ตอนที่ 250-1 สาวงามหรือว่าหวานใจ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ชีวิตช่วงนี้ของคนห้าร้อยคนที่ถูกฮ่องเต้ยงเซวียนบัญชาการอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ถูกลากมายังจวนผิงจวิ้นอ๋องอัดอั้นตันใจมากเป็นพิเศษ เดิมฮ่องเต้ยงเซวียนบอกว่าจะเลือกคนหนึ่งพันคน เห็นหรือไม่ กฎข้อบังคับอะไร เพียงแค่พูดให้น่าฟังก็เท่านั้นเอง ยังต้องดูอีกว่าเจ้าได้รับความโปรดปรานหรือไม่

 

 

แต่สวีโย่วไม่ต้องการ จวนจวิ้นอ๋องเล็กๆ ของเขาจะเอาทหารคุ้มกันจวนที่เยอะเพียงนั้นไปเพื่ออะไร เลี้ยงทหารต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งเสียงนินทาของเหล่าผู้เฒ่าปัญญาชนคร่ำครึเหล่านั้นในราชสำนักก็น่ารำคาญยิ่งนัก ทหารคุ้มกันจวนห้าร้อยนาย บวกกับกองทหารเด็กสี่ร้อยกว่าคน ก็แทบจะใช้ไม่หมดแล้ว

 

 

เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนบอกว่าจะเลือกอย่างดี สวีเวยจึงเลือกคนที่มีความสามารถดีเหล่านั้น แต่คนที่มีความสามารถก็ยากจะเลี่ยงอวดอ้างฝีมือทำตัวตามอำเภอใจ บวกกับกองทหารรักษาพระองค์กลายเป็นทหารคุ้มกันจวน ในด้านความรู้สึกก็ตกต่ำ ในใจย่อมไม่พอใจ แต่ละคนเชิดหน้ามองฟ้า ไม่เห็นโอวหยางไน่หัวหน้าใหม่ผู้นี้อยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง

 

 

โอวหยางไน่เองก็ไม่โมโห ลากกองทหารเด็กออกมาเสียเลย บอกว่าจะให้พวกเขาเจียระไน

 

 

กองทหารรักษาพระองค์แทบจะโกรธจมูกเบี้ยว เจียระไนอะไรกัน ไม่ใช่ประลองหรอกหรือ ให้คนใหญ่คนโตเช่นพวกเขามาประลองกับเด็กที่ยังไม่โต นี่ไม่ใช่เป็นการดูถูกพวกเขาหรอกหรือ

 

 

แต่เมื่อประมือจริงๆ จึงได้รู้ ต่อสู้เพียงลำพังกับกองทหารเด็กกลุ่มนี้เทียบพวกเขาไม่ได้ แต่พวกเขาร่วมมือกันได้อย่างโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ลูกไม้อย่างแล้วอย่างเล่า ทำให้คนไม่ทันระวังตัว ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว พวกเขาคนใหญ่คนโตกลุ่มนี้ก็ยังจัดการเด็กยังไม่โตกลุ่มนี้ไม่ได้ ชั่วขณะกลับต่อสู้เสมอกัน

 

 

โอวหยางไน่เห็นว่าพอประมาณแล้ว โบกธงเรียกให้หยุด

 

 

เหล่าทหารรักษาพระองค์อับอาย แม้ว่าจะไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ แต่อันที่จริงพวกเขาก็แพ้แล้ว กองทหารเด็กอายุมากที่สุดก็ไม่เกินสิบห้าปี ฝั่งตนอย่างน้อยที่สุดก็สิบห้าสิบหกแล้ว ไม่สามารถชนะได้ ซ้ำยังถูกพวกเขาหลอกจนสับสนวุ่นวาย บนใบหน้าแต่ละคนต่างก็ร้อนผ่าว รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก

 

 

ตอนนี้โอวหยางไน่จึงกล่าว “ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเก่งมากหรือไร มาสิ! ขอเพียงแค่ชนะทวนยาวเล่มนี้ในมือข้าได้ เช่นนั้นตำแหน่งหัวหน้าข้าก็จะยกให้เจ้าเป็น หากชนะไม่ได้ เช่นนั้นก็อยู่นิ่งๆ เสีย”

