หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 906 ถูกจับ
ฮึ่ม**!**
เสียงเสียดแก้วหูดังออกมาจากหุบเขาใหญ่ เมื่อระลอกเสียงดังก้องก็สะท้อนกองทัพใหญ่ที่อยู่ด้านนอกหุบเขา จากนั้นร่างหลายร่างก็พุ่งกลับไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว ชัดว่าได้รับคำสั่งบางอย่าง
พวกมู่เฉินที่เพิ่งมาถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าเล็กน้อย สัญญาณช่วยเหลือนั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ผู้บัญชาการเลี่ยซันพวกเจ้าเข้ามาก่อนเถอะ” ขณะที่สีหน้าของพวกมู่เฉินเปลี่ยนไป เสียงกัมปนาทก็สะท้อนออกมาจากหุบเขา นั่นเป็นเสียงของผู้บัญชาการซิวหลัว
“ไป!”
มู่เฉิน จิ่วโยวและคนอื่นไม่กล้าที่จะชักช้า รีบสั่งหน่วยรบของตนเองให้เฝ้าด้านนอกหุบเขา ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงทะยานเข้าไป เมื่อเหล่านักรบที่ประจำการอยู่ด้านนอกเห็นการมาถึงของพวกเขา ก็รีบเปิดทางให้ทันที
ฟิ้ว!
เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามาในหุบเขาก็ปรากฏตัวในส่วนลึกในเวลาไม่กี่วินาที บนแท่นหินสูงตระหง่านในส่วนลึกสุดของหุบเขามีคนมากมาย มองเห็นเงาร่างของซิวหลัวและผู้บัญชาการอื่นๆ อยู่ตรงกลาง
ทว่าตอนนี้บรรยากาศในหุบเขาค่อนข้างตึงเครียด ใบหน้าของแต่ละคนค่อนข้างมืดมน
มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ทะยานตัวลงอย่างรวดเร็ว ประสานมือให้ซิวหลัว
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึงสักที” ซิวหลัวมองพรรคพวกที่มาถึง ใบหน้าซึ่งตึงเครียดก็คลายลงเล็กน้อย
“ผู้บัญชาการซิวหลัวเกิดอะไรขึ้น?” เลี่ยซันมองจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาพวกเขา ขณะที่ถามด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด
ใบหน้าของซิวหลัวมืดครึ้ม เขาสะบัดแขนเสื้อกระจกก็พุ่งออกมา แสงแพรวพราวส่องลงมาจากท้องฟ้าก่อตัวเป็นกระจกแสง ยามนี้มีคลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้าจากภายในกระจก เกลียวแสงขนาดใหญ่บินฉวัดเฉวียนผ่านไปมา
นั่นดูเหมือนจะเป็นการเผชิญหน้ากันของสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสวมชุดเกราะน้ำแข็ง อากาศเย็นยะเยือกกระจายออกไปในท้องฟ้าทำให้อุณหภูมิลดลง มีธงรูปเกล็ดหิมะโบกสะบัดอยู่
“นั่นผู้บัญชาการปิงเหอ!”
เมื่อคนอื่นๆ เห็นสัญลักษณ์เกล็ดหิมะ ท่าทางก็ตึงเกร็งลง นั่นเป็นธงประจำหน่วยรบของปิงเหอ ซึ่งหมายความว่านี่เป็นหน่วยรบธารหิมะ
“คนที่ขัดขวางผู้บัญชาการปิงเหอคือ…” สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปยังอีกทิศทางหนึ่งในกระจก เมฆดำพวยพุ่ง รัศมีน่าขนลุกกำจายพร้อมกับธงหัวกะโหลกของจวนยมโลกโบกสะบัด!
“จวนยมโลก!” สีหน้าของพวกหลิงเจี้ยนเปลี่ยนไป ปิงเหอถูกจู่โจมโดยจวนยมโลก
มู่เฉินมองที่กองทัพจวนยมโลกก็เห็นร่างเงาหนึ่งก้าวย่างอย่างช้าๆ ออกจากเมฆดำที่พลุ่งพล่าน ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ รัศมีที่น่าขนลุกกระจายทั่วร่างเขา
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาแคบน่าขนลุกที่กำลังจ้องมองหน่วยรบธารหิมะด้วยรอยยิ้มเยาะแขวนที่มุมปาก จากนั้นก็ยกมือขึ้น
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้ากวาดออกจากก้อนเมฆสีดำที่ด้านหลัง ก่อตัวเป็นกะโหลกสีดำที่มีขนาดหลายพันจั้งซึ่งอัดแน่นไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน
โฮก!
กะโหลกเปิดปากเปล่งเสียงน่ากลัวออกมา คลื่นเสียงสีดำกวาดออกมาอย่างป่าเถื่อน ทำให้พื้นดินปริแยกในเส้นทางพาดผ่านไป ยอดเขาที่อยู่โดยรอบก็ยุบตัวลงบนพื้นทันที…
ในหน่วยรบธารหิมะมีแม่ทัพหลายคนที่มีพรสวรรค์ในรัศมีจั้นยี่ก็รีบเข้าทำหน้าที่ เร้าคลื่นพลังกวาดล้างออกไปไม่หยุดยั้ง
ตู้ม! ตู้ม!
