ภาคที่ 32 ป้ายคำสั่งจิตโลกา ตอนที่ 4 จ้าวภูเขาฉื้อเหมย

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 4 จ้าวภูเขาฉื้อเหมย โดย Ink Stone_Fantasy

บรรพชนโลกาลอบตกตะลึง เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของอาจารย์ตนเป็นอย่างดี ต่อให้ทิ้งเคล็ดวิชาสืบทอดเอาไว้ให้เขาและจักรพรรดิดำเป็นครั้งแรก ก็ทำไปอย่างนั้นเอง ต่อมาภายหลังเมื่ออยู่ร่วมกันมานานแสนนาน ความสัมพันธ์ของเขาและอาจารย์จึงค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น

“นิสัยของอาจารย์ ทุกสิ่งทำตามอำเภอใจไปเสียหมด แม้ข้าจะเผยแพร่สายการกลืนกินออกไปอย่างกว้างขวางจนก่อให้เกิดมารร้ายขึ้นมากมาย ท่านอาจารย์ก็ไม่สนใจ ต่อให้ต้องเลือกศิษย์ โดยทั่วไปก็แค่มอบโอกาสและเคล็ดวิชาสืบทอดให้ไปอย่างนั้นเอง ครั้งนี้กลับจริงจังถึงเพียงนี้ ทั้งยังจะทดสอบอีกหลายครั้งด้วยหรือ” บรรพชนโลกาลอบตกตะลึง ยิ่งจริงจังเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับตงป๋อเสวี่ยอิงมากอย่างแท้จริง

ชายชราร่างผอมซูบทอดสายตามองออกไปไกลลิบ “เจ้ามารน้อย เจ้าหนุ่มตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นพิเศษมาก ข้าเคยพบคนหนุ่มมามากมาย และได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ไปบ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดของข้าก็มีหลายวิชาที่เผยแพร่กันอยู่ภายนอก…แต่เจ้าก็รู้ว่าถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญก็คือกายหยาบ คนที่มีวาสนาต่อข้า โดยทั่วไปก็มักจะมีกายหยาบที่ร้ายกาจ นี่เป็นคนแรก! วิญญาณมีผลสำเร็จเช่นนี้ ในด้านเขตลวงยังเหนือกว่าข้าเสียอีก ข้าคงช่วยอะไรเขาได้ไม่มากนัก ต่อให้รับเขาเป็นศิษย์ ก็ทำได้เพียงให้โอกาสแก่เขาบ้าง ให้เขาไปบุกฝ่าด้วยตนเองเท่านั้น”

บรรพชนโลกาฟังแล้วก็จิตใจหวั่นไหว

โอกาส…

เป็นโอกาสครั้งใหญ่โดยแท้ ‘จักรพรรดิดำ’ ศิษย์น้องรองของเขาและศิษย์น้องเล็กก็ไม่เคยได้รับมาก่อน มีเพียงเขา บรรพชนโลกาเท่านั้นที่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่สูงส่งที่สุด และเคยได้รับการอบรมอย่างเต็มกำลังจากท่านอาจารย์อย่างแท้จริง

บัดนี้ท่านอาจารย์กลับเตรียมโอกาสเอาไว้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘บ้าง’ เห็นได้ชัดว่าในใจของอาจารย์มิได้เตรียมโอกาสเอาไว้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหลักๆ แล้วเป็นด้านเขตลวง อาจารย์ก็มิอาจชี้แนะตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ทำได้เพียงเสนอโอกาสช่วยเหลือเขาบ้างเท่านั้น

“หากเขาสำเร็จอะไรบ้าง คนเป็นอาจารย์อย่างข้าหวังว่าบางทีในภายหน้าเขาอาจจะมาชี้แนะข้าได้บ้างสักเล็กน้อย” ชายชราร่างผอมซูบยิ้มพลางทอดถอนใจ “ข้าค้างอยู่ในระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ ข้าลอบรู้สึกว่าเพราะด้านวิญญาณของข้ายังคงบกพร่องอยู่บ้าง แม้ข้าจะคิดค้น ‘วิธีการบำเพ็ญในแดนนิมิต’ ขึ้นมา สามารถขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตนออกมาได้มากที่สุดแล้วสำแดงออกมาโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย…แต่ก็ยังคงมิอาจบรรลุได้”

“เจ้ามารน้อย”

ชายชราร่างผอมซูบมองดูบรรพชนโลกาด้วยสายตาซับซ้อนอย่างมาก “หนุ่มน้อยที่มีวาสนากับข้ามีมากมายนัก น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วแต่ละคนล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่าเสียหมด ฝูงมารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นในอากาศอันสับสนอลหม่านก็แข็งแกร่งขึ้น ตัวอากาศอันสับสนอลหม่านเองก็ขยายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน…แม้เวลาจะนับว่าค่อนข้างยาวนาน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ในตอนท้ายสุดอยู่ดี ทั้งหมดกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เจ้าบำเพ็ญให้ดีๆ แล้วก้าวไปให้ได้อีกขั้นหนึ่ง เช่นนี้จึงจะสามารถยืนหยัดระหว่างการทำลายล้างครั้งใหญ่ได้”

