เล่มที่ 20 ตอนที่ 19

Memorize

ตอนที่ 19 ProjectZyphon

ในตอนนั้นเอง

แวบ!

จู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นที่ด้านข้างแท่นบูชา และหลังจากนั้นก็มีทูตสวรรค์ตนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มแสงสว่างอันแสนรุ่งโรจน์ราวกับจะครอบคลุมทั่วทั้งนภา

“…!”

เซราฟตกใจกับเหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีวี่แวว หล่อนจึงได้ลืมตาขึ้น แล้วหันไปมองทันที วินาทีที่หล่อนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของทูตสวรรค์ผู้ถูกอัญเชิญมานั่นเอง หล่อนถึงกับขมวดคิ้ว

“…มีเรื่องอะไรหรือคะ มาถึงที่นี่เลย ท่านอูรีเอล”

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยยินดีกับการมาของข้าเสียเท่าไหร่เลยนะ เซราฟ”

“…”

“เป็นถึงทูตสวรรค์ชั้นสูง คงไม่คิดว่าตัวเองอวดดี อวดเก่งหรอกนะ”

ทูตสวรรค์ตรงหน้ามีผมสั้นและหยักศกเล็กน้อย แม้อีกฝ่ายจะพูดวิจารณ์กันซึ่งๆ หน้า ทว่าเซราฟก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่โต้ตอบกลับไป อูรีเอลจดจ้องอีกฝ่ายก่อนที่ผ่อนลมหายใจน้อยๆ แล้วจึงเสยผมสีดำขลับไปด้านหลัง

“อืม ช่างมันก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าผู้เล่นคนนั้นเดินทางมาเมื่อกี้นี้หรือ”

“หากท่านหมายถึงผู้เล่นคิมซูฮยอนที่ข้ารับผิดชอบอยู่ ก็ถูกต้องแล้วล่ะค่ะ”

“ไม่ปิดบังกันเลยนะ ดีแล้วล่ะ ถ้างั้นทำไมเจ้าถึงยอมบอกความจริงนั่นให้เขารู้เล่า การปิดปากเงียบ ไม่บอกเล่าความจริงเกี่ยวกับฮอลล์เพลนแห่งนี้ ให้เขาอยู่เฉยๆ น่าจะดีกว่า หากความจริงเรื่องนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทวีปเหนือล่ะก็ ความเชื่อถือศรัทธาของเหล่าผู้เล่นที่มีต่อทูตสวรรค์ก็จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปอีก เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”

“ข้าเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่พอจะชี้แจงให้เขาทราบได้เท่านั้นค่ะ ส่วนเรื่องการอนุมานความนั้น เป็นเรื่องของผู้เล่นที่จะนำไปคิดต่อเองค่ะ ที่ท่านอูรีเอลพูดมา ข้าก็เห็นด้วยในส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นข้าขอสัญญาว่า ข้าจะไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ปากพล่อยบอกรายละเอียดให้แก่ผู้เล่นได้รับทราบอย่างแน่นอนค่ะ”

“สาบานไหมเล่า”

“…ไม่สาบานค่ะ”

เซราฟตอบกลับไปทันที และไม่ได้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของอูรีเอลที่ดูอบอุ่นในช่วงแรก บัดนี้กลับดูบูดบึ้ง ไม่พอใจเล็กน้อย

“เซราฟ ตั้งแต่ผู้เล่นของเจ้าเดินทางมาถึงนี่ ข้าก็พูดเตือนมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้วนะ ข้าบอกแล้วนะว่า เจ้ามนุษย์คนนั้นดูท่าทางน่าสงสัยอย่างไรชอบกล มิหนำซ้ำยังดูอันตรายอีกด้วย”

“..ดังนั้น เมื่อคราวก่อนโน้น ท่านก็เลยเรียกร้องให้ข้าเพิกถอนสิทธิ์ในการใช้ Tanay ของเขาใช่หรือไม่คะ”