 

 

แม้เหล่าทหารรักษาพระองค์จะถูกโจมตี แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยสูญหาย โอวหยางไน่พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีชายร่างกำยำสี่คนวิ่งเข้ามาแล้ว “หัวหน้าโอวหยางพูดจริงหรือ”

 

 

โอวหยางไน่เลิกคิ้ว กล่าวเสียงต่ำ “แน่นอน”

 

 

คนทั้งสี่มองหน้ากันเล็กน้อย กำหมัดคารวะ “เช่นนั้นผู้น้อยก็มาขอคำแนะนำก่อน”

 

 

คนที่สูงที่สุดในนั้นวิ่งเข้ามาแล้ว ในมือถือทวนยาวหนึ่งเล่มเช่นเดียวกัน ต่อสู้ได้สิบเพลงก็ถูกโอวหยางไน่ใช้ทวนตีออกไปแล้ว

 

 

สามคนที่เหลือเห็นท่าไม่ดี คนที่ใช้ลูกตุ้มคู่ทางขวาสุดก็ปะทะเข้ามา ปากส่งเสียงตะโกน “ผู้น้อยมาขอคำแนะนำฝีมือของหัวหน้าโอวหยาง”

 

 

เสียงดังอย่างยิ่ง แต่เขายังสู้คนแรกไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงแค่เดินอยู่ใต้เงื้อมมือของโอวหยางไน่เจ็ดแปดรอบ

 

 

สองคนที่เหลือก็มองหน้ากันเล็กน้อย จู่โจมเข้ามาหาโอวหยางไน่ซ้ายขวาพร้อมกันด้วยความรู้ใจอย่างถึงที่สุด

 

 

“เข้ามาได้ดี!” โอวหยางไน่ตะโกนเสียงดังหนึ่งครา ทวนยาวในมือจ้วงซ้ายแทงขวา ประหนึ่งมังกรเลื้อย เร็วอย่างยิ่งก็บีบบังคับจนสองคนนั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“มาอีก!” โอวหยางไน่ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ตะโกนด้วยความห้าวหาญอย่างถึงที่สุด

 

 

ในกลุ่มทหารรักษาพระองค์มีคนวิ่งออกมาอีกสองคน ล้อมโจมตีโอวหยางไน่พร้อมกับสองคนนั้นก่อนหน้า ทวนยาวของโอวหยางไน่ร่ายรำโดยไม่เว้นช่องว่าง คนทั้งสี่นี้ประชิดตัวเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง กลับถูกเขากดดันจนแสดงฝีมือไม่ได้

 

 

“มาอีก!” โอวหยางไน่ตะคอกอีกครั้ง

 

 

คราวนี้คนที่ออกมามีสี่คน ชายร่างกำยำแปดคนล้อมโจมตีโอวหยางไน่คนเดียวพร้อมกัน สองมือยากจะสู้สี่มือ ต่อให้โอวหยางไน่เก่งกาจก็มีเพียงคนเดียว กองทหารเด็กที่มุงดูอยู่ข้างๆ ต่างก็อดปาดเหงื่อแทนเขาไม่ได้

 

 

แต่โอวหยางไน่เป็นใครกัน เขาเคยเป็นราชันนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดในกองทัพชายแดนซีเจียง มิเช่นนั้นจะเป็นทหารคนสนิทข้างกายนายท่านผู้เฒ่าโหวได้อย่างไร ทั้งยังติดตามเสิ่นเวยฆ่าเข้าฆ่าออกหลายรอบท่ามกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียง หล่อหลอมดุจกระบี่ล้ำค่าที่แหลมเปรียวหนึ่งเล่มนานแล้ว

 

 

ศิลปะการต่อสู้ของทหารรักษาพระองค์หลายคนนี้ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน ประสบการณ์การเผชิญหน้าต่อศัตรูก็เหือดแห้ง ต่อให้จะมาอีกหลายคนก็ต้องถูกโอวหยางไน่ทารุณเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังสู้กันแปดต่อหนึ่งแล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีหน้าจะเพิ่มคนอีกแล้ว

