ตอนที่ 58 - 3 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไก่นำมาให้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“สำหรับเรื่องที่ราชครูฝ่ายซ้ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ขอเชิญใต้เท้าเหยียลี่ว์ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย”

 

 

การประชุมดำเนินหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อไป ยามนี้เสนาเอกแห่งกองอาญากำลังโจมตีเหยียลี่ว์ฉี ขอให้เขาเอ่ยเรื่องราว “การลอบสังหาร” ในวันนั้นให้ชัดเจน

 

 

รูปแบบการปกครองของต้าฮวงแตกต่างจากแคว้นอื่นที่อยู่นอกอาณาเขต ภายใต้ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาคือรองเสนา ภายใต้รองเสนาคือห้ากองซึ่งประกอบด้วยกองพิธีการ กองอาญา กองโยธาธิการ กองราษฎรและกองขุนนาง หากเอ่ยถึงอำนาจของตำแหน่ง กองพิธีการมีอำนาจเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ดูแลหลักของทุกกองจะเรียกว่าเสนาบดีด้วย เช่น ผู้ดูแลหลักของกองพิธีการย่อมเรียกว่าเสนาพิธีการ เทียบได้กับเสนาบดีประจำกรมพิธีการของต้าเยียนและแคว้นอื่น ไม่มีกองกลาโหม อำนาจทางทหารเป็นขององค์ราชินีเพียงในนาม อำนาจที่แท้จริงโดยทั่วไปแล้วควบตำแหน่งดูแลโดยราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ผู้ใดมีอำนาจมากผู้นั้นได้ดูแล หกแคว้นแปดชนเผ่าอื่นต่างมีกองทัพของตนเอง ทว่ามีการจำกัดจำนวนพลทหาร ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าส่วนมากมีหน้าที่เสมือนในราชสำนัก เป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน เช่น ต้าฟูผู้อภิปรายงานราชการ เป็นสัญลักษณ์ในการเข้าร่วมเรื่องการเมือง นอกจากนี้ ปราชญ์และกองเซ่นไหว้มีอำนาจเข้าร่วมการเมืองในระดับหนึ่งเช่นกัน

 

 

รองเสนาแห่งต้าฮวงคนก่อนเพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ยามนี้ตำแหน่งนี้ว่างลง กำลังมีคนนับไม่ถ้วนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อตำแหน่งนี้ ท่านเสนากองอาญาหวังแสดงความสามารถ ถึงขนาดจัดการ “คดีที่ราชินีถูกลอบปลงพระชนม์” อย่างกระตือรือร้น

 

 

เหยียลี่ว์ฉีนั่งอยู่ตำแหน่งแรกทางฝั่งซ้าย ตำแหน่งร่นถอยมากกว่ากงอิ้นเล็กน้อย มองอีกฝ่ายด้วยท่าทางสุขุมปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “หากหวังเพิ่มโทษให้ผู้อื่น คงหาโทษมาได้แน่ เขาเอ่ยว่าข้าเป็นผู้บงการข้าก็ต้องเป็นผู้บงการหรือ ประเดี๋ยวข้าสังหารราชครูกง เอ่ยว่าใต้เท้าลิ่งหูถานเป็นผู้บงการ เจ้าคิดว่าจักอธิบายอย่างไร”

 

 

ต้าฮวงมีแซ่ซ้ำกันมากมายด้วยเกี่ยวดองกันจากการสมรสในราชสำนัก แซ่ลิ่งหูหลายคนที่เป็นขุนนางต่างโมโหโกรธาขึ้นมาทันใด เสนาอาญาลิ่งหูถานหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ต้องสงสัยต่างควรได้รับการไต่สวน ในเมื่อราชครูเหยียลี่ว์โยนเรื่องราวมาให้ข้า ข้าย่อมยินยอมพร้อมใจได้รับการไต่สวนจากกองอาญา กองอาญาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างยุติธรรม ย่อมคืนความยุติธรรมให้ข้าได้แน่”

 

 