แต่เนื่องจากความแตกต่างมากระหว่างสองฝ่าย รัศมีจั้นยี่หิมะจึงพังทลายลงอย่างไม่หยุดยั้งเมื่อปะทะกัน
อั้ก!
เหล่าแม่ทัพของหน่วยรบธารหิมะก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักกระอักเลือดกบปาก กระทั่งในกองทัพยังมีนักรบจำนวนมากพ่นเลือดออกมา ชัดว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน
เผชิญหน้ากับหน่วยรบธารหิมะที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ชายชุดสีดำก็ออกกระบวนท่าโดยไม่มีการผ่อนปรน การโจมตีดุร้ายกวาดออกมาอีกครั้ง บังคับให้หน่วยรบธารหิมะต้องถอยร่น นักรบหลายคนทนทุกข์จากพลังของอีกฝ่ายที่บดขยี้ ร่างร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ปะทะกัน หอธารหิมะสูญเสียมหาศาล แม้แต่หน่วยรบก็พ่ายแพ้ย่อยยับ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้ฝ่ายเดียว เมื่อหน่วยรบธารหิมะทนไม่ได้อีกต่อไป แสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกองทัพพุ่งเข้าใส่ร่างชายสวมเสื้อคลุมสีดำ การโจมตีเต็มรูปแบบแยกท้องฟ้าออกจากกันเลยทีเดียว
การโจมตีน่าสะพรึงซัดออกมาจากผู้บัญชาการปิงเหอที่อดกลั้นมานาน!
ทว่าการโจมตีของเขาไม่ได้สร้างผลลัพธ์ตามที่หวัง จังหวะที่เขาพุ่งออกไป ร่างสีดำสี่ร่างก็พุ่งออกมาจากกองทัพยมโลก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตฉีกมิติปะทะเข้ากับปิงเหอ
อั้ก! อั้ก!
ทั้งสี่คนไม่อ่อนแอกว่าปิงเหอ ดังนั้นเมื่อพวกเขาโจมตีด้วยกัน แค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้ปิงเหอกระอักเลือดออกมา ร่างถลาออกไปพร้อมกับรอยเลือดปรากฏบนร่างกาย
ทั้งสี่ปรากฏที่ด้านหลังปิงเหอได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นก็กลุ้มรุมคว้าร่างน่าสมเพชที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไว้
เมื่อหน่วยรบธารหิมะเห็นว่าผู้บัญชาการถูกจับก็สูญเสียกำลังใจ รัศมีจั้นยี่เริ่มดิ่งลงขณะที่กระบวนทัพเริ่มระส่ำระสายหนีตาย เมื่อชายชุดดำเห็นเหตุการณ์นี้ มุมโค้งโหดร้ายก็ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาสะบัดแขนเสื้อ เสียงน่าขนลุกดังก้องทั่วขอบฟ้า
“ฆ่าพวกมันทั้งหมด!”
กองทัพที่อยู่ด้านหลังพุ่งตัวออกราวกับฝูงตั๊กแตน ต่อไปก็เป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว นักรบธารหิมะถูกสังหารอย่างสมบูรณ์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีหนีรอดไปได้
การสังหารหมู่ครั้งนี้ย้อมแผ่นดินเป็นสีแดงฉาน ร่างชุดดำยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับกลุ่มแม่ทัพใต้บัญชาของปิงเหอที่สลบไสลไม่ได้สติ เขาแสยะยิ้มน่ากลัวขณะที่เหยียดนิ้วออกไปสัมผัสหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แม่ทัพทุกคนเผยสีหน้าที่เจ็บปวดและบิดเบี้ยว ใบหน้าของพวกเขาซีดลงเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังชีวิตถูกดึงออกจากร่าง
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ร่างของแม่ทัพเหล่านั้นก็แข็งทื่อ ร่างถูกโยนทิ้งไปโดยไม่ใส่ใจจากชายชุดดำ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นเหมือนมองมาทางกระจก น้ำเสียงน่าขนลุกดังกึกก้อง “สามวันจากนี้จวนยมโลกจะเปิดชุมนุมที่เทือกเขากู่ไห ในเวลานั้นข้าขอเรียนเชิญอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาพบปะสังสรรค์กันหน่อย ไม่อย่างงั้นข้าจะเชือดผู้บัญชาการปิงเหอต่อหน้าทุกคน…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดลงชั่วขณะก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะดุร้ายขึ้นอีกหลายส่วน “และไอ้สารเลวที่ชื่อมู่เฉิน หวังว่าจะมาด้วยนะ ข้าเชื่อว่าคลื่นจิตของเจ้าคงอร่อยน่าดู…”
ชี่
เสียงหัวเราะน่าขนพองสยองเกล้าของชายชุดดำดังก้องอยู่ในเทือกเขาขณะที่ฉากนี้จางหายไป ซิวหลัวฉายท่าทางเย็นชา เขาสะบัดมือทุบกระจกทองแดงจนแหลกละเอียด
ในหุบเขาใบหน้าผู้บัญชาการคนอื่นก็มืดครึ้ม ความโกรธแค้นพล่านในสายตา จวนยมโลกกำลังเหยียบหัวอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขา!
