ ใต้เท้าจ้าวได้โปรดเข้าใจด้วยเถิด”

 

 

“ขออภัย” จ้าวเฉิงซวี่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “แม้พยานจะถูกพิษฆ่าตาย แต่คุณชายของท่านก็ยังคงตกเป็นที่ต้องสงสัยอย่างหนีไม่พ้น คดีตัดสินไม่ได้ เกรงว่าคุณชายของท่านจะกลับบ้านไม่ได้ ท่านเสนาบดีฉินเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก คงจะต้องเข้าใจความลำบากใจของข้าน้อยใช่หรือไม่”

 

 

“ไม่ได้จริงๆ หรือ” ท่านเสนาบดีฉินมองจ้าวเฉิงซวี่ตรงๆ

 

 

“ไม่ได้จริงๆ” จ้าวเฉิงซวี่เองก็สบสายตาของเขาอย่างไร้กังวล ไม่หวาดกลัวทั้งสิ้น

 

 

“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ” ท่านเสนาบดีฉินหันหลังกลับจากไป ทิ้งจ้าวเฉิงซวี่อยู่กับความกลุ้มใจอย่างยิ่ง