ตอนที่ 250 กู่ร้องร่ำไห้

ยอดรักชายาอัปลักษณ์

“ท่านนายพล ท่านไปปลอบท่านนายพลหนิงด้วยเถอะ นางวันนี้แม้แต่น้ำเพียงหยดเดียวก็ไม่แตะ แล้วเช่นนี้จะต้องทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

 

 

สาวใช้กระซิบเสียงเบา นายพลชุดดำสีหน้าเผยแววกังวล เขายื่นมือขึ้นมาเกาศีรษะเบาๆ

 

 

สาวใช้ถอยออกไป นายพลชุดดำเดินเข้าไปในห้องเงียบๆ เข้าย่องไปบนปลายเท้า ร่างกายอันกำยำล่ำสันเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง ดูท่าทีน่าตลกยิ่งนัก

 

 

“ท่านนายพลหนิง ระงับความโศกด้วยเถิด”

 

 

หนิงอวี้ค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น ในมือกุมผ้าเช็ดหน้าไหมเก่าผืนหนึ่งเอาไว้ ดวงตานางไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวแต่ปลายตากลับบวมแดง เห็นได้ชัดว่านางได้ร้องไห้อยู่นานมากแล้ว

 

 

หนิงอวี้กวาดสายตามองไปรอบห้องสีหน้าไร้อารมณ์ ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลง นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้นก็เผยความอ่อนแอออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามมิได้ นางกุมผ้าเช็ดหน้าไหมนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด

 

 

เสียงฝีเท้าที่ดังก้องขึ้น ตามด้วยอาหารที่ถูกส่งมา หนิงอวี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร ตอนนี้ได้กลิ่นอาหาร กลับอดมิได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา

 

 

นางอาเจียนอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็อาเจียนเพียงน้ำใสๆ ออกมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะกิริยาที่รุนแรงไปกระทบเข้ากับประสาทที่ไร้ความรู้สึกของนางเข้า หนิงอวี้ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบของเหลวใสบนริมฝีปาก ครั้นแล้วก็ยกมือทั้งคู่ขึ้นบังหน้า

 

 

กลิ่นแป้งชาดเบาบางอย่างที่สุดบนปลายจมูก เจือด้วยกลิ่นสาบเก่า ผ้าเช็ดหน้าไหมเปียกชุ่มด้วยน้ำตาอย่างรวดเร็ว นายพลชุดดำถอนหายใจ ได้แต่ยืนทื่ออยู่กับที่ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “กินให้มากหน่อย ไม่งั้นจะไม่ดีต่อเด็กในท้อง”

 

 

หนิงอวี้ยังคงไม่ตอบแม้แต่น้อย ราวกับตัดขาดกับทุกสิ่งรอบตัว เหลือเพียงตนเองท่ามกลางความเงียบเหงาโดดเดี่ยว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าไหมที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา บ่าที่สั่นอยู่เบาๆ ยืนยันให้รู้ว่านางกำลังร้องไห้กำลังเสียใจ

 

 

“ท่านนายพลหนิง นี่ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก”

 

 

“เป็นความผิดของข้า”

 

 

เสียงอันแหบพร่าเสียดหู หนิงอวี้ค่อยปล่อยมือลงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “หากข้าฟังคำทัดทานของท่านพ่อ คอยหลบอยู่ในเมืองอย่างสงบ คงไม่เกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ขึ้น”

 

 

“เรื่องนี้…”

 

 

“ท่านไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”

 

 

หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น มองไปยังแสงอัสดงสีแดงนอกหน้าต่าง นายพลชุดดำยืนกับที่ไม่พูดจา ครู่ใหญ่ก็เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านแม่ทัพหนิงคงหวังให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เชิญท่านอยู่ตามลำพังก่อน”

 

 

ประตูถูกปิดลง น้ำตาไหลพรูออกจากดวงตาหนิงอวี้ ใบหน้านางไม่แสดงความรู้สึกแม้แต่น้อย แต่น้ำตากลับพรั่งพรูออกมาจากหางตา

 

 

“เป็นความผิดของข้า”

 

 

หนิงอวี้สองมือกอดเข่า พึมพำเสียงเบาอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน

 

 

“ข้าควรทำอย่างไรดี ท่านพ่อ ข้าควรทำอย่างไรดี ใครก็ได้บอกข้าที”

 

 

สิ้นสุดคำพูดสะเปะสะปะ ในที่สุดหนิงอวี้ก็ร้องไห้โฮออกมาสะอึกสะอื้นไม่ได้ศัพท์

 

 

“เป็นความผิดของข้า ข้าทำให้ท่านแม่ต้องตาย สุดท้ายยังทำให้ท่านต้องตายด้วยอีก!”

 

 

ขนตาหนิงอวี้สั่นระริก มือทั้งคู่ปิดหน้าร้องไห้

 

 

“ข้าสมควรตาย ตัวอับโชคเช่นข้า ไยจึงมีชีวิตอยู่อีกเล่า”

 

 

เสียงร่ำไห้ดังขึ้นในห้องอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็กลายเป็นความเงียบงัน หนิงอวี้ร้องไห้จนเหนื่อย นางหลับตาทั้งคู่ลงสนิทเอนกายขดอยู่กับพื้นผล็อยหลับไป

 

 

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลากลางดึกยามสาม หนิงอวี้กอดเข่าทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงมองไปยังหน้าต่าง ท้องฟ้ารัตติกาลอันมืดมิดประดับด้วยดวงดาวส่องสว่างเป็นจุดเล็กๆ

 

 

นางนึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์ขึ้นมาทันใด บิดาจูงมือนางและพี่ชายพาทั้งสองเดินเล่น ตอนนั้นพวกเขาประจำการอยู่ยังชายแดนแถบทะเลทราย เท้าย่ำไปบนทรายอันอ่อนนุ่มเกิดเสียงสวบสาบดังขึ้นเบาๆ

 

 

บิดาปล่อยมือนางแล้วคุกเข่าลงมองหน้านางในระดับเดียวกันพลางชี้ไปยังดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดดวงนั้นบนท้องฟ้า เขาพูดว่า ‘อวี้เอ๋อร์ นั่นคือดาวศุกร์ ดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่นี้ไป หากเจ้าหลงทาง ให้เจ้ามองมันแล้วอย่าไปไหน เดี๋ยวพ่อจะไปตามหาเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น!’

 

 

นางในตอนนั้นเผลอเดินเข้าไปลึกกลางทะเลทรายจนเกือบได้ตายอยู่ที่นั่น ความหิวโหยเหน็บหนาวบีบบังคับทำให้นางออกวิ่งจนเกือบตกลงกลางทรายดูด โชคดีที่ทันใดนั้นก็มีเด็กชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาช่วยนางไว้ได้ทัน หลังจากนั้น เขาผู้นั้นก็กลายเป็นพี่ชายนาง

 

 

‘อวี้เอ๋อร์อย่ากลัวนะ พี่ก็จะไปตามหาเจ้า!’

 

 

เด็กชายวัยเยาว์ตบอกพูดให้คำมั่นสัญญา

 

 

หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งทีแล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอหนิงจื้อหย่วน นางพูด ‘มีท่านพ่อช่วยแล้ว ไม่ต้องรอให้เจ้าช่วยหรอก’