บทที่ 2355 ราชันย์มารออกโรง 2 / บทที่ 2356 ราชันย์มารออกโรง 3

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2355 ราชันย์มารออกโรง 2

ไม่ทันได้ระวังก็มีหางหนึ่งตวัดเข้ามา ม้วนน้ำเต้าสุราลูกนั้นให้ลอยขึ้นสู่ฟ้าทันที ลาวิเศษตัวนั้นพลันเชิดหน้า รับน้ำเต้าสุราเอาไว้ งับจุกน้ำเต้าให้เปิดออก จากนั้นก็เชิดหน้าอีกครั้ง น้ำเต้าสุราลูกนั้นถูกมันดื่มเข้าไปแล้ว…

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน…

จู๋ตู๋ชิง ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“น่าตายนัก เกรงว่าวันนี้ทั้งวันจะเดินทางต่อไม่ได้แล้ว…”

กู้ซีจิ่วกลับไม่ใส่ใจนัก

“เช่นนั้นก็พักกันสักวันเถอะ”

ลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปในห้องโดยสาร เธอก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้วเหมือนกัน

นับตั้งแต่ถูกพิษ เธอก็เหนื่อยง่ายมาก การเดินทางไปยังบึงพิษด้วยสภาพร่างกายและสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่เป็นผลดีเลย

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเตรียมจะนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟู ถือโอกาสดูดซับผลึกวิญญาณไปด้วย เพิ่มพลังวิญญาณสักหน่อย

พอเจ้าลาดื่มสุราในน้ำเต้าหมดแล้ว ก็พ่นน้ำเต้าที่ว่างเปล่าทิ้ง หันกลับไปพ่นลมออกจมูก สี่เท้าเหยียดห้อ โผทะยานปานโบยบิน รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

จู๋ตู๋ชิง ไม่ทันตั้งตัว ถูกเหวี่ยงจนเกือบจะล้มหัวทิ่มแล้ว!

“พี่ลา เจ้าเป็นอะไร?”

เจ้าลาคร้านแม้แต่จะพ่นลมเพื่อตอบเขาแล้ว ห้อทะยานเร็วกว่าเดิม!

ผลคือ วันนั้นทั้งวันเจ้าลาวิ่งเป็นระยะทางเจ็ดแปดร้อยลี้! มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ายามไหนๆ…

ในป่าทึบที่ไร้ซึ่งถนนหนทาง ในหนึ่งวันสามารถเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ ก็ละเมิดสวรรค์มากพอแล้ว!

ผลลัพธ์ของการเดินทางอย่างสะดุดตาเช่นนี้คือ…ถูกผู้อื่นจับตามองแล้ว!

ขณะที่เจ้าลากำลังลากรถม้าอย่างบ้าคลั่ง พลันมีวิหคยักษ์ห้าตัวบินร่อนอยู่เบื้องหน้า ปีกกางสยาย ขวางทางเจ้าลาไว้…

เจ้าลาหยุดลงกะทันหัน ทำเอากู้ซีจิ่วที่นั่งสมาธิอยู่ในรถม้าเกือบจะกระเด็นออกไปแล้ว!

เธอรีบคว้าราวจับในรถม้าไว้ ลืมตาขึ้นมา

ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนสอบถามอยู่ด้านนอก

“เป็นผู้ใด? จะไปไหน?”

กู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย เป็นเจ้าวังน้อยผู้นั้น! เธอเคยเผชิญหน้ากับนางที่ดินแดนเบื้องบนมาก่อน

เธอรู้แล้วว่าเจ้าวังน้อยผู้นี้เป็นสมุนของอวิ๋นเยียนหลี แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้พบนางเร็วขนาดนี้…

แม้ว่ากู้ซีจิ่วกับอวิ๋นเยียนหลีจะไม่ได้พบหน้ากันกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ตอนที่เธอเพิ่งออกจากอาณาจักรมาร เคยได้รับการติดต่อจากอวิ๋นเยียนหลีแล้ว เขาถามว่าเธออยู่ที่ไหน หลายวันมานี้ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหาเธออยู่ตลอดทว่าติดต่อไม่ได้เลย ทำให้เขาเป็นกังวลนัก…

กู้ซีจิ่วยังไม่อยากเปิดโปงเขาชั่วคราว ดังนั้นจึงพูดคุยกับเขาสองสามประโยค บอกว่าตัวเองอารมณ์ไม่ค่อยดี ส่วนยันต์ถ่ายทอดเสียงก็เกิดข้อขัดข้องเล็กน้อย ดังนั้นก็ขลุกอยู่ในเมืองลั่วฮวาดื่มสุรากับสหาย

กู้ซีจิ่วมีสหายอยู่ที่เมืองลั่วฮวาไม่น้อยเลย อันที่จริงก่อนเธอจะออกจากเมืองลั่วฮวา ก็ได้กำชับสหายในเมือง ลั่วฮวาเอาไว้ ว่าหากมีคนถามถึง ก็ให้ช่วยเธอปกปิดด้วย