“ใช่แล้ว สิทธิ์นั้นน่ะ พวกเราเข้าไปแตะต้องไม่ได้ก็จริง แต่หลังจากที่ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ข้าก็พบว่ามันมีอะไรที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เลยคิดว่าจะขอร้องให้เบื้องบนเพิกถอนสิทธิ์นั้นออกไปเสีย ถึงมันจะเป็นแค่คำขอร้องธรรมดาๆ ยังไม่ได้ยืนยันแน่ชัดก็ตาม แต่อย่างน้อยถ้าได้ลองทำเช่นนั้นดู ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ ส่วนคนที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเสนอเรื่องนี้ได้น่ะ ก็มีเพียงแค่เจ้า ที่เป็นทูตสวรรค์ดูแลเขาก็เท่านั้น”

“ใช่แล้วค่ะ แต่ท่านคิดว่า ข้าจะเห็นด้วยกับท่านหรือคะ”

เซราฟตอบกลับไปด้วยความสุขุม และในตอนนั้นเองที่อูรีเอลเริ่มจะมีน้ำโห อดทนต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ดูเหมือนเจ้าจะไม่รับฟังข้าเลยสักนิดนะเนี่ย”

อูรีเอลพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะสะบัดมือน้อยๆ หนึ่งครั้ง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่มีแม้แต่ซุ่มเสียงเตือนใดๆ และไม่รู้สึกถึงกระแสพลังใดๆ ด้วย แต่แล้วเซราฟที่นั่งนิ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นก็ถูกพลังงานบางอย่างบีบเค้นให้หล่อนลุกขึ้นมา ก่อนที่จะลอยขึ้นสูงลิ่วอยู่กลางอากาศ ราวกับถูกแขวนไว้บนนั้นไม่มีผิด

พลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ กำลังออกแรงบีบรัดบริเวณลำคอของหล่อน เซราฟได้แต่ไอออกมาอย่างแรง

“คึก! แค่กๆ!”

“เซราฟ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“อะ อะไรกัน! แค่ก!”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าทำไมเจ้าถึงปกป้องผู้เล่นคนนั้นมากถึงเพียงนี้ ทำไมต้องยึดติดด้วย หืม? ตั้งแต่ยอมมอบฮวาจองให้แล้ว ไหนจะปฏิเสธ ไม่ยอมเปลี่ยนผู้เล่นที่ตัวเองต้องดูแลอีก ถึงข้าจะบอกแล้วว่าคงช่วยดึงให้พลังความแข็งแกร่งสูงกว่านี้ไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังคิดและพูดตรงข้ามกับข้าอยู่ดี ตอนนี้ยังลามมาถึงข้อมูลที่ไร้ประโยชน์สิ้นดีเช่นนั้นอีก เจ้าเห็นว่าคำพูดของข้าเป็นเพียงลมปากอย่างนั้นหรือ”

แรงบีบรัดบริเวณลำคอเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เซราฟได้แต่ไอจนแสบคอ ไม่สามารถโต้ตอบอีกฝ่ายได้เลย ทว่าในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นเช่นนั้น หล่อนก็ยังคงซื่อตรงเสมอ ไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย เซราฟเบิกตาโพลง จ้องไปที่อูรีเอล และจึงเริ่มเม้มริมฝีปากตัวเองไว้เสียแน่น ท่าทีของหล่อนดูตั้งใจแน่วแน่มากว่าไม่มีความคิดที่จะทำตามคำขอร้องของอูรีเอลแต่อย่างใด

อูรีเอลเห็นอากัปกิริยาของเซราฟเช่นนั้นจึงเริ่มโกรธอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก และในขณะที่หล่อนกำลังจะโบกมืออีกครั้งอยู่นั่นเอง

แวบ! แวบ! แวบ!

ตอนนั้นเองเกิดแสงสว่างวาบขึ้นสามครั้งติดต่อกัน จึงทำให้ห้องอัญเชิญสว่างวาบไปด้วยแสงสีขาวโพลน และเหล่าทูตสวรรค์ทั้งสามก็ปรากฏโฉมออกมาให้เห็น

อูรีเอลที่กำลังจะสะบัดมืออีกครั้งนั้น รีบหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว และทันทีที่หล่อนได้เห็นเหล่าทูตสวรรค์ที่เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันนั้นเอง หล่อนก็เกิดอาการอ้าปากค้าง และหยุดการเคลื่อนไหวไปในบัดดล

