ตอนที่ 248-2 เลี้ยงแขก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ไท่จื่อไม่มา แต่ของขวัญกลับมาถึงแล้ว ส่งมาโดยจานซื่อตำหนักบูรพา

 

 

องค์ชายสามสวีเฉิงเองก็ส่งของขวัญมาคนไม่มาเช่นกัน เรื่องนี้ทุกคนต่างก็ไม่แปลกใจ องค์ชายสามร่างกายพิการ แต่ไหนแต่ไรอยู่แต่ในวังน้อยนักจะออกมา นอกจากโอกาสสำคัญของราชวงศ์เขาก็ไม่อาจมาเข้าร่วม

 

 

คนของจวนจงอู่โหวเยอะอย่างยิ่ง ท่านโหวเสิ่นหงเหวินสามพี่น้องมาแล้ว นอกเหนือจากนี้ เสิ่นซงเสิ่นไป๋และพี่น้องชนรุ่นหลังหลายคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า เสิ่นเจวี๋ยช่วยสวีโย่วต้อนรับแขกราวกับเป็นใต้เท้าน้อย ทำให้คนในที่นั้นต่างก็อดพยักหน้าชื่นชมไม่ได้

 

 

นายผู้ชายในจวนจงอู่โหวที่ไม่ได้มานอกจากเสิ่นเชียนที่อยู่ไกลถึงซีเจียง ก็คือนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเสิ่นผิงยวน อันที่จริงนายท่านผู้เฒ่าโหวอยากมายิ่งนัก หลานสาวเขาบอกแล้วว่าจะเก็บเรือนในจวนผิงจวิ้นอ๋องไว้ให้เขา เขาอยากมาดูสวนชิงหยวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งนี้ที่ปัจจุบันกลายเป็นจวนผิงจวิ้นอ๋องอย่างยิ่ง ยิ่งอยากมาดูหลานสาวแสนดีของเขา อ้วนขึ้นหรือว่าผอมลง มีใครรังแกหรือไม่

 

 

แต่เมื่อคิดว่าหากเขามาแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับท่าทางประจบประแจงของขุนนางในราชสำนัก เขาก็หมดความสนใจทันที เพียงแค่สั่งให้ทหารเก่าคนสนิทของเขาส่งของขวัญมาให้หลานสาวเขา คนกลับไม่มา

 

 

ขณะที่กำลังครึกครื้น ก็เห็นเจี่ยงปั๋วเข้ามาอย่างรีบร้อน “ท่านจวิ้นอ๋อง พระราชโองการมาถึงแล้วพะยะค่ะ”

 

 

คนทั้งหมด รวมถึงองค์ชายรองที่ถ่อมตัวผูกมิตรกับผู้มีปัญญาต่างก็ตกใจ วันนี้จวนผิงจวิ้นอ๋องจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ฝ่าบาทมีพระราชโองการย่อมต้องเป็นการปูนบำเหน็จแน่นอน ชั่วขณะสายตาที่มองสวีโย่วก็เต็มไปด้วยความอิจฉา ผิงจวิ้นอ๋องท่านนี้ช่างได้รับความโปรดปรานจริงๆ!

 

 

สวีโย่วเองก็ตกตะลึง ทันใดนั้นก็ตอบสนองกลับมา “เปิดประตูกลาง รีบเปิดประตูกลาง”

 

 

ประตูกลางจวนผิงจวิ้นอ๋องค่อยๆ เปิดออกจนสุด ขันทีใหญ่จางเฉวียนที่ได้รับความไว้ใจที่สุดประจำพระองค์ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม ในมือกอบพระราชโองการสีเหลืองสุกใส ข้างหลังยังตามมาด้วยขันทีน้อยหนึ่งกลุ่ม

 

 

ฝั่งเสิ่นเวยเองก็ได้ข่าวแล้ว เหมือนอย่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ซื่อ โหลวซื่อจวนเลขาธิการ เสิ่นซวงเสิ่นอิงและคนอื่นๆ ย่อมต้องดีใจแทนเสิ่นเวย ส่วนเหล่าญาติผู้หญิงที่เหลือก็ยิ่งอิจฉาริษยาเสิ่นเวย โดยเฉพาะคนที่มีอายุเหล่านั้น ความรู้สึกซับซ้อนยิ่งนัก ดูจยาฮุ่ยจวิ้นจู่สิ ยังอายุไม่ถึงสิบหกปี ก็เป็นจวิ้นจู่ระดับรองชั้นเอก ซ้ำยังแต่งงานกับสามีที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด จัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ฝ่าบาทก็ยังปูนบำเหน็จให้