“ข้ากลับไม่กล้าเชื่อว่าใต้เท้าลิ่งหูเจ้าจะคืนความยุติธรรมให้ข้าได้น่ะสิ ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะเกี่ยวดองเป็นญาติกับเผ่าจั๋นอวี่” เหยียลี่ว์ฉียิ้มอย่างไม่สนใจใยดี เอ่ยว่า “อีกทั้ง มือสังหารหลายคนนั้นถูกระเบิดสิ้นชีพไปหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่พยาน เจ้าอาศัยวาจาที่อาจจะได้ยินไม่ชัดเจนของมือสังหารเพียงประโยคเดียว ยังกล้านำมาประณามข้า”

 

 

“ขอราชครูอย่าได้เอ่ยวาจาสะเปะสะปะ ยังมีผู้มองเห็นท่านได้กะพริบกายเข้าสู่เบื้องล่างปะรำพิธีที่ถูกระเบิดทำลาย หลังจากนั้นยังพุ่งออกมาจากปะรำพิธีหลังจากการระเบิด” ลิ่งหูถานยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “ยามนั้นราชินีทรงซ่อนพระองค์อยู่เบื้องล่างเวที ขอถามว่าท่านแอบเข้าไปใต้เวทีหวังจะกระทำสิ่งใดกันแน่ ภายหลังเหตุใดจึงออกมาด้วยท่าทางจนตรอก”

 

 

“ข้าเข้าไป ย่อมหวังช่วยราชินีเป็นธรรมดา” เหยียลี่ว์ฉีทำหน้าเฉยเมย เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมือสังหารใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิด รู้ว่าหากหวังลบล้างความผิดที่ถูกใส่ร้ายย่อมต้องช่วยราชินีไว้ก่อน จึงต้องรีบเร่งพุ่งไปอยู่ข้างกายนาง”

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงมิใช่ผู้ที่ช่วยเหลือราชินี ซ้ำยังออกมาด้วยท่าทางจนตรอก” จั้นชงผู้นำเผ่าจั๋นอวี่พลันสอบถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ

 

 

“เรื่องนั้นย่อมด้วยเพราะองค์ราชินีเองนั้นทรงมีพระบารมีล้ำเลิศดั่งเทพ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าปกป้อง ถึงขนาดแสดงวรยุทธ์เทพส่งข้าออกมาจากสถานที่ระเบิด อา ฝ่าบาททรงมีพระเมตตายิ่งนัก กระหม่อมซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลริน” เหยียลี่ว์ฉีสายตาวูบไหวคล้ายซาบซึ้งแท้จริงยิ่งนัก

 

 

“ราชครูช่างเอ่ยช่างเจรจาโดยแท้” จั้นชงยิ้มเย็นชา

 

 

“ราชครูเอ่ยวาจามีแห่งใดไม่กระจ่างหรือ ทว่าเผ่าจั๋นอวี่ยกตนข่มท่านกลับทำให้คนนึกได้ว่าบุญคุณความแค้นระหว่างเผ่าจั๋นอวี่กับใต้เท้าเหยียลี่ว์ จนบัดนี้ยังมิได้ชำระสะสางกระมัง คงมิใช่โจรร้องจับโจรกระมัง” เจ้ากองเซ่นไหว้ซังต้งพลันยิ้มแย้มแทรกสอด

 

 

“วาจาพิกลพิการ! โจมตีใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าเป็นเจ้ากองเซ่นไหว้เจ้าจะเข้าข้างตามใจชอบได้หรือ”

 

 

“ใจฝ่อเช่นนี้ ไม่รู้ว่าผู้ใดกำลังแบ่งพรรคแบ่งพวก จงใจเข้าข้าง!” เซวียนหยวนจิ้งเสริมเข้ามาอีก

 

 

 

 

“พอแล้ว”

 

 

ยามเหล่าผู้อาวุโสเถียงกันดุเดือดที่สุด กงอิ้นถึงปริปาก

 

 

น้ำเสียงเยือกเย็นดุจสายน้ำเย็นสาดลงหม้อร้อน หลังจากตื่นตะลึงทุกคนต่างสงบเคร่งขรึมลง แม้ว่าหลายคนนั้นที่ทะเลาะวิวาทยังคงมีสีหน้าโกรธแค้น ทว่ามิได้เอ่ยวาจาอีก

 

 

เหยียลี่ว์ฉียังคงยิ้มแย้มด้วยสีหน้าท่าทางไม่สนใจใยดีเช่นนั้น หางตาชำเลืองมองไปนอกหน้าต่างหลายครั้งหลายคราว

 

 

