สถานการณ์เป็นไปตามที่เซียวอวี๋คาด ยิ่งโครงกระดูกยักษ์เดินไกลขึ้นเท่าไร มานาที่ใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ช้า พวกมันจะเป็นฝ่ายอ่อนกำลังไปเอง
โครงกระดูกยักษ์ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานเวทมนตร์ของอันเดดเนโครแมนเซอร์ มันยังไม่ใช่อันเดดที่สมบูรณ์ เทียบกับการอัญเชิญจากต่างมิติของออกุสตุสแล้ว กรณีนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ เพราะนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตอันสมบูรณ์ แต่โครงกระดูกยักษ์นั้นไม่ใช่ มันกลับคล้ายฟีนิกซ์เพลิงของคาเอลเสียมากกว่า หรือก็คือ มันต้องการพลังเวทในการคงสภาพเอาไว้ ตู้ม….. เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวของโครงกระดูกยักษ์ยิ่งมายิ่งเชื่องช้า อันเดดเนโครแมนเซอร์ที่อยู่ด้านบนก็ยิ่งวิตก ขณะที่ทางฝั่งของเซียวอวี๋นั้นกำลังนำไวน์ออกมาดื่มอย่างผ่อนคลาย “เอกวินน์ เจ้าใช่มีความสัมพันธ์อันดีกับไจน่าหรือไม่?” เซียวอวี๋เอ่ยถามเอกวินน์ เอกวินน์ชำเลืองมองเซียวอวี๋ “ถามทำไม?” “ไม่มีใด เพียงสงสัย ข้าอยากรู้ว่านางกับอัลแซคพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ถึงขั้น….หรือยัง?” เซียวอวี๋ถาม เขาทราบว่าชื่อของไจน่านั้นแสลงหูสำหรับคาเอล ดังนั้นจึงลดเสียงลง เอกวินน์จ้องเซียวอวี๋ก็จะถอนหายใจ “ข้าจะทราบได้อย่างไร?” “หือ เจ้าไม่รู้? พวกเจ้าไม่ใช่สนิทสนมกันยิ่งหรอกหรือ? หรือไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องบนเตีย…?” เซียวอวี๋อมยิ้ม “……” เอกวินน์พลันสะบัดมือ เวทมนตร์แล่นวาบและส่งเซียวอวี๋ลอยกระเด็นไปไกล “บัดซบ! อูย…” พักหนึ่งเซียวอวี๋จึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา กระนั้นใบหน้าของเซียวอวี๋กลับไม่แสดงอาการโกรธมากนัก เป้าหมายที่ถามเช่นนี้ก็เพื่อยั่วยุให้เอกวินน์โมโห ดูว่านางจะลงมือกับเขาจริงๆหรือไม่ สุดท้ายแล้ว การจะนำนางที่เปรียบได้กับระเบิดเวลาไปไหนมาไหนด้วยนั้น เขาจำเป็นต้องเข้าใจความคิดจริงๆของนางก่อน จากนั้นจึงค่อยเก็บรวบรวมข้อมูลจากนางทีละน้อย หลังจากนั้นพักหนึ่ง โครงกระดูกยักษ์ก็ยิ่งมายิ่งช้าลง เซียวอวี๋จึงสั่งรวมพลโจมตีเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์ ไม่นาน โครงกระดูกยักษ์ที่พลังลดลงมากก็ถูกล้อมโจมตีจากทุกทิศทาง และสุดท้ายไฟวิญญาณของมันก้มอดลง เมื่อเห็นท่าไม่ดี อันเดดเนโครแมนเซอร์ก็พยายามจะหนี แต่แน่นอนว่าเมอีฟย่อมไม่ปล่อยมันไป นางพุ่งเข้าประชิดตัวของมันก่อนฟันศีรษะมันลงมา การต่อสู้จบลงแล้ว…. “รวบรวมกระดูกนั่นมาให้ข้า” เซียวอวี๋จ้องมองกระดูกของโครงกระดูกยักษ์ตาเป็นมัน เขาตระหนักดีว่ากระดูกพวกนี้นับเป็นวัตถุดิบที่หายากสำหรับการแปรธาตุ หลังจากตรวจตาทั่วทุกมุมของห้อง พวกเซียวอวี๋ก็ออกเดินทางกันต่อ ในอดีต ที่นี่จะต้องมีของดีอยู่มากแน่ๆ กระนั้นเซียวอวี๋กลับไม่เจอ นั่นทำให้เขาเศร้าไปพักหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนของพวกเนโครแมนเซอร์มาก่อน ดังนั้นที่ห้องของบอสย่อมต้องมีของดีอยู่แน่ ที่เขากังวลก็คือ บอสนั่นจะยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า ในระหว่างทาง พวกเขาพบเจออันเดดทรงพลังมากมาย มีกระทั่งพวกโครงกระดูกโลหิต แต่แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่อาจต้านทานกองทัพของเซียวอวี๋ เพื่อที่จะกำจัดพวกโครงกระดูกโลหิต คาสโซ่ได้แบกรับการโจมตีของพวกมันเอาไว้และให้คนอื่นๆทำหน้าที่สังหารพวกมัน การโจมตีด้วยหอกกระดูกของพวกโครงกระดูกนั้นรุนแรงมาก คนทั่วไปย่อมไม่อาจต้านทาน แม้กระทั่งตัวคาสโซ่ก็ยังรับมืออย่างยากลำบาก สุด้ทายังต้องสูญเสียโล่คู่กายไป เซียวอวี๋ที่เห็นดังนั้นจึงโยนโล่แอสซินอสให้เขา คาสโซ่จับจ้องแอสซินอสด้วยความตื่นเต้น โล่ที่เซียวอวี๋โยนมาให้นี้ย่อมเป็นยอดแห่งโล่ป้องกัน