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเอง อายุก็เป็นย่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ได้แล้ว ยังได้บรรดาศักดิ์แค่ระดับสามระดับสี่ อายุปูนนี้แล้วยังต้องประจบเด็กที่ยังไม่โตคนหนึ่ง มีเหตุผลที่ไหนกัน

 

 

แม้ว่าเหล่าญาติผู้หญิงจะไม่ต้องไปรับพระราชโองการ แต่ก็จำเป็นต้องคุกเข่ากราบไหว้ห้ามพูดจา

 

 

ชั่วขณะ ในห้องรับแขกก็คุกเข่าลงทั่วพื้น จางเฉวียนเปิดพระราชโองการอ่านประกาศเสียงดัง ทุกคนเดาไว้ไม่ผิด ฝ่าบาทออกพระราชโองการก็เพื่อปูนบำเหน็จ ได้ยินสิ่งของล้ำค่าหนึ่งชุดที่ออกมาจากปากของจางเฉวียน ทุกคนก็อิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาททรงมีต่อผิงจวิ้นอ๋องอีกครั้ง

 

 

“ผิงจวิ้นอ๋องรับพระราชโองการเถิด! พวกข้ายินดีกับงานขึ้นบ้านใหม่ของผิงจวิ้นอ๋องด้วย” จางเฉวียนประสานมือให้สวีโย่ว ยื่นพระราชโองการไปข้างหน้า ท่าทีถ่อมเนื้อถ่อมตน คนอื่นไม่รู้ แต่ขันทีใหญ่คนสนิทหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นเขารู้ดี ความไว้ใจที่ฝ่าบาทมีต่อหลานชายคนนี้บางครั้งแม้แต่เหล่าองค์ชายก็เทียบไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

 

 

สวีโย่วรับพระราชโองการด้วยความเคารพ ประสานมือให้จางเฉวียนเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ “ขอบคุณจางกงกงยิ่งนัก เชิญด้านใน ดื่มสุรารสจืดสักแก้วเถิด”

 

 

ทว่าจางเฉวียนกลับยิ้ม กล่าว “ความหวังดีของผิงจวิ้นอ๋องพวกข้าทราบแล้ว ครั้งหน้าเถิด พวกข้ายังต้องกลับวังไปรายงานพระราชโองการ”

 

 

“มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยว เจียงไป๋ รินสุราให้จางกงกง” สวีโย่วออกคำสั่ง

 

 

จางเฉวียนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก รับสุราจากเจียงไป๋ดื่มลงไปเต็มๆ หนึ่งแก้วใหญ่ “ยินดีกับผิงจวิ้นอ๋องอีกครั้ง”

 

 

ทุกคนมองจนตะลึงงันแล้ว นั่นคือจางเฉวียนขันทีใหญ่จาง ขันทีใหญ่ที่มีหน้ามีตาที่สุดข้างกายฝ่าบาท ขันทีจางที่แม้แต่ท่านเสนาบดีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องไว้หน้าหลายส่วน คาดไม่ถึงว่าเกรงใจผิงจวิ้นอ๋องเช่นนี้ ช่าง…ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!

 

 

สายตาที่ทุกคนมองสวีโย่วก็ยิ่งร้อนแรง นี่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ยิ่งนัก หากสามารถเกาะได้ก็คงจะดี

 

 

กลับมาที่งานเลี้ยงอีกครั้ง ทุกคนแบ่งกลุ่มเล็กๆ ถกเถียงกัน บุคคลในหัวข้อสนทนาย่อมต้องเป็นสวีโย่วผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้

 

 

แต่มีความคิดของคนสองคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สายตาของพวกเขามองตามหลังของอาจารย์ซูแน่นิ่ง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย สองคนนี้ก็คือฝังหมิงและฝังจวินบุตรชายของอำมาตย์ฝัง

 

 

“คนผู้นั้นคือพี่ใหญ่ใช่หรือไม่ เขากลับมาแล้วหรือ” บนใบหน้าของฝังจวินมีความตกตะลึง

 

 

ฝังหมิงเองก็มีท่าทางราวกับเห็นผี “ดูคล้าย น่าจะใช่!” ใช่พี่ใหญ่จริงๆ หรือ พี่ใหญ่ที่ปัญญาเป็นเลิศไหวพริบโดดเด่น กดจนพวกเขาหายใจไม่ออกผู้นั้นหรือ เขากลับมาแล้วหรือ ความรู้สึกของฝังหมิงซับซ้อนยิ่งนัก