 

 

ผ่านไปสองเค่อ โอวหยางไน่ก็ถีบคนสุดท้ายลอยออกไป จากนั้นจึงเก็บท่าตั้งทวน เหล่ากองทหารเด็กก็ส่งเสียงร้องดีใจที่ดังสนั่นลั่นฟ้าออกมา

 

 

แปดคนที่ล้มลงบนพื้นก็ลุกขึ้นมาช้าๆ เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา ประสานมือคารวะโอวหยางไน่ กล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง “หัวหน้าโอวหยาง ผู้น้อยทั้งหมดยอมแพ้แล้ว” แม้ว่าพวกเขาจะหัวรั้นหัวแข็ง แต่ก็เลื่อมใสยอดฝีมือที่สุด หัวหน้าโอวหยางต่อสู้หนึ่งต่อแปดยังชนะพวกเขาได้ นี่ทำให้ในใจพวกเขาเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด

 

 

คนหลายคนที่รับมือยากที่สุดล้วนถูกจัดการแล้ว คนเหล่านั้นที่เหลือย่อมพูดอะไรไม่ได้อีก พากันคารวะโอวหยางไน่ สวามิภักดิ์

 

 

มุมปากของโอวหยางไน่ยกขึ้น รู้สึกว่าความคิดจวิ้นจู่ของเขาดีจริงๆ จวิ้นจู่บอกว่า ‘ไม่เชื่อฟังหรือ เช่นนั้นก็สู้สิ สู้จนพวกเขาไม่มีแรงตอบโต้ก็เชื่อฟังแล้ว’ ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นก็พูดได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนต่ำช้าเช่นกัน เจ้าดีต่อพวกเขาพันเท่าหมื่นเท่า พวกเขาก็ยังแข็งคอถลึงตาใส่เจ้า จัดการให้โหดเ**้ยมครั้งหนึ่ง พวกเขากลับซื่อสัตย์เชื่อฟังแล้ว

 

 

“พวกเจ้าสู้ไม่ได้แม้แต่ข้า ก็อย่าได้ทำตัวขายหน้าขายตาต่อหน้าจวิ้นอ๋องจวิ้นจู่เลย พวกเจ้าอาจจะได้ยินข่าวลือข้างนอก คิดว่าผิงจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอไร้ประโยชน์ แต่พวกเจ้าล้วนมีสมองก็ไม่รู้จักคิดดู หากผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์จริงๆ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญเช่นนี้หรือ ดังนั้นใต้บังคับบัญชาจวิ้นอ๋องของพวกเราล้วนต่อสู้ได้หลายกระบวนท่า” โอวหยางไน่กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

 

 

ตีด้วยกระบองแล้ว ต่อไปก็ควรให้พุทราหวาน โอวหยางไน่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาราวกับพลสวรรค์ เสียงไม่ดัง แต่กลับกังวานมีพลังกึกก้องไปทั่วทั้งลาน “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างก็เป็นผู้ได้รับความโปรดปรานในกองทหารรักษาพระองค์ ถูกย้ายมาที่จวนผิงจวิ้นอ๋องในใจยากจะเลี่ยงไม่ให้รู้สึกผิดหวัง ตรงนี้สามารถเข้าใจได้ ความกังวลของพวกเจ้า ข้ากับท่านจวิ้นอ๋องจวิ้นจู่ต่างก็รู้ดี ตรงนี้ทุกคนวางใจได้ พวกเจ้าอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ได้รับเงินเดือนสวัสดิการเช่นไร อยู่ที่จวนผิงจวิ้นอ๋องก็จะได้เงินเดือนสวัสดิการเช่นนั้น มีแต่ได้ไม่มีเสีย ส่วนอนาคตน่ะหรือ คำสาบานข้าไม่พูดแล้ว พวกเราตั้งตารอดูก็แล้วกัน” โอวหยางไน่ยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยแผลเป็นยาวบนใบหน้าขยับ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัว

 

 

