บทที่ 111 เจ้าของผู้ยิ่งใหญ่ โดย Ink Stone_Romance
คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ลุงใหญ่อุ้มชูเขาอย่างไร? มาครั้งนี้ ขโมยสูตรอาหารของลุงใหญ่ยังไม่พอ เขายังแว้งกัด กล่าวหาว่าคนสกุลอวี๋ขู่กรรโชกตนอีก
อวี๋เฟิงผู้ซึ่งก่อนเดินทางมาเลือกที่จะลืมการถูกลอบสังหารและให้อภัยพ่อครัวใหญ่หยาง ครานี้กลับโกรธจนเส้นเลือดเต้นตุบๆ เขาแทบอดใจพุ่งเข้าไปจับพ่อครัวใหญ่หยางผู้นี้ทุ่มลงกับพื้นไม่ได้
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “แค่ลอกเลียนสูตรอาหารเขายังไม่ยอมรับเลย จ้างวานฆ่าคนยิ่งไม่ยอมรับหรอก”
พ่อครัวใหญ่หยางถลึงตาใส่เธอด้วยความโกรธ “ข้ายอมให้พวกเจ้าครั้งสองครั้ง เจ้าก็เห็นว่าข้ารังแกง่ายใช่หรือไม่! ยังจะมากล่าวหาว่าข้าจ้างวานฆ่าคนอีกรึ?”
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เสมียนของร้านจำนวนมากมามุงดูเหตุการณ์อยู่ที่ปากประตูห้อง
พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงแม้แต่น้อย ครานี้ได้ยินทั้งสองคนกล่าวหาว่าพ่อครัวใหญ่หยางฆ่าคน ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแก้ต่างแทนพ่อครัวใหญ่หยาง
“ตอนนั้นพ่อครัวใหญ่หยางบาดเจ็บ พ่อครัวใหญ่หยางไปรวบรวมเงินจากทุกสารทิศมารักษาขาของเขา”
“พ่อครัวใหญ่หยางเป็นคนดีนะ…”
“ใช่แล้ว น่าเสียดายที่ทำดีแล้วไม่ได้ดี ถูกคนสกุลอวี๋กล่าวหาอีก”
“พวกอกตัญญู…”
อกตัญญู? ทำเรื่องเลวร้ายอย่างกำเริบเสิบสาน คนซื่อสัตย์มีจุดจบไม่ดี คนเหล่านี้ลืมไปแล้วหรือว่าที่คนแซ่หยางผู้นี้ไต่ขึ้นมาจากกองฝุ่นได้เป็นเพราะใคร? ในตอนนี้เขาได้เป็นพ่อครัวใหญ่แล้ว ก็ทิ้งความดีความชอบของลุงใหญ่จนไม่เหลือซาก! ถึงจะไม่เกิดเรื่องขโมยสูตรอาหารแบบนี้ขึ้น ลุงใหญ่ก็นับเป็นอาจารย์ของเขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทำกับอาจารย์ของตนแบบนี้ จิตสำนึกของเขาถูกสุนัขกินไปแล้วหรืออย่างไร!
อวี๋หวั่นมองพ่อครัวใหญ่หยางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คนแซ่หยาง ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าลอกเลียนสูตรอาหารของท่านลุงใหญ่ใช่หรือไม่?”
พ่อครัวใหญ่หยางเชิดคางขึ้น แล้วกล่าวอย่างผึ่งผายว่า “ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของพวกเจ้าสองพี่น้องหรือเป็นความคิดของอวี๋ไคหยาง ข้าจะคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องด้วยก็แล้วกัน จำเอาไว้ วันนี้ข้าจะคิดว่าไม่เคยพบพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ามาหาเรื่องข้าอีกละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“พ่อครัวใหญ่หยาง รายงานทางการเถิด! ไม่ต้องไปเกรงใจพวกป่าเถื่อนเช่นนี้!”
“ใช่แล้ว ไยท่านจิตใจดีถึงเพียงนี้ เกรงใจคนอกตัญญูไปทำไมกัน!”
เหล่าเสมียนกล่าวบริภาษไปต่างๆ นานา ขาดอีกเพียงอย่างเดียวก็คือเขวี้ยงผักและเนื้อไก่เน่าใส่สองพี่น้อง
อวี๋เฟิงโมโหจนอกจะแตก “ข้า…ข้าจะไปหาเจ้าของที่นี่!”
