ตอนที่ 201 ลมปาก

รักเล่ห์เร้นใจ

ภายในห้องน้ำของบริษัท อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ก็ได้ยินเสียงของอันเสี่ยวเซียว กำลังเมาท์อยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวได้ยินอันเสี่ยวเซียวพูดว่า “ฉันว่าอินเสี่ยวเสี่ยวนี่น่าสงสารจริงๆ เลย จนป่านนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เซียวจิ่งสือน่ะ ที่แท้แล้วไม่ได้ชอบเธอหรอก แค่เห็นเธอเป็นตัวแทนเท่านั้นเอง”

 

 

ผู้หญิงอีกคนพูดอย่างประหลาดใจว่า “คนที่เธอพูดถึงคืออินเสี่ยวเสี่ยวที่เพิ่งเข้าบริษัทเรามานะเหรอ? เธอทำไมเหรอ? ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”

 

 

อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “ใช่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวของบริษัทเรานี่ล่ะ ก่อนเธอจะมาทำงานที่นี่ บริษัทเราก็มีคนที่หน้าตาเหมือนเธอเด๊ะๆ เลย ตอนนั้นท่านประธานเซียวรักชอบผู้หญิงคนนี้มาก พวกเขาสองคนขลุกอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ผู้หญิงอื่นที่แอบชอบท่านประธานอยู่เห็นแล้วพากันอิจฉาใหญ่ ต่อมาผู้หญิงคนนั้นถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิตไปน่ะ”

 

 

ผู้หญิงนั้นได้ฟังก็อุทานอย่างแปลกใจว่า “โห น่ากลัวจัง ดูท่าว่าท่านประธานเซียวคงไม่ใช่คนที่พวกเราคนธรรมดาจะชอบได้ อันตรายเกินไปแล้ว มิน่าเล่าถึงมีคนวิจารณ์อินเสี่ยวเสี่ยวลับหลังอยู่เรื่อย ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่รู้ความจริง ช่างน่าสงสารเหลือเกินนะ”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในห้องน้ำ พอฟังสองสาวพูดจบ ก็ทำได้แค่ปิดปากตัวเองเอาไว้แน่นชนิดที่ไม่ยอมให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาเด็ดขาด

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกใจเย็นวาบไปครึ่งตัวอย่างตื่นตกใจ เหมือนกระโดดลงทะเลน้ำแข็งขั้วโลกในฤดูหนาวอย่างนั้นนั้น ตลอดทั้งร่างกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

 

 

ตอนนั้นเอง อันเสี่ยวเซียวกับพวกออกมาจากห้องน้ำ สบตาส่งยิ้มซึ่งมีความหมายเป็นที่รู้กันออกมา

 

 

หลังเลิกงาน อินเสี่ยวเสี่ยวเดินกลับบ้านอย่างท้อแท้ ในหัวมีแต่คำพูดที่เป็นบทสนทนาในห้องน้ำวันนี้ พอเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นอันเสี่ยวเซียวที่เดินเข้ามาหา

 

 

อันเสี่ยวเซียวเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินเข้ามาทักทายว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว บังเอิญจังนะ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเธอที่นี่”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “ใช่ บังเอิญจังนะ ทำไมเธอมาอยู่นี่ได้ล่ะ”

 

 

อันเสี่ยวเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว เมื่อก่อนเราเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้ฉันอาจต้องไปจากบริษัทแล้ว ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอสักมื้อเป็นการอำลาเถอะนะ”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ยังมีอะไรจะคุยกันอีกนะ? แต่ในเมื่อเขาชวนแล้ว ก็ไปซะหน่อยก็แล้วกัน อย่างไรแล้วก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน’ เธอลังเลเล็กน้อยแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ พวกเราหาที่นั่งค่อยคุยกันเถอะ”

 

 

ภายในร้านอาหารที่ดูดีบรรยากาศสบายๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสองสั่งอาหารที่ตัวเองชอบแล้ว ต่างก็พากันนั่งเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาบ้าง

 

 

อันเสี่ยวเซียวเงยหน้าขึ้นก็เห็นอินเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังทานอาหาร พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว ฉันจะไปแล้วนะ แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ฉันเห็นว่ามีคำพูดบางอย่างควรจะบอกเธอ อันที่จริงเธออาจยังไม่เข้าใจบริษัทของเรานัก สภาพแก่งแย่งชิงดีกันในบริษัทนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการอยู่นะ”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งฟังอยู่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่รับคำขึ้นมาพอเป็นพิธี

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ฉันไม่เชื่อเธออีกแล้ว เรื่องที่เธอทำก่อนหน้านี้มันมักใหญ่เกินตัว ฉันจะไม่เชื่อเธอง่ายๆ อีก ตอนนี้ยังมาพูดว่าบริษัทอย่างนั้นอย่างนี้อีก’ อินเสี่ยวเสี่ยวออกจะดูแคลนวิธีการแบบนี้ของเธออยู่บ้าง

 

 

อันเสี่ยวเซียวเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก จึงตัดสินใจพูดว่า “วันนี้ฉันอยากบอกเรื่องสำคัญกับเธอเรื่องหนึ่ง”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวตอบเสียงเรียบ “ได้เลย เธอพูดสิ”