“จิ้งถิงมิใช่ตลาดกลางคืน พวกเจ้าก็มิใช่พ่อค้าหรือผู้รับใช้” น้ำเสียงของกงอิ้นเด็ดขาด เอ่ยว่า “ใต้เท้าลิ่งหู กระทำตามกฎระเบียบก็พอ”

 

 

“ขอรับ กฎหมายต้าฮวงมาตราสามสิบห้าข้อเจ็ด ผู้ต้องสงสัยว่าโจมตีทำร้ายองค์ราชินีเข้าคุกหลวงทั้งหมด ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับคดีรวมทั้งคู่กรณีผู้มียศขั้นที่หนึ่งอาจให้ได้รับการสอบสวนที่สำนักเจาหมิงก่อน รอให้ความจริงกระจ่างค่อยกระทำการตัดสินใจ”

 

 

กงอิ้นไตร่ตรองมิเอ่ยวาจา หางตาชำเลืองมองไปนอกหน้าต่างเช่นกัน

 

 

ผู้อื่นกลับไม่ได้พบว่าเขามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยด้วยต่างรู้สึกว่าการลงโทษนี้ไม่เลว อย่างไรเสียราชครูเป็นผู้สูงศักดิ์ หวังจะอาศัยวาจาประโยคเดียวของผู้สิ้นชีพไร้ซึ่งหลักฐานทำให้เขาเอาชีวิตไปทิ้งคงเป็นไปไม่ได้ ให้เขาถูกกักบริเวณได้รับการสอบสวนได้ นับว่าโจมตีความหยิ่งยโสของฝ่ายราชครูฝ่ายซ้ายนั้นแล้ว สำหรับเผ่าจั๋นอวี่ที่มีความแค้นกับเหยียลี่ว์ฉีแล้วยิ่งมองเห็นหนทางสู่ความสำเร็จ เช่นนี้ย่อมฉวยโอกาสกระทำกลอุบายเล็กน้อยยามเหยียลี่ว์ฉีไม่มีอิสระชั่วคราวได้

 

 

ขุนนางฝ่ายเหยียลี่ว์ฉีนั้นย่อมไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่ามองเห็นเหยียลี่ว์ฉีเองยิ้มแย้ม ไม่ได้มีนัยว่าจะโต้แย้ง ครุ่นคิดแล้วไม่มีเหตุผลให้คัดค้านอีก คงมิอาจไม่ยอมรับแม้แต่การสอบสวน จึงได้แต่หุบปาก

 

 

กงอิ้นมองเหยียลี่ว์ฉีที่ยิ้มแย้มปราดหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยโดยแทบมองไม่ออก

 

 

เฟยหลัวนั่งอยู่ตำแหน่งใกล้หน้าต่างโดยตลอด มองข้างนอกหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า พลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้านึกว่าผู้ใดกัน ที่แท้คือองค์ราชินีของพวกเรา ฝ่าบาททรงร่าเริงโดยแท้ ตรัสว่าไม่ประทับวังบรรทมก็ไม่ต้องประทับวังบรรทม ตรัสว่าจะประทับข้างจิ้งถิงก็ได้ประทับข้างจิ้งถิง หากเหล่าราชินีในอดีตผู้ประทับในโลกวิญญาณทรงล่วงรู้ มิรู้ว่าจะทรงอิจฉามากเพียงใดกัน”

 

 

สีหน้าของกงอิ้นจมดิ่งเพียงน้อย ยังมิทันได้เอ่ยวาจา เสนาพิธีการที่ยืนหยัดร่างป่วยไข้มาร่วมประชุมท่านนั้นเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือแล้วว่า “อา! ข้ายังนึกว่าจิ้งถิงกำลังจะขยายพื้นที่ ซ่อมแซมลานบ้านข้างเคียง ที่แท้ด้วยเพราะองค์ราชินีจะทรงเข้ามาประทับหรือ มิได้มิได้! ไม่ได้ผ่านกองวังส่งรายงานให้หกกองพิจารณาอนุญาต ฝ่าบาทจักทรงย้ายที่ประทับตามใจได้อย่างไร…”

 

 

“นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์” วาจาประโยคเดียวของกงอิ้นขัดจังหวะเสนาพิธีการที่จะลุกขึ้นขัดขวาง เอ่ยว่า “เพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร ฉะนั้นเปิ่นจั้วทูลให้ฝ่าบาททรงย้ายที่ประทับ จักได้ถวายการคุ้มครองได้”