ใบหน้าของมู่เฉินและจิ่วโยวขรึมลงจนไม่น่าดู จวนยมโลกช่างเป็นทรราช ไม่เพียงแต่วิธีการจะโหดเหี้ยม พวกมันยังส่งข้อความมาหยามอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจตบหน้าพวกเขาฉาดใหญ่
“ชายคนนั้นคือหลินหมิงแห่งจวนยมโลกที่เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้มันยังเป็นจั้นเจิ้นซืออีกด้วย” ซิวหลัวพูดเสียงต่ำ ทำให้ผู้บัญชาการคนอื่นต้องหดดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ยินชื่อนี้บ่อยมากในช่วงนี้
บางทีขุมพลังของหลินหมิงไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่าผู้บัญชาการ แต่เมื่อเขาเป็นจั้นเจิ้นซือ พวกเขาก็ต้องหวาดเกรง สถานการณ์ที่หน่วยรบธารหิมะพ่ายแพ้เมื่อครู่ยังติดตาพวกเขาอยู่เลย
ด้วยพลังของรัศมีจั้นยี่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยากลำบากในการปะทะกับหลินหมิง
มู่เฉินหรี่ตาลง ก่อนหน้าที่หลินหมิงจู่โจมก็ยืนยันตัวตนเรียบร้อย ลวดลายจั้นเหวินมากกว่าหนึ่งหมื่นลายบนกะโหลกสีดำนั่น ดังนั้นพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าหลินหมิงเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือแท้จริง
“พวกเจ้ามีความคิดยังไงกับเรื่องนี้?” ซิวหลัวมองไปที่คนอื่นๆ ขณะที่ถามว่า “จวนยมโลกจัดงานชุมนุม ข้าได้ยินมาว่ามีหลายกองทัพได้รับเชิญ มิหนำซ้ำผู้บัญชาการปิงเหอก็อยู่ในมือพวกมัน ถ้าพวกมันฆ่าเขาต่อหน้าธารกำนัลมิเท่ากับเอาขี้มาป้ายหน้าเราหรอกรึ ในเมื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังมาถึง สถานการณ์นี้จะทำให้กองทัพของเราเสื่อมเสียอย่างมาก”
“พวกเราควรไปที่เทือกเขากู่ไหเพื่อช่วยผู้บัญชาการปิงเหอหรือไม่?” หลิงเจี้ยนครุ่นคิดครู่หนึ่งขณะที่พูดต่อ “กลัวว่านี้จะเป็นกับดักที่จวนยมโลกวางไว้”
“จวนยมโลกจะกินอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปได้รึไง?” เสี่ยยิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“กันไว้ดีกว่าแก้นะ”
“ถ้าผู้บัญชาการปิงเหอถูกฆ่าตาย คงจะทำให้เราหน้าม้านอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าคิดว่าแม้แต่ท่านประมุขก็คงโกรธเช่นกัน”
“…”
ซิวหลัวกวาดมองผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่าง เขาขมวดคิ้วพลางหันไปมองเลี่ยซัน ในบรรดาผู้บัญชากรของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกเหนือจากตนศักดิ์ศรีของเลี่ยซันสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงถามอีกฝ่าย “ผู้บัญชาการเลี่ยซันคิดยังไง?”
เลี่ยซันคิดครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองมู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่มีอะไรแนะนำไหม?”
เมื่อเห็นการกระทำนี้ จอมยุทธ์ชั้นสูงอื่นๆ ก็อึ้งไป ก่อนสงครามล่าเริ่มต้นแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นผู้บัญชาการอายุน้อยที่สุดในพิธีมอบยศราชัน แต่พลังก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าสู่รากฐานของการเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นในสายตาของคนอื่น เขาจึงอยู่ในอันดับท้ายสุด
แต่ตอนนี้เลี่ยซันกลับมอบความสุภาพและขอความเห็นของมู่เฉิน มิหนำซ้ำยังมีความเคารพในทัศนคติ ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกประหลาดใจไป
“ฮ่าๆ อย่าดูถูกผู้บัญชาการมู่ ตอนนี้เขาเป็นจั้นเจินซือหนึ่งเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเรา แม้แต่จินไถหลิวหลียังพ่ายแพ้ในมือของเขา” เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองมา เลี่ยซันก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“โอ้?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นซิวหลัวก็ตกใจ เขาหันขวับไปมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเข้าใจความสามารถของจั้นเจิ้นซือดี
“แล้วผู้บัญชาการมู่คิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?” ซิวหลัวยิ้มให้มู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นสุภาพมากขึ้น ไม่มีการประเมินต่ำจากประสบการณ์และอายุยังน้อยของมู่เฉินอีกต่อไป
มู่เฉินพยักหน้าให้ซิวหลัวอย่างสุภาพ จากนั้นก็กวาดสายตามองทุกคนก่อนที่จะพูดอย่างนิ่งเรียบ
“ข้าเสนอให้ช่วยเหลือผู้บัญชาการปิงเหอ”