“ศิษย์จะต้องทำเต็มกำลังอย่างแน่นอน” บรรพชนโลกาพูดเสียงจริงจัง

“ถึงระดับเช่นเจ้าในทุกวันนี้แล้ว พลังภายนอกทั้งหมดก็เป็นแค่เปลือกจอมปลอมเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยตนเอง” ชายชราร่างผอมซูบส่ายศีรษะ แล้วเงาร่างก็มลายหายไปทันที

บรรพชนโลกายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

จากนั้นสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็จากไป

******

ณ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา

แม้ตัวเมือง ‘เมืองอสนีเขียว’ ซึ่งกินพื้นที่กว่าล้านลี้จะค่อนข้างห่างไกล แต่ประมุขของเมืองนี้เป็นถึงยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ จึงเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสะท้านสะเทือนได้แล้ว ทำให้ผู้บำเพ็ญรอบด้านจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ ภายในเมืองนี้ก็เจริญรุ่งเรืองนัก

ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งของหอสุราอันหรูหราซึ่งกินพื้นที่กว้างขวาง

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะตรงหน้ามีอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดนานาชนิดวางอยู่ ทั้งสองข้างมีสาวงามหน้าตาหมดจดถึงสี่คนคอยปรนนิบัติเขา บ้างก็ช่วยนวดไหล่ บ้างก็ช่วยป้อนสุรา บ้างก็ปอกผลไม้ให้ ส่วนด้านหน้าก็มีคนบรรเลงดนตรีและนางระบำ พวกเขาแต่ละคนล้วนปรนนิบัติยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้อย่างสุดกำลังโดยมิกล้าโอ้เอ้เลยแม้แต่น้อย

เพราะว่า…

ในระยะเริ่มแรกสุด การเข่นฆ่าทั้งสองครั้งทำให้บุคคลระดับสูงของ ‘เมืองอสนีเขียว’ แห่งนี้เกิดความกลัวเกรงต่อจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเสียแล้ว

“คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็ยากเกินไปแล้ว” คิ้วสีแดงชาดทั้งคู่ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

บางครั้งเขาก็จะออกมาเตร็ดเตร่ทั่วสารทิศเพื่อเสาะหาโอกาสบรรลุ

เพราะถึงอย่างไร เขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็มีสมบัติล้ำค่ามากมาย บรรดาเทพจักรวาลก็ล้วนไม่อยากผูกใจเจ็บกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ฆ่าไม่ตายคนนี้เลยจริงๆ วันคืนของเขามิอาจเรียกได้ว่าไม่สุขสบาย แต่เพราะติดอยู่ที่ขีดจำกัดขั้นอลวนจึงทำให้เขารู้สึกทนรับได้ยากนัก

“เฮอะๆ ฝูงมารผลาญทำลายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นพวกบรรพชนทิพย์ก็ยังต้องแห่กันมาขอให้ข้าช่วยตามหารังระดับเกราะทองอีก” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยลอบพึมพำ “นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะรีดไถศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลจากพวกเขาสักครั้งหนึ่ง ถึงตอนนั้นกินลงไปสักครึ่งหนึ่ง จะต้องเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณของข้าเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็เป็นได้”

ทันใดนั้น…

จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็พลันแหงนหน้ามองไป สายตามองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางของผนังหอสุรา ก็เห็นว่าเหนือตัวเมืองมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏขึ้น ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นส่งเขตลวงขนาดมหึมาแห่งหนึ่งร่อนลงไปในทันที! มันทั้งรวดเร็วและกะทันหัน

ตู้ม…

เขตลวงนั้นใหญ่โตและพิสดารยากเกินคาดเดา เพียงพริบตาเดียวสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วทั้งตัวเมืองก็ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง บรรดาสาวงาม นักดนตรีและนางระบำซึ่งปรนนิบัติจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง เขตลวงก็ย่อมเข้าปกคลุมจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วยเช่นกัน

“นี่มัน…” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

เขตลวงอันน่าหวาดหวั่นเข้ารุกราน

โลกเบื้องหน้าเขาพลันบิดเบี้ยวหมายจะเปลี่ยนแปลงไป พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งกำลังฉุดลากวิญญาณของเขา เพื่อลากให้วิญญาณของเขาเข้าไปสู่โลกเขตลวงอีกแห่งหนึ่ง เมื่อดำดิ่งลงไป ความเป็นความตายก็จะถูกผู้อื่นควบคุมแล้ว

“เฮอะ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยขบกราม คิดจะสลัดเขตลวงให้หลุดด้วยปณิธานอันคมกริบดุจมีด แต่เพื่อที่จะต้านทานเขตลวง เขาต้องใช้พลังจิตถึงเจ็ดส่วนเพื่อต้านทาน

“เอ๊ะ” ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายก็พบคนเพียงผู้เดียวที่สามารถหลุดพ้นจากเขตลวงของเขาได้ ทว่าจากนั้นเขาก็จำได้แล้วว่าคนผู้นี้คือจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่นเอง

“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยโปรดให้อภัยด้วย ข้ากำลัง…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะถ่ายเสียงพูด

“ตงป๋อเสวี่ยอิง!”