นี่จะไม่ให้เขาตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร? เมื่อมีแอสซินอสอยู่ในมือ เขาก็ไม่หวั่นเกรงอันตรายอีกและตรงเข้ากำจัดพวกโครงกระดูกโลหิตจนเกลี้ยง หลังจากนั้นเขาก็นำโล่แอสซินอสมาคืน แต่เซียวอวี๋โบกมือกล่าวว่า “อานดีคู่ม้าดี ยอดศัสตราย่อมต้องคู่ควรกับยอดนักรบ ไม่มีผู้ใดเหมาะกับมันเท่าท่านแล้ว” จากนั้นเซียวอวี๋ก็เดินจากไป ทิ้งคาสโซ่เอาไว้ ลอร์ดเซียวผู้นี้ใช่ใจกว้างไปหรือไม่? ของสิ่งนี้คืออะไรน่ัหรือ? มันคือโล่แอสซินอสเลยนะ! มันคือโล่ที่คาสโซ่ทำได้แค่ฝันจะครอบครอง กระนั้นเซียวอวี๋กลับยกมันให้เขาง่ายๆเช่นนี้ “เจ้า…เจ้ายกให้ข้าหรือ?” คาสโซ่วิ่งตามเซียวอวี๋ไปก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่เพียงเท่านั้น นี่ก็ให้ท่าน” เซียวอวี๋โยนจี้แห่งไททันให้คาสโซ่ จี้แห่งไททันกับโล่แห่งแอสซินอส การจับคู่อันสมบูรณ์แบบนี้ถึงกับทำให้คาสโซ่นิ่งตะลึงงัน สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เมื่อเขาตัดสินใจจะดึงคนผู้นี้มาเข้าร่วม แน่นอนว่าเขาย่อมต้องจ่ายออกบ้าง และเขาก็ไม่กลัวที่จะลงทุน ในเมื่อต้องการบางสิ่ง ท่านก็ต้องจ่ายออกด้วยบ้างสิ่งอยู่แล้ว หากว่าในอนาคตคาสโซ่กลายเป็นคนของเขาแล้ว นั่นไม่ใช่ว่าของเหล่านี้ก็จะกลับมาด้วยหรอกหรือ? ซึ่งแน่นอนว่านั่นก็คงไม่นานเกินรอ เซียวอวี๋ตั้งใจจะรวบรวมเหล่าผู้มีศักยภาพมาเข้าร่วมกับเขา และเมื่อถึงตอนนั้น คาสโซ่ย่อมต้องนำเหตุการณ์ครั้งนี้มาร่วมพิจารณา หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง คาสโซ่ก็เก็บทั้งสองชิ้นไป จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว” เซียวอวี๋พยักหน้า “อืม” ตอนนี้ พลโล่คนเดียวที่อยู่ในสังกัดของเซียวอวี๋ก็คือ เดรอน ทว่าเดรอนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งการดำรงอยู่ของคาสโซ่ก็สามารถเข้ามาดำเนินหน้าที่ป้องกันให้กองทัพของเขาได้เป็นอย่างดี โล่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกกองทัพ เซียวอวี๋สังเกตเห็นว่าอาวุธและเครื่องป้องกันของกลุ่มอาชาเหล็กนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร แทบทุกชิ้นล้วนมีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่ การรับมือกับพวกอันเดดย่อมต้องหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธที่เปื้อนโลหิต นั่นก็เพราะโลหิตที่ติดบนอาวุธนั้นสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้กับพวกอันเดดได้ คาสโซ่มองเซียวอวี๋อย่างตื้นตันและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลายปีแล้วที่เขาและสหายในกลุ่มอาชาเหล็กต่อสู้เพื่อธำรงเกียรติแห่งบรรพชน ในช่วงเวลานั้น มีผู้คนมากมายที่มาหาพวกเขาเพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือ ทว่าเซียวอวี๋กลับปฏิบัติกับพวกเขาราวกับสหาย เขาทราบว่าเซียวอวี๋นั้นต้องการชักชวนพวกเขาให้เข้าร่วม แต่วิธีที่เขาใช้นั้นไม่ใช่การใช้เงินเข้าล่อ แต่เป็นการปฏิบัติอย่างจริงใจ ในยุคสมัยเช่นนี้ สิ่งที่หายากก็คือความจริงใจนี่เอง สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มอาชาเหล็กเองก็มีความประทับใจในตัวเซียวอวี๋และกองทัพออร์คของเขา การได้พอเจอเรื่องราวดีๆเช่นนี้ติดต่อกันทุกวันก็ค่อยๆหลอมรวมพวกเขาจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพของเซียวอวี๋ หลังจากเก็บกวาดสิ่งของเสร็จสิ้น พวกเขาก็มุ่งหน้าต่อจนในที่สุดก็มาถึงห้องของคณบดี ที่เบื้องหน้าของพวกเขา ชายชราที่สวมหมวกสูงและชุดคลุมสีดำก็ปรากฏแก่สายตา ท่าทางของชายชราเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองพวกเซียวอวี๋อย่างสงบ อย่างไรก็ตาม เปลวเพลิงในแววตาของเขากลับทรยศท่าทางที่แสดงออก เพียงสบตาก็ทราบทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นเนโครแมนเซอร์ที่ทรงพลัง คณบดีมืด เกรดิ้ง