สหายผู้นั้นเชื่อถือได้ยิ่งนัก ไม่มีทางขายเธอแน่ ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวว่าอวิ๋นเยียนหลีจะส่งคนมาตรวจสอบเธอในภายหลัง

อวิ๋นเยียนหลีก็คล้ายว่าจะกำลังยุ่งกับเรื่องอื่นอยู่เช่นกัน ปลีกตัวมาไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงพูดคุยกับกู้ซีจิ่วอย่างเป็นห่วงเป็นใยสองสามประโยค บอกเพียงว่าอีกไม่กี่วันจะมาหาเธอ ร่ำสุราเป็นเพื่อนเธอ หลังจากยืนยันได้ว่าเธอปลอดภัยดีก็พอใจแล้ว

เจ้าวังน้อยรู้จักเธอ และเธอก็เพิ่งพูดคุยกับอวิ๋นเยียนหลีไปเมื่อวาน บอกว่าตนยังอยู่ในละแวกเมืองลั่วฮวา แต่ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองลั่วฮวาถึงสี่พันลี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางมาถึงที่นี่ได้ภายในหนึ่งวัน

หากว่าเจ้าวังน้อยค้นพบถึงการมีอยู่ของตัวเธอ ก็จะกลับไปรายงานต่ออวิ๋นเยียนหลี เกรงว่าคงทำให้อวิ๋นเยียนหลีนึกคลางแคลงขึ้นมา…

ยามนี้เธออยู่ในรูปโฉมดั้งเดิม มิได้แปลงโฉม จะให้แปลงโฉมอย่างกระชั้นชิดก็ไม่ทันกาลแล้ว

ส่วนจู๋ตู๋ชิง ก็หลงตัวเองนัก ถึงแม้เขาจะยินดีร่ำเรียนวิชาแปลงโฉมจากกู้ซีจิ่ว ทว่าไม่ยินยอมจะแปลงโฉมเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตน เขารู้สึกว่ารูปโฉมของตัวเขาเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ใดก็เทียบเคียงมิได้ จึงไม่คิดจะปิดบังอำพราง

การแต่งกายเช่นนี้ของเขาก็ฉูดฉาดเป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก ดังนั้นพอรถม้าหยุดลง เจ้าวังน้อยก็จำเขาได้

————————————————————————————-

บทที่ 2356 ราชันย์มารออกโรง 3

“คุณชายไผ่ขจี!”

สีหน้าไม่แน่ใจนัก

ถึงแม้คุณชายไผ่ขจีจะเป็นคนของอาณาจักรมาร แต่เขาไม่ยุ่งกับเรื่องราวทางโลก ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น ดังนั้นชาวมนุษย์จึงไม่มองเขาเป็นศัตรู

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าวังน้อยทราบข้อมูลเขาค่อนข้างมาก รู้ว่าเขาคือผู้ประดิษฐ์ชุดกันเพลิง…

อวิ๋นเยียนหลีอยากโจมตีอาณาจักรมารมาโดยตลอด เพียงจนปัญญาที่ขาดแคลนชุดกันเพลิงยิ่งนัก มากสุดเขาก็ส่งคนเข้าไปเป็นสายสืบได้คนเดียว คนกลุ่มใหญ่ไม่มีทางบุกเข้าไปได้ ดังนั้นอาณาจักรมารจึงเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่อวิ๋นเยียนหลีไม่สามารถพิชิตได้

เจ้าวังน้อยเคยปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวในอาณาจักรมารมาก่อน เคยเห็นจู๋ตู๋ชิง จากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง ดังนั้นมองแวบเดียวก็จดจำได้แล้ว

หัวใจนางเต้นตึกตักขึ้นมา หากว่านางสามารถจับกุมคุณชายไผ่ขจีได้ บังคับให้เขาผลิตชุดกันเพลิงในปริมาณมากได้ ไยจะบุกโจมตีอาณาจักรมารไม่ได้เล่า?!

นางโบกมือทันที ลูกน้องทั้งสี่คนของนางเข้าปิดล้อมรถม้าไว้ด้วยรูปขบวนสามเหลี่ยม

“มิใช่ว่าอยู่ที่อาณาจักรมารแล้วคุณชายไผ่ขจีเรียกลมเรียกฝนได้หรอกหรือ แล่นมายังแดนมนุษย์ของข้าด้วยเหตุใดกัน?”

จู๋ตู๋ชิง ขมวดคิ้วนิดๆ เขาไม่ได้เดินทางมาที่แดนมนุษย์สักเท่าไหร่ ไม่นึกเลยว่ามีคนที่มองแวบเดียวก็จำเขาได้แล้วอยู่ด้วย…

เขาเย่อหยิ่งนัก ถึงถูกจำได้ก็ไม่อนาทร

“ข้าอยากไปที่ใดก็จะไปที่นั่น เจ้ายุ่งอะไรด้วย? ในเมื่อเคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาแล้ว ก็น่าจะทราบถึงความร้ายกาจของข้าสินะ หลีกทางซะ!”