“เจ้าของไม่อยู่” ผู้จัดการซึ่งประจำอยู่หน้าร้านกล่าวอย่างมิได้ใส่ใจ เขาไม่ได้มองทั้งสองโดยตรงด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าดีดลูกคิด
เขามิได้ต้องทำบัญชี เพียงแต่ไม่อยากสนใจทั้งสองคน
อวี๋เฟิงโกรธจนหน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง “หอเทียนเซียงของพวกท่านทำการค้ากันเช่นนี้หรือ? คนผู้นั้นขโมยสูตรอาหารของท่านพ่อข้านะ…”
“อาหารของพ่อเจ้า? มีหลักฐานหรือไม่เล่า?”
อวี๋เฟิงชะงัก
“ข้าเคยเห็นคนประเภทเดียวกับพวกเจ้ามามาก เดือนหนึ่งหากไม่มีแปดถึงสิบราย ก็จะมีสามสี่ราย ถ้าข้าเชื่อทุกคนที่ใส่ความหอเทียนเซียง แล้วหอเทียนเซียงของข้าจะเป็นเช่นไรเล่า?”
“ข้าไม่ได้ใส่ความ ข้าพูดความจริง! เรียกเจ้าของภัตตาคารออกมาเสีย!”
ขณะที่อวี๋เฟิงกำลังถกเถียงกับผู้จัดการอยู่ตรงนี้ อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองมาจากด้านหลัง เธอจึงหันหลังไปมองห้องในมุมหนึ่งของชั้นสองของหอเทียนเซียง
หน้าต่างของห้องนั้นมีม่านบังอยู่ครึ่งหนึ่ง
อวี๋หวั่นมองไปด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง “ไปกันเถอะพี่ใหญ่ เจ้าของร้านรู้เรื่องแล้ว”
“อะไรนะ?” อวี๋เฟิงตกใจ
“หอเทียนเซียงไม่ทวงคืนความยุติธรรมให้ลุงใหญ่หรอก ลุงใหญ่ไม่ใช่คนของหอเทียนเซียงแล้ว ถ้าพวกเขายอมรับว่าขโมยสูตรอาหารของลุงใหญ่ จะไม่ได้มีแค่พ่อครัวหยางคนเดียวที่เสียหาย แต่ชื่อเสียงของที่สั่งสมมานานนับปีของหอเทียนเซียงก็จะเสียหายไปด้วย พวกเขาก็จะกลายเป็นตัวตลกในวงการอาชีพนี้ ทั้งยังมีสิ่งที่ต้องสูญเสียอีกมากมาย นับประสาอะไรกับพ่อครัวมีชื่อเพียงคนเดียวเล่า?”
อวี๋หวั่งเพ่งมองหน้าต่างบานนั้น คล้ายกับกำลังคุยอยู่กับผู้จัดการ และก็คล้ายกับกำลังพูดกับคนอื่นอยู่ “หวังว่าหอเทียนเซียงจะเสียใจกับการตัดสินใจวันนี้”
“ชิ” ผู้จัดการแค่นเสียงอย่างเดียดฉันท์
อวี๋หวั่นจับอวี๋เฟิงซึ่งกำลังโกรธจัด แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ขณะที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตูก็กล่าว “หนึ่งเดือน”
ผู้จัดการมองอวี๋หวั่นจากด้านหลังอย่างดูแคลน “ทำไม? อีกหนึ่งเดือนเจ้าก็ยังจะมารึ?”
อวี๋หวั่นหันหลังกลับไป แล้วมองป้ายสีทองอร่ามเหนือศีรษะ ชี้ขึ้นไป แล้วกล่าวว่า “ข้าจะรื้อมันลงมา!”
……
เมื่อออกจากหอเทียนเซียง อวี๋เฟิงก็ตามอวี๋หวั่นไปติดๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “อาหวั่นเจ้า เจ้า เจ้า…เจ้ามีวิธีรื้อหอเทียนเซียงอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มี” อวี๋หวั่นตอบอย่างสัตย์จริง
อวี๋เฟิง “?!”