 

 

“เป็นเช่นนี้เอง เพียงแต่ที่สุดแล้วไม่สอดคล้องกับพิธีรีตอง…” ยังมีขุนนางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “แม้ว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเลิศล้ำ ทรงพระกรุณาต่อโลกหล้าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ทว่าทรงกระทำตามพระทัยไม่รักษาศีลธรรมจรรยา เช่นนี้ ควรจะกราบทูลฝ่าบาทเรื่องกฎเกณฑ์ให้มากถึงจะถูกต้อง ต้าฮวงของเราสถาปนาแคว้นมาหลายร้อยปี คัมภีร์พิธีการคือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ราชินีแต่ละสมัยในอดีตทรงต้องปฏิบัติตาม แลเป็นการรับรองว่ารูปแบบการปกครองของต้าฮวงเราจะมั่นคงเป็นเอกภาพ มิอาจให้ผู้อื่นล้มล้างได้โดยง่าย…”

 

 

คนผู้นี้เอ่ยวาจาเจื้อยแจ้ว ผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย รูปแบบอำนาจของต้าฮวงเป็นรูปร่างแล้ว ไม่ว่าจะฝ่ายใดต่างไม่อยากให้ปรากฏราชินีที่แข็งแกร่งองค์หนึ่งมาก่อกวนสมดุลการเมืองที่มีในยามนี้ฉับพลัน อีกทั้งบุคลิคท่าทางและพฤติกรรมวาจาของจิ่งเหิงปัวออกนอกลู่นอกทางทุกหนแห่ง ผุดเผยกลิ่นอายท้าทายระบบที่มีในยามนี้รำไร เช่นนี้จักปล่อยไว้ได้อย่างไร

 

 

ปัจจัยนอกลู่นอกทางทุกสิ่ง ควรจักสกัดตั้งแต่ยามแตกหน่อ

 

 

กงอิ้นไม่ออกความเห็น ลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง กำแพงแน่นหนาตรงข้ามหน้าต่างแต่เดิมผืนหนึ่งนี้ถูกขุดหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก่อเป็นกำแพงดอกไม้ผืนหนึ่งอย่างเร็วจนน่าทึ่ง มีผู้เกาะบันไดกำลังปีนกำแพงอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วยท่าทางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก นัยน์ตาเฉิดฉายกะพริบวูบภายใต้แสงอาทิตย์ ในมือคล้ายมีแสงอัศจรรย์กะพริบวูบ

 

 

เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง สายตากะพริบวูบเช่นกัน จากนั้นเบนสายตาออกมา

 

 

มีคนประเภทหนึ่งสว่างสดใสโดยกำเนิด ดั่งแสงทิวาแผ่แสงสวรรค์หลังกลุ่มเมฆ

 

 

ตรงดวงใจคล้ายถูกแสงแหลมคมทิ่มแทงไว้ด้วยโดยพลัน เดี๋ยวเจ็บปวดเดี๋ยวหนาวเหน็บ ปราณแท้สายหนึ่งไหลหลั่งจากเรือนร่างปานธารหลาก สีหน้าเขาซีดเผือด ปรับปราณเพียงน้อย หันกายมา มองเห็นสีหน้าบนใบหน้าของทุกผู้คน ในใจพลันถอนใจ

 

 

เรื่องราวที่เดิมทีง่ายดายยิ่งนักคล้ายว่าเปลี่ยนแปลงจนยิ่งซับซ้อนแลยากควบคุมมากขึ้นแล้ว ด้วยเพราะการมาถึงของนางที่มิคล้ายผู้ใด

 

 

ความอิสระของนางถูกกำหนดให้ประสบการต่อต้านจากขุนนางและราษฎรแทบจะทุกฝ่าย กฎเกณฑ์เก่าคร่ำครึหลายร้อยหลายพันปีนั้นผนึกแน่นกลายเป็นกำแพงสูงที่แข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย ทอดข้ามบนเส้นทางที่ผ่านสู่ตนเองทุกแห่ง

 

 