เจ้าวังน้อยย่อมไม่ล่าถอยไปง่ายๆ นางยิ้มเล็กน้อย

“ได้ยินชื่อเสียงของคุณชายไผ่ขจีมานานแล้ว วันนี้มีวาสนาได้พบพาน อยากขอคำชี้แนะสักสองสามกระบวนท่า หวังว่าคุณชายไผ่ขจีจะเมตตาสั่งสอน”

ทวนนิ้วคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็เกิดลำแสงเจิดจ้าสายหนึ่ง เข้าโจมตีจู๋ตู๋ชิง

ประกายแสงผุดขึ้นในดวงตาจู๋ตู๋ชิง เขาชอบต่อสู้ แต่คนที่สามารถต่อกรกับเขาได้มีน้อยยิ่ง คนส่วนใหญ่ล้วนถูกเขาทุบตีจนร่ำร้องหาบุพการี พอเห็นเขาก็หนีไปซ่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงหวงแหนทุกโอกาสที่จะได้ต่อสู้ยิ่งนัก ดังนั้นพอเขาเห็นเจ้าวังน้อยสำแดงศาสตราวุธใส่เขา ก็ทราบแล้วว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ต่อสู้ ดวงตาลุกวาวขึ้นมาตามความเคยชิน

แต่หลังจากประมือไปไม่กี่กระบวนท่า ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ ซี่โครงที่หักไปสามซี่ของตนยังไม่หายดี ไม่เหมาะจะต่อสู้…

กระบวนท่าของเจ้าวังน้อยพิสดารพันลึก ท่าเท้าแปลกประหลาด ว่องไวอย่างยิ่ง

ส่วนจู๋ตู๋ชิง เนื่องจากทันทีที่โคจรพลังยุทธ์ทรวงอกก็จะปวดร้าว การเคลื่อนไหวจึงช้าลงมาก และเนื่องจากพลังวิญญาณบั่นทอนไปมากโขแล้ว จึงยิ่งมิใช่คู่มือของเจ้าวังน้อย ประมือกันได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถูกเจ้าวังน้อยกรีดเสื้อคลุมขาดแล้ว เผยหน้าอกขาวสล้างออกมา…

จู๋ตู๋ชิง โกรธา พลันถอยออกไปหลายจั้ง

“สารเลว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าล่วงเกินข้า! เพราะเห็นว่ารูปโฉมของข้าหล่อเหลาสินะ?”

เจ้าวังน้อยไม่สนใจเขา ยังคงโจมตีเขาอย่างรุนแรง

นางคิดจะจับกุมอีกฝ่ายทั้งเป็น และมิใช่จะเปลื้องผ้าอีกฝ่าย…

จู๋ตู๋ชิง ถูกนางบีบต้อนให้ถอยร่นไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังต่อสู่ เขาพลันได้ยินเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วขึ้นข้างหู

‘เคลื่อนไปจุดหลี![1]’

เสียงนั้นคือเสียงของกู้ซีจิ่ว จู๋ตู๋ชิงพลันหมุนขวับไปตามคำสั่ง หลบหลีกท่าไม้ตายของเจ้าวังน้อยได้พอดี

‘แทรกเข้าสู่จุดคุน!’

จู๋ตู๋ชิง ก้าวพลาด จึงยกเท้าก้าวอีกครั้ง เช่นนี้จึงอยู่ห่างจากช่องโหว่ของเจ้าวังน้อยสองก้าว เขาลงมือทันที แทงออกไปทีหนึ่ง…

ถึงแม้เจ้าวังน้อยจะหลบได้ทัน แต่คมกระบี่ก็เฉียดผ่านลำคอนาง เกือบจะสะบั้นศีรษะของนางแล้ว ทำเอานางตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบโทรมร่าง

นางไม่นึกเลยว่าสองก้าวนี้ของจู๋ตู๋ชิง จะเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เข้าโจมตีอีกครา

‘ไปที่จุดตุ้ย![2]’

‘ข้ามจุดคุน!’

เสียงของกู้ซีจิ่วแว่วเข้าหูของจู๋ตู๋ชิงอย่างต่อเนื่อง ร่างจู๋ตู๋ชิงดุจกิ่งหลิว เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา องศาการก้าวเท้าล้วนตรงจุดพอดิบพอดีเสมอ ถ้ามิใช่หลบหลีกกระบวนท่าของเจ้าวังน้อย ก็จะเป็นการฉวยโอกาสแทงนางสักที…

————————————————————————————-

[1] จุดหลี คือทิศใต้ นับตามแผนผังแปดทิศแล้วเป็นตำแหน่งของธาตุไฟ สื่อถึงลูกสาวคนกลาง

[2] จุดตุ้ย คือทิศตะวันตก นับตามแผนผังแปดทิศแล้วเป็นตำแหน่งของทะเลสาบ สื่อถึงลูกสาวคนเล็กและความร่าเริงสดใส