“ท่านกาเบรียล? มิคาเอล ราฟาเอล”

“อู้ว นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ อูรีเอล”

น้ำเสียงอ่อนหวาน แสนรื่นหูดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ก่อนที่แสงสว่างวาบนั้นจะอันตรธานหายไป

เส้นผมสยายพลิ้วไหวไปมา เท้าขาวผ่องสัมผัสเข้ากับพื้นห้อง ปีกทั้งสองข้างที่อยู่กลางหลังสะบัดไปมา เห็นทีว่าทูตสวรรค์ที่ลงมาก่อนตนแรกจะต้องเป็นกาเบรียลอย่างแน่นอน

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”

“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“คะ คือว่า…”

อูรีเอลกัดริมฝีปาก พลางมีสีหน้าอึกอัก ไม่รู้จะแก้ตัวต่ออีกฝ่ายอย่างไร แล้วจึงค่อยๆ ผละมือออกทันที ทันใดนั้นเซราฟที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศก็ได้ร่วงหล่นลงมาสู่แท่นบูชาอีกครั้งหนึ่ง หล่อนกระแอมไอเล็กน้อย แล้วจึงลูบลำคอด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก

“เซราฟ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ แค่มีปากเสียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองค่ะ”

ระหว่างที่พูดโต้ตอบอีกฝ่ายไป ทั้งเซราฟและอูรีเอลก็ต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างไรชอบกล กาเบรียลมองทูตสวรรค์ทั้งสองตนสลับกันไปมา พลางหัวเราะคิก

“ปากเสียงเล็กๆ น้อยๆ งั้นหรือ อย่าโกหกกันเลยน่า แค่ดูจากพฤติกรรมของอูรีเอลเมื่อครู่ ก็รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่แค่มีปากเสียงกัน”

“…ข้าไม่ปฏิเสธค่ะ”

“สดใสขึ้นมาหน่อยแล้วนี่ ถ้างั้นก็ต้องมีการลงโทษเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ต้องสาบานด้วยว่าจะไม่แสดงพฤติกรรมเลวร้ายเช่นนั้น เข้าใจหรือไม่”

กาเบรียลเอียงคอถามทั้งสองคน ยังคงมีสีหน้าสดใสเหมือนอย่างเคย

“ข้าขอน้อมรับบทลงโทษค่ะ แต่คงมิอาจสาบานได้”

แต่อูรีเอลก็ตอบกลับมาอย่างห้วนๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร พฤติกรรมที่อูรีเอลกำลังกระทำอยู่ในขณะนี้เหมือนเป็นท้าทายอำนาจของกาเบรียล ผู้นำของทูตสวรรค์ทั้งปวง แต่กาเบรียลก็ไม่ได้โต้ตอบ แสดงปฏิกิริยาใดๆ กลับมา ได้แต่ยิ้มแย้มและดูเหมือนจะยิ้มกว้างมากกว่าเคยด้วย

“ทำผิดไว้แท้ๆ แต่กลับจะไม่ทำตามที่ข้าสั่งงั้นหรือ”

“ข้าไม่คิดว่าการกระทำของข้าเป็นเรื่องผิดอะไรค่ะ”

“อ้าว ทำไมเล่า ทำไมถึงคิดเช่นนั้น”

“ข้าเคยพูดให้ฟังหลายต่อหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือคะ ผู้เล่นที่ชื่อคิมซูฮยอนนั่นน่ะ ทั้งทำตัวมีพิรุธ มิหนำซ้ำยังดูอันตรายเอาเรื่องอีกด้วย แต่หมอนั่นก็ยังได้รับมอบพลังที่จำเป็นต่อการปฏิบัติภารกิจ ไหนจะยังต้องไปคอยบอกข้อมูลให้กับมันอีก”

ท่าทางของอีกฝ่ายยังดูซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมเหมือนเดิม กาเบรียลจึงได้หย่อนกายนั่งลงบนแท่นบูชาของเซราฟ เซราฟกำลังจะลุกขึ้นยืนให้อีกฝ่ายนั่ง แต่แล้วกาเบรียลกลับคว้าปีกของหล่อนไว้ได้ทัน หลังจากนั้นจึงเปล่งเสียงพูดออกมาว่า