 

 

อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งฉันปิดเธอมาตลอด เพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่ฉันรู้สึกว่าตอนนี้จำเป็นต้องพูดกับเธอแล้ว ท่านประธานเซียวของเราเป็นคนเจ้าชู้มากนะ มีแฟนสาวมาไม่รู้กี่คนแล้ว ฉันอยากให้เธออยู่ห่างจากเขาหน่อย”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวแอบค้อนอยู่ในใจ อันเสี่ยวเซียว เธอนี่ช่างเป็นหัวเผือกขนานแท้เลยนะ ฉันกับเซียวจิ่งสือตอนนี้ยังไม่มีอะไรกันเลย ต่อให้มีอะไรก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอเลยนี่ เธอไม่เห็นจะต้องพูดอะไรพวกนี้เลย

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวก้มลงทานอาหารต่อไป ไม่สนใจคำพูดของอันเสี่ยวเซียว

 

 

อันเสี่ยวเซียวพูดต่อไปว่า “เธอรู้ไหมบริษัทเราก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหลินหว่าน เธอเป็นแฟนของเซียวจิ่งสือ ต่อมาถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิต เซียวจิ่งสือจึงเห็นเธอเป็นหลินหว่านอย่างไรล่ะ”

 

 

พอได้ยินชื่อหลินหว่าน อินเสี่ยวเสี่ยวก็เริ่มสงสัยบ้างแล้ว ทุกครั้งที่เซียวจิ่งสือเจอเธอ จะเรียกเธอว่าหลินหว่าน หรือว่าเรื่องนี้เป็นความจริง ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า เมื่อก่อนเธอก็เคยได้ยินพวกเพื่อนร่วมงานพูดถึงหลินหว่านมาบ้าง หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นข่าวลือ

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวแกล้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจคำพูดของอันเสี่ยวเซียว พูดเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันกับเซียวจิ่งสือก็ไม่มีอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้ชอบเขา ดังนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลใจแทนฉันหรอก ขอบคุณนะ” พูดจบก็ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

อันเสี่ยวเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกัน เรื่องแบบนี้ฉันก็ควรจะพูดให้เธอฟัง”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวยกแก้วไวน์แดงขึ้น ยิ้มกับอันเสี่ยวเซียวว่า “ขอบคุณนะ ก่อนเธอจะไปยังอุตส่าห์มาบอกเล่าความในใจกับฉัน ขอบใจมากนะ ฉันก็ขอให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยนะ”

 

 

ออกจากร้านอาหาร ทั้งสองบอกลากันกำลังจะแยกย้ายกลับบ้าน จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดขึ้น “อันเสี่ยวเซียว เธอรอเดี๋ยวนะ ฉันอยากถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย ผู้หญิงคนที่ถูกทำร้ายเสียชีวิตก่อนหน้านี้ หน้าตาเหมือนฉันมากเหรอ”

 

 

อันเสี่ยวเซียวผงกศีรษะพูดว่า “เหมือนเลยล่ะ ผู้หญิงที่ชื่อหลินหว่านนั่นหน้าเหมือนเธอเป๊ะเลย เซียวจิ่งสือแค่เห็นว่าเธอหน้าเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นมาก เธอจึงเป็นแค่ตัวแทนของผู้หญิงที่ตายไปแล้วเท่านั้น เธอน่ะทางที่ดีก็อยู่ห่างจากเซียวจิ่งสือหน่อย เซียวจิ่งสือไม่ได้ชอบเธอจริงๆ หรอก”

 

 

พอเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวมีท่าทีหวั่นไหว เริ่มสงสัยว่าที่เธอพูดเป็นจริง อันเสี่ยวเซียวก็พูดต่อไปว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ที่ฉันพูดนี่ก็เพราะหวังดีกับเธอหรอกนะ ฉันไม่อยากให้เธอถูกหลอก ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นของเหลือเดนที่เขาเขี่ยทิ้งไปเปล่าๆ”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวฟังจบก็รู้สึกเจ็บปวดใจมาก สีหน้าบูดบึ้งไม่ค่อยน่าดูนัก แต่ยังพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา พูดว่า “อันเสี่ยวเซียว ขอบคุณนะ ทั้งบริษัทมีแต่เธอเท่านั้นที่พูดเรื่องพวกนี้กับฉัน”

 

 

อันเสี่ยวเซียวตบบ่าปลอบอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ได้รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเซียวจิ่งสือ ได้รู้ความจริงสักที เอาล่ะ ฉันก็พูดได้แค่นี้ล่ะ หวังว่าเธอจะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเซียวจิ่งสือ เขาก็แค่หนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นตัวสำรอง อย่าโง่ยอมทำเพื่อเขาแบบนั้น เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมองตามหลังอันเสี่ยวเซียว ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ในหัวมีแต่คำพูดของอันเสี่ยวเซียวเมื่อครู่ รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นที่สุด คิดไม่ถึงว่าเธอเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น นึกดูแล้วช่างน่าเศร้าซะเหลือเกิน

 

 

บนถนนที่รถติดเรียงราย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมา นาทีนี้อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าโลกนี้ตัวเองช่างโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นที่สุด