 

 

ยังคงเป็นฝังจวินที่ปราดเปรียว เรียกเด็กรับใช้ที่ปรนนิบัติผู้หนึ่งเข้ามา ชี้แผ่นหลังที่อยู่ไม่ไกล กล่าวอย่างแสร้งไม่สนใจ “คนผู้นั้นคือใครหรือ”

 

 

“ใต้เท้าท่านนี้ถามถึงผู้ที่สวมชุดสีเขียวผู้นั้นใช่หรือไม่ นั่นคืออาจารย์ซูในจวนพวกเราขอรับ” เด็กรับใช้ตอบด้วยความสุภาพอย่างถึงที่สุด

 

 

“อาจารย์ซูหรือ อยู่ในจวนพวกเจ้าหรือ” ฝังจวินได้ยินแซ่ซู หัวใจก็เต้นขึ้นมา มารดาที่ให้กำเนิดพี่ใหญ่ไม่ใช่แซ่ซูหรอกหรอกหรือ “อาจารย์ซูผู้นี้เป็นคนที่ใด ดูท่าทางคล้ายมีความรู้ยิ่งนัก”

 

 

บนใบหน้าเด็กรับใช้ผู้นั้นมีรอยยิ้มภูมิใจแวบผ่าน ยื่นหัวแม่มือออกไปกล่าวชม “ใต้เท้าท่านนี้ตาดีจริงๆ ความรู้อาจารย์ซูของพวกเราดียิ่งนัก รู้ตั้งแต่โหราศาสตร์ยันภูมิศาสตร์ ไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ ใครมีปัญหาไปหาขอคำปรึกษาเขาเชื่อถือได้แน่นอน ส่วนเขาเป็นคนที่ใด ผู้น้อยไม่ทราบจริงๆ รู้เพียงแต่ว่าเขาเป็นอาจารย์จวิ้นจู่เหนียงเหนียงของพวกเรา ติดตามอยู่ข้างกายจวิ้นจู่เหนียงเหนียงมาโดยตลอด”

 

 

ฝังหมิงกับฝังจวินสองพี่น้องสบตากันปราดหนึ่ง ในแววตาต่างฝ่ายต่างมองเห็นความมั่นใจ ใช่ อาจารย์ซูผู้นี้ก็คือพี่ใหญ่ของพวกเขา พี่ใหญ่ที่ถูกตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูลผู้นั้น ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว แม้หน้าตาของพี่ใหญ่จะเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่พวกเขาก็ยังคงจำได้ตั้งแต่แวบแรก พี่ใหญ่เหมือนบิดามากจริงๆ และยังเป็นเพราะฝันร้ายที่พี่ใหญ่ผู้นี้นำมาให้พวกเขาฝั่งรากลึกเช่นกัน

 

 

เขากลับมาทำไม แก้แค้นหรือ ในดวงตาฝังหมิงกับฝังจวินต่างก็มีความหวาดกลัวลุ่มลึกอยู่

 

 

แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปยี่สิบปีแล้ว พี่ใหญ่เองก็ถูกบิดาไล่ออกจากตระกูลแล้ว แต่ฝังหมิงกับฝังจวินที่รู้ข้อเท็จจริงกลับไม่เคยวางใจได้จริงๆ สักที

 

 

หลังเรื่องราวถูกเปิดโปง ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้สอบได้จอหงวนที่มีปัญญาเป็นเลิศ คุณชายงามสง่าแห่งตระกูลฝังเป็นบุรุษจอมปลอมที่ประพฤติตัวชั่วช้า มิเช่นนั้นจะทำเรื่องเช่นการข่มขืนอนุภรรยาของบิดาได้อย่างไร มิเช่นนั้นอำมาตย์ฝังผู้เที่ยงตรงเป็นธรรมจะไล่เขาออกจากตระกูลได้อย่างไร

 

 

แต่ในความเป็นจริงทั้งหมดนี้เป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสีของมารดาพวกเขาก็เท่านั้นเอง พี่ใหญ่ที่ประพฤติตนสูงส่งดั่งดวงจันทร์บนนภาจะเป็นคนระยำตำบอนเช่นนั้นได้อย่างไร

 

 