“เจ้าก็แค่ขู่หรือ?” อวี๋เฟิงจะบ้าตาย
อวี๋หวั่นจึงตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “แพ้ได้แต่เสียหน้าไม่ได้”
“…”
อวี๋เฟิงอยากจะเป็นลม…
ทั้งสองคนเดินตรงไปยังรถม้าซึ่งจอดอยู่ในตรอก ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาหนึ่งตามมา
“พวกเจ้า…พวกเจ้ารอก่อน!”
คนผู้นั้นกล่าว
ทั้งสองคนหันหลังไป เป็นคนงานคนหนึ่งของหอเทียนเซียง อายุค่อนข้างมากแล้ว ผมสีดอกเลา แต่ยังดูร่างกายแข็งแรงและมีกำลังวังชา
“ท่านลุง ท่านเรียกพวกข้าหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
ชายสูงวัยเดินมาเบื้องหน้าของทั้งสอง มองไปรอบๆ กระซิบว่า “ข้าแซ่หู ทำหน้าที่ปัดกวาดในหอเทียนเซียง ตอนนั้นหอเทียนเซียงไม่รับข้า แต่เป็นพ่อครัวอวี๋ช่วยขอร้องแทนข้า ข้าจึงได้ทำงานที่นี่”
ที่แท้ก็มีคนที่จดจำลุงใหญ่ได้เป็นอย่างดี
อวี๋หวั่นจึงเอ่ยถามเขาว่า “ท่านลุงมาหาพวกข้า มีอะไรหรือ?”
เขามองไปรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครผ่านไปมา แล้วจึงกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “เจ้าอย่าไปสู้กับหอเทียนเซียงเลย สู้ไม่ไหวหรอก…ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว เรื่องของพ่อครัวอวี๋ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว…”
พูดแบบนี้ แปลว่าเขาเชื่อลุงใหญ่
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อวี๋หวั่นก็มีสีหน้ายิ้มแย้มมากขึ้นอีกหลายส่วน “ความยุติธรรมนี้ จะช้าจะเร็วก็ต้องทวงคืนมาให้ได้”
ท่านลุงผู้นี้โบกมือด้วยความวิตก “ทวงคืนมาไม่ไหว ทวงคืนมาไม่ไหวหรอก! พวกเจ้าคงเคยได้ยินว่าหอเทียนเซียงเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้วกระมัง?”
ผู้จัดการชุยเคยพูดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากเปลี่ยนเจ้าของ หอเทียนเซียงจึงเฟื่องฟูถึงเพียงนี้ ภายในเวลาไม่กี่ปี ก็เปิดสาขาย่อยอีกแปดสาขา แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของท่านลุงผู้นี้ หรือว่าเจ้าของคนใหม่ผู้นี้จะไม่ธรรมดา?
“เจ้าของคนใหม่ของหอเทียนเซียงคือคนสกุลสวี่!” เขากล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สกุลสวี่ไหนหรือ?” อวี๋เฟิงถาม
ท่านลุงกล่าวเสียงค่อย “จะเป็นสกุลสวี่ไหนไปได้เล่า? ก็ต้องเป็นสกุลสวี่ของสวี่เสียนเฟยน่ะสิ!”
……
รถม้าหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนมาหยุดลงด้านหน้าประตูหอเทียนเซียง
เมื่อผู้จัดการเห็น ก็ออกมาต้อนรับอย่างเคารพนบนอบ เปิดม่านให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง
ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง เด็กหนุ่มสวมอาภรณ์ชั้นดีสีน้ำเงินปักดิ้นก็เดินออกมา “ท่านพี่! ท่าน
มาได้อย่างไร”
เจ้าก้อนอ้วนกลมกำลังนอนอยู่
บุรุษผู้นั้นจึงปล่อยมันเอาไว้บนรถม้า และเดินเข้าไปในหอเทียนเซียงคนเดียว
เด็กหนุ่มคล้องแขนเขา ช่างเจื้อยแจ้วจำนรรจา “ท่านพี่ หากท่านไม่มาอีก ข้าจะเชิญตัวเองเข้าไปในวังแล้วนะ ขนมเฟิ่งหวงที่จะให้พระสนมก็ทำเสร็จแล้ว พระสนมจะต้องชอบมากเป็นแน่!”
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เกิดอะไรขึ้น”
เด็กหนุ่มโบกมือ “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ขอทานตัวเหม็นสองคน!”
………………………………..