ควรให้ผู้ใดถอดใจ ให้ผู้ใดร่นถอย หรือว่าเบิกตาโพลงมองดูการบุกโจมตีเจือโลหิตซึ่งกันและกัน มองดูนางร่วงหล่นสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยพุ่มหนาม ยามปะทะจนมิอาจหลีกเลี่ยง เขาจะบอกกล่าวนางอย่างไร แดนสวรรค์สีเขียวคล้ำที่ทอดยาวหลายร้อยปีผืนหนึ่งนั้น ไม่อาจอาศัยเพียงความกล้าหาญจะสามารถข้ามผ่านได้เป็นแน่

 

 

“เรื่องเผยแพร่การเพาะปลูกในบึงโคลนสำคัญหรือว่าราชินีเรียนรู้พิธีการสำคัญกว่า” เขาหันกลับมา สายตากวาดผ่านทุกคนอย่างสูงส่งเย็นชา เอ่ยว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับพลังแคว้นนับร้อยปีของต้าฮวงของเรา ทุกผู้คนในที่นี้มีภาระหน้าที่ วิธีเพาะพืชน้ำปลูกหม่อนเลี้ยงปลาร่วมกันที่ราชินีทรงมีพระราชดําริให้ริเริ่ม ทุกท่านในที่นี้มีวิธีเผยแพร่อย่างอัศจรรย์หรือไม่ ควรริเริ่มอย่างไร จักทดลองปลูกที่ใดก่อน จักเลือกเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดจากที่ใด…”

 

 

พอหัวข้อสนทนาเคร่งขรึมถูกเอ่ยมา ทุกคนไม่กล้าเมินเฉย แต่ละคนนั่งตัวตรงจัดอาภรณ์ถกเถียงกันอย่างร้อนแรง เรื่องที่ราชินีไม่เคารพพิธีการจึงถูกพักไว้ชั่วคราว

 

 

มีเพียงเฟยหลัวที่อยู่ใกล้หน้าต่างมองดูนอกหน้าต่างหลายครั้งหลายคราว แล้วมองดูกงอิ้นที่มีสีหน้าสูงส่งเย็นชาทว่าคล้ายเหม่อลอยเล็กน้อยกับเหยียลี่ว์ฉีที่ยิ้มแย้มมิเอ่ยวาจาโดยตลอด มุมปากผุดเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดแลเย็นชาผืนหนึ่ง

 

 

 

 

“เฮ้ เฮ้ ขึ้นไปหน่อย ขึ้นไป! ไม่ถูก ทางซ้าย มาทางซ้ายหน่อย! อ๊าๆ อ๊าๆ เกือบมองเห็นแล้ว มาทางขวาอีกหน่อย! พอแล้วอย่าขยับ!”

 

 

จิ่งเหิงปัวปีนอยู่บนบันได องครักษ์กลุ่มหนึ่งเบื้องล่างกุมบันไดไว้ด้วยท่าทางเหงื่อท่วมหน้า เคลื่อนย้ายไปทุกแห่งหนตามคำสั่งของนาง

 

 

สุดท้ายจิ่งเหิงปัวยืนยันตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการแอบมองตำแหน่งหนึ่งในที่สุด ตบกำแพงยิ้มแย้มเริงร่า ร้องว่า “ได้แล้ว ตำแหน่งนี้ล่ะ ไม่ต้องก่อกำแพง เหลือช่องใหญ่ๆ ไว้ช่องหนึ่ง!”

 

 

องครักษ์เหงื่อตก…ตำแหน่งที่นางวาดช่องใหญ่ๆ ออกมา เพียงพอให้คนผู้หนึ่งข้ามผ่านไปได้…

 

 

สุดท้ายเหล่าองครักษ์ก่อกำแพงดอกเหมยตรงนั้น รับรองว่าองค์ราชินีสามารถมองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของราชครูผ่านทุกกลีบของดอกเหมย ห้ากลีบของดอกเหมยยังสามารถกลายเป็นมุมมองการสังเกตการณ์หลากหลายรูปแบบ จิ่งเหิงปัวแสดงออกว่าพอใจอย่างยิ่ง

 

 

นางยืนบนสันกำแพงอย่างพอใจ มือหนึ่งถือกล้องส่องทางไกล อีกมือหนึ่งถือโพลารอยด์

 

 

“โยะชิ ประชุมเหรอ” นางขยับเลนส์กล้องไปมา กล่าวว่า “จิ๊จ๊ะ หน้าดำหน้าแดงกัน ทะเลาะวิวาทเหรอ ชิบ เป็นถึงผู้อาวุโส ไร้กิริยาท่าทางงดงาม”

 

 

“เฮ้ยๆ เขาลุกขึ้นมาแล้ว! เย่! หน้าต่าง! โพลารอยด์เตรียมพร้อม!”