“อูรีเอล อูรีเอล ข้าน่ะนะ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าจะต้องกังวลอะไรขนาดนั้น”

“…สิทธิ์ในการใช้ Tanay ที่หมอนั่นได้รับไปตั้งแต่แรกเริ่ม อีกทั้งยังได้ครอบครองพลังอำนาจของฮวาจองอีก ไหนจะพฤติกรรมต่างๆ เมื่อครั้งอยู่ฮอลล์เพลน ดูเหมือนหมอนั่นจะล่วงรู้อะไรบางอย่างอีกด้วย ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ”

“สงสัยสิ แต่ว่าดูผลที่เกิดขึ้นในตอนนี้สิ มันก็ไม่มีอะไรเลวร้าย เสียหายไม่ใช่หรือ ครั้งก่อนโน้นเขาก็สามารถกำจัดเบลเฟกอร์ได้ คราวนี้ยังสามารถจัดการเนอร์กัลออกไปได้อีก ไม่สิ มองโดยรวมแล้ว เขาก็สามารถขัดขวางแผนการชั่วร้ายของเหล่าปิศาจได้อย่างดีเยี่ยม แล้วมันมีอะไรแย่ตรงไหนกันเล่า”

“ถ้าท่านมองจากความจริง ณ ปัจจุบันนี้ก็คงเป็นอย่างที่ท่านว่า แต่ท่านกาเบรียลคะ”

อูรีเอลกำลังจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ แต่แล้วหล่อนก็กลับหุบปากฉับไป เพราะจู่ๆ ก็มีหอกที่เปล่งพลังไอร้อนมาจี้บริเวณลำคอเสียอย่างนั้น

“ข้าว่าเจ้าอย่าพูดอะไรต่อไปอีกจะดีกว่านะ อูรีเอล”

อูรีเอลมองมิคาเอลที่ใช้สายตาจับจ้องมาที่ตัวเธอเอง และราฟาเอลที่กำลังนั่งส่งยิ้มหวานมาให้สลับกันไปมา หล่อนเห็นดังนั้นจึงกัดฟันกรอด

“ข้ากำลังพูดอยู่นะ มิคาเอล”

“ใช่ๆ เธอกำลังพูดอยู่ มิคาเอล วางหอกลงเสียเถิด”

กาเบรียลโบกมือ ส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร มิคาเอลจึงได้แต่จ้องอูรีเอลอย่างเงียบๆ แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว

อูรีเอลลูบคอตัวเอป้อยๆ ก่อนที่จะจ้องเขม็งไปยังเซราฟ ทันใดนั้น กาเบรียลจึงรีบพูดปกป้องเซราฟด้วยน้ำเสียงอันแสนเรียบเฉย

“อูรีเอล ผู้เล่นที่เธอเคยดูแลเมื่อก่อนนี้ เสียชีวิตไปแล้วใช่หรือไม่”

“หากท่านพูดถึงผู้ตื่นรู้ ว่าที่ราชินีล่ะก็ เธอโดนคิมซูฮยอนสังหารไปเมื่อคราวก่อนน่ะค่ะ”

“ไม่ต้องเอ่ยชื่อคิมซูฮยอนจะดีกว่านะ อย่างไรก็เถอะ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า เพราะฉะนั้น เจ้าจงเก็บเนื้อเก็บตัว รอเวลาที่ผู้เล่นคนใหม่จะเข้ามาดีกว่า”

“รับทราบค่ะ แต่ข้าอยากจะเรียนอะไรท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“ถ้ายังจะพูดแบบเดิมอีก ข้าก็ขอไม่อนุญาตแล้วกันนะ”

กาเบรียลตอบตัดบทอีกฝ่าย คราวนี้อูรีเอลคงรู้สึกได้ว่า ความอดทนของกาเบรียลเริ่มมาถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ จึงได้ลอบกลืนน้ำลายอยู่เอื๊อกสองเอื๊อก แต่แล้วพอเวลาล่วงผ่านไปสักระยะหนึ่ง อูรีเอลจึงได้เปิดปากพูดออกมารวดเดียวในที่สุด

“พลังแห่งฮวาจอง เป็นพลังที่น่าหวาดกลัวนะคะ”