ฝังหมิงรู้เรื่องในปีนั้นดียิ่งกว่า เพราะว่ามารดาลงมือกับพี่ใหญ่ก็เพื่อเขา! เป็นเขาที่ยอมรับไม่ได้ว่าความกดดันที่มาจากพี่ใหญ่แทบจะทำให้หมดอาลัยตายอยาก มารดาก็ทนมองเขาหมดอาลัยตายอยากเฉยๆ ไม่ได้จึงลงมือจัดการพี่ใหญ่

 

 

เขากับพี่ใหญ่ห่างกันเพียงแค่สองปี ไม่อาจเลี่ยงไม่ให้ถูกคนนำมาเปรียบเทียบ ตอนยังเด็ก เขาเองก็เคยภูมิใจที่มีพี่ใหญ่ประหนึ่งบุตรทวยเทพ เขาเองก็เคยเลื่อมใสพี่ใหญ่เช่นนั้นมาก่อน

 

 

แต่เมื่อเติบโตตามอายุ สิ่งที่พี่ใหญ่นำมาให้เขากลับไม่ใช่เกียรติยศอีกต่อไป แต่กลับเป็นความกดดัน สายตาที่ผิดหวังของบิดาทำให้เขาอับอาย คำพูดถากถางจากคนนอกทำให้เขารับไม่ไหว คนทั้งหมดต่างก็พูดว่า ‘ดูสิ น้องชายของฝังจิ่น แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ปัญญากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว’

 

 

เห็นชัดๆ ว่าเขาพยายามแล้ว ทบทวนบทเรียนจนถึงกลางดึกทุกวัน แต่ก็ยังเทียบพี่ใหญ่ที่ประพันธ์กลอนปากเปล่าไม่ได้ พี่ใหญ่มั่นใจในตนเองจึงเปล่งประกายเช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามเช่นไรก็ไล่ตามฝีเท้าของเขาไม่ทัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมดอาลัยตายอยาก เขาทุบห้องหนังสือ ฉีกหนังสือ! เริ่มออกนอกลู่ทาง ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา…

 

 

มารดากดพี่ใหญ่จมดินก็เพื่อเขา ล้วนทำเพื่อเขาทั้งสิ้น! ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ใช่จะคิดบัญชีกับเขาหรือไม่ ฝังหมิงอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้

 

 

บำเหน็จของฝ่าบาทมอบไปได้เพียงสองเค่อ บำเหน็จของฮองเฮาเหนียงเหนียงก็มาถึงแล้ว จากนั้นก็เป็นเหยียนกุ้ยเฟย ซูเฟยและสนมผู้มีหน้ามีตาในวัง

 

 

พระราชโองการของฝ่าบาทก็คือทิศทางลม ฝ่าบาทปูนบำเหน็จแล้ว สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียว ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะไม่ปูนบำเหน็จตามได้อย่างไร ฮองเฮาเหนียงเหนียงปูนบำเหน็จแล้ว เหล่านางสนมจะไม่ทำตามได้อย่างไร ต่อให้ในใจจะไม่ยินดี ก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงได้! ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังจับตามองอยู่ นางสนมวังหลังคนใดจะไม่ทุ่มเทแรงอยากสร้างความประทับใจให้ฝ่าบาท แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติปูนบำเหน็จได้ หากเจ้าไม่มีชื่อเป็นเหม่ยเหรินเป่าหลิน ใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นใคร อยู่นิ่งๆ ไปเถอะ อย่าออกมาให้ขายหน้าเลย!

 

 

ประจันหน้ากับบำเหน็จระลอกแล้วระลอกเล่า คนอื่นอิจฉา แต่เสิ่นเวยและสวีโย่วกลับรู้สึกวุ่นวาย ก็แค่งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ฝ่าบาทกับฮองเฮาปูนบำเหน็จก็พอแล้ว สนมเหล่านี้เช่นพวกเจ้าจะเพิ่มความยุ่งยากทำไม จะไม่ให้คนกินข้าวดีๆ เลยหรือ

 

 

การเคลื่อนไหวที่ใหญ่เพียงนี้ทำให้คนที่มาทั้งหมดต่างก็รู้สึกว่ามาครั้งนี้ไม่เสียเปล่า คาดการณ์ได้เลยว่าประเด็นร้อนในเมืองหลวงอีกครึ่งเดือนข้างหน้าจะต้องเป็นเรื่องงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของจวนผิงจวิ้นอ๋องแน่นอน