 

 

“แชะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีมองดูในมือภาพถ่าย จิ๊จ๊ะ พ่อรูปงามย่อมเป็นพ่อรูปงาม ไม่ว่าจะมุมสบายๆ มุมไหนก็งดงาม!

 

 

บนภาพถ่าย เบื้องหน้าหน้าต่างมีเงาคนชุดขาวยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ หลังตรงสูงโปร่ง ผมดำดุจธารหลาก นัยน์ตาใสประหนึ่งน้ำพุลึกล้ำ ไข่มุกสีทองอ่อนเปล่งแสงรัศมีมัวสลัวระลอกหนึ่งตรงคอเสื้อ สาดส่องริมฝีปากแดงฉ่ำโค้งเว้าอ่อนช้อยของเขา

 

 

กระเบื้องดำ หน้าต่างแดง กิ่งไม้เขียว อาภรณ์ขาว สีสันสดใสส่งให้มนุษย์งามดุจน้ำแข็งดั่งหยก

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มชื่นชมอยู่เนิ่นนาน เล็บสะกิดเกาคอเสื้อกงอิ้นโดยสำนึก ครุ่นคิดชั่วครู่ ล้วงดินสอสีแท่งหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน ระบายสีให้ไข่มุกนั้น

 

 

ระบายเสร็จแล้วยังไม่เลิกรา เอนไปเอียงมาวาดอีกหลายครั้ง เปลี่ยนคอเสื้อทรงสูงรัดตึงเป็นคอวีลึก

 

 

“ข้าอยากเห็นกระดูกไหปลาร้าโว้ย!” นางกุมภาพถ่ายไว้บนหน้าอก เงยหน้าถอนใจเศร้าสร้อย

 

 

พ่อรูปงามไม่ยอมเผยกระดูกไหปลาร้า ต้าปัวกล้ำกลืนโศกศัลย์ชั่วนิจนิรันดร์

 

 

แต่ว่าจะอย่างไรก็ได้ นางเชื่อว่าวันหนึ่งนี้อยู่ไม่ไกลแล้ว…จงใจกลัดตึงขนาดนั้นทุกวัน ไม่ใช่อยากล่อลวงให้นางกระชากออกหรอกเหรอ!

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้าโพลารอยด์ถ่ายแนวตั้งแนวนอนดังแชะๆ หลงลืมความล้ำค่าของกระดาษอัดภาพ จนทำสารคดีพิเศษได้หลายฉบับ ทั้งยืนทั้งนั่ง ทั้งขมวดคิ้วทั้งครุ่นคิด ทั้งมองผู้อื่นด้วยสายตาเย็นชา ทั้งประกาศออกคำสั่ง ผ่านไปชั่วครู่ในมือได้มาหลายภาพ นางพินิจแต่ละภาพ ชื่นชมไม่ขาดปากว่า “หล่อ หล่อ หล่อทุกองศาจนผู้คนพากันรังเกียจ ของดีแบบนี้ พันตำลึงทองยังซื้อไม่ได้เลย…ยงเสวี่ย เจ้าช่วยข้าเก็บไว้ให้ดีนะ”

 

 

เด็กสาวน้อยรับมากำลังตระเตรียมหาที่เก็บซ่อนของรักของฝ่าบาทไว้ให้ดี ได้ยินฝ่าบาทเอ่ยอย่างเปี่ยมด้วยจินตนาการว่า “รอให้มีเวลาว่างออกจากวัง พวกเราตั้งแผงนำไปขาย ภาพเหมือนความละเอียดสูงของราชครูอันดับหนึ่งแห่งต้าฮวง สตรีบ้ากามเหล่านั้นต้องชูตั๋วเงินแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่ เจ้าว่า หนึ่งใบหนึ่งพันตำลึงเงินคงไม่แพงใช่หรือไม่…อ้าวๆ ยงเสวี่ย เหตุใดเจ้าถึงล้มลงไปแล้ว…”