เสียงคำรามอันกราดเกรี้ยวดังก้องขึ้น

ปัง!

ขอบเขตแสนลี้ซึ่งมีหอสุราแห่งนั้นเป็นศูนย์กลางพลันระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นซากปรักหักพังไป ซึ่งขอบเขตนี้ก็คือบริเวณกฎเกณฑ์ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย

ขอบเขตแสนลี้ทั้งหมดพังสลายไปสิ้น จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเย็นเยียบใต้คิ้วสีแดงชาดคู่นั้นจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป “เจ้านี่ช่างทะเยอทะยานเสียจริง จู่ๆ ก็อาจหาญมาลงมือกับข้าหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที บนใบหน้าราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ เขามองดูบริเวณแสนลี้นั้น

สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในขอบเขตแสนลี้ล้วน

“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ท่านมือหนักไปหน่อยหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่อยู่ไกลออกไป

“ข้าอยู่ในหอสุราแห่งนี้ แต่จู่ๆ เจ้ากลับสำแดงเขตลวงออกมาอย่างนั้นหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยแค่นเสียงเฮอะอย่างโกรธเกรี้ยว

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบว่า “ข้ารับบัญชาจากเหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายให้ไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายตามบริเวณต่างๆ ของอากาศอันสับสนอลหม่าน เพื่อป้องกันมิให้ฝูงมารผลาญทำลายสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของข้าแล้วหนีไปได้ทันท่วงที ดังนั้นเมื่อข้าไปปรากฏกายตามที่สักแห่งหนึ่งก็จะสำแดงเขตลวงออกมาทันที นอกจากนี้ด้วยพลังของท่าน จ้าวภูเขาฉื้อเหมยแล้ว ก็สามารถสกัดกั้นเขตลวงของข้าได้อย่างง่ายดาย จึงมิได้ทำร้ายท่านแต่อย่างใด ไยท่านจึงต้องไปพาลใส่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยเล่า”

“ข้าคิดจะฆ่าก็ฆ่า ทำไมรึ แค้นเคืองมากหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น “ให้บรรพชนเทียนอวี๋กับจอมกระบี่มาหาข้าสิ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น

เขาไม่ชอบจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้มาโดยตลอด…

มีพลังชัดๆ แต่กลับเสนอข้อเรียกร้องเป็นศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาล มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่ไปเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลาย ต้องรู้ไว้ว่าสุดท้ายสิ่งที่ฝูงมารผลาญทำลายจะทำลายล้างก็คือโลกทั้งใบ ตามหลักแล้วผู้บำเพ็ญแต่ละคนควรจะต้องไปพยายามจึงจะถูกต้อง

แม้วันคืนในการบำเพ็ญของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสั้น แต่เวลากว่าเก้าจุดเก้าส่วนล้วนใช้ไปกับการไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายทั่วสารทิศมาโดยตลอด บางครั้งเขตลวงปกคลุมผู้บำเพ็ญ ต่อให้ปะทะเทพจักรวาลเข้า ก็จะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้าใจดี

“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้” ที่แล้วมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว ขณะนี้เมื่อได้เห็นเขาทำเช่นนี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ แม้ก่อนหน้าตนจะเริ่มถ่ายเสียงอธิบายแล้ว จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับยังคงแค่นเสียงอย่างโมโหแล้วถึงขั้นทำให้สิ่งมีชีวิตในบริเวณแสนลี้โดยรอบสลายหายไปจนสิ้น

อำมหิตถึงเพียงนี้

นับได้ว่าเป็นมารแล้ว ด้วยวิธีการของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควรจะสังหารทันที!

น่าเสียดายที่เขามิอาจสังหารได้ ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็สังหารมิได้ เนื่องจากผู้ที่ฝึกฝนสำเร็จของทางสายประมุขหอหมื่นโลกามีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือประมุขหอหมื่นโลกา อีกคนก็คือจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ผู้ใดก็มิอาจหาร่องรอยร่างแยกของเขาพบได้ ศัตรูที่ฆ่าไม่ตายเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จนปัญญา

“ล่วงเกินข้าแล้วยังไม่รู้จักชดใช้อีก” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น ความเหี้ยมโหดยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น

“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน โปรดอภัยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มเพลิงโทสะในใจเอาไว้ แม้จะดูแคลนคนผู้นี้ ทว่าก็ยอมสงบเสงี่ยมเจียมตนเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรคนสติฟั่นเฟือนที่ฆ่าไม่ตาย…ก็ไม่จำเป็นต้องไปผูกใจเจ็บด้วยจริงๆ

“พูดประโยคเดียวก็ใช้ได้แล้วหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น “ตอนนี้เจ้ารีบเอาศิลาปฐมโลกาหมื่นก้อนมาชดใช้ให้ข้าเสีย เรื่องนี้จึงนับว่าแล้วกันไป มิเช่นนั้นแล้ว เฮอะๆ…”

 …………………………………………