ในกองทหารรักษาพระองค์มีคนสมองไวฉลาด ดวงตาเป็นประกายอย่างอดไม่ได้ คนที่ธรรมดาหน่อยก็ถูกคำพูดที่ล่อลวงใจนี้ของโอวหยางไน่พูดจนเลือดร้อนพุ่งพล่าน นี่ทำให้เสิ่นเวยที่แอบมองอยู่อดตกใจไม่ได้ นางคิดว่ามีเพียงอาจารย์ซูกับจางสยงที่มีฝีมือในการทำงานด้านความคิด ไม่คิดว่าโอวหยางไน่ชายกำยำล่ำสันที่ปกติแล้วกลัวดอกพิกุลจะร่วงผู้นี้จะปราดเปรื่องเป็นยอดหัวกะทิ ไม่อาจมองคนที่หน้าตาได้จริงๆ!

 

 

เช้าวันที่สอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นปรากฎตัวอยู่ในพระตำหนักจินหลวน พึมพำในใจ กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กับสหายข้างๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และบุคคลในคำวิจารณ์ก็ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจฟัง ประหนึ่งต้นสนสีเขียวแก่ที่ตั้งตระหง่านต้นหนึ่ง

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ประทับอยู่ข้างบนมองเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างอยู่ในสายตาทั้งหมด หลุบตาลงเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทรงคิดอะไรอยู่

 

 

ตอนที่ขันทีลากเสียงแหลมเปรียวประกาศว่าผิงจวิ้นอ๋องรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร ขุนนางทั้งหมดก็เข้าใจโดยพลัน อ้อ ที่แท้แล้วผิงจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่งผู้นี้ก็เข้าราชสำนักแล้ว เมื่อคิดถึงตำแหน่งของเขา ผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร บนใบหน้าของคนบางคนก็เผยท่าทางคล้ายกำลังครุ่นคิดออกมา ในใจคนบางคนก็คิดด้วยเจตนาร้าย ด้วยสุขภาพร่างกายที่ไม่ทันได้ขยับก็ป่วยจนต้องขึ้นเขาไปรักษาตัวของคนผู้นี้จะกำราบบุตรหลานลูกคุณชายที่มีคนหนุนหลังกลุ่มนั้นได้หรือ แต่ว่านี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา อย่างไรเสียเกิดเรื่องวุ่นวายก็เป็นเพียงเรื่องของเหล่าราชนิกุลและผู้มีคุณูปการสูงส่ง ให้ฝ่าบาทปวดหัวไปคนเดียวก็พอ

 

 

เข้าเดือนหกแล้วชั่วพริบตาก็ถึงวันเกิดของเสิ่นเวยแล้ว นางอายุสิบหกปีเต็ม ตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาต้ายงก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ในสี่ปีนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ชีวิตของนางก็ผ่านไปอย่างเยี่ยมยอด บางครั้งตัวนางเองยังทอดถอนใจ เด็กผู้หญิงที่ผอมแห้งขี้โรคใกล้ตายผู้นั้นตอนที่ทะลุมิติมาแรกๆ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

 

 

เมื่อตื่นขึ้นแล้ว แม่นมมั่วกับหลีฮวาและสาวใช้หลายคนก็ยิ้มแย้มอวยพรให้นาง เถาฮวาเองก็วิ่งเข้ามาเอาของขวัญที่เตรียมไว้ดีแล้วส่งไปถึงมือนางราวกับถวายของล้ำค่าด้วยตัวเอง

 

 

ต่อมา คนรับใช้ทั่วทั้งจวนต่างก็เข้ามากราบไหว้อวยพร ของขวัญของชวีไห่จางสยงและคนอื่นๆ ส่งเข้ามาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าหายาก เสิ่นเวยมองจนดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย

 

 

อย่างเช่นอาจารย์ซูที่ทุ่มเทกายใจมอบภาพเหมือนให้นางหนึ่งภาพ ในม้วนภาพนางสวมชุดสีแดงตัวใหญ่ทั้งร่าง ยืนอยู่ใต้ต้นท้อที่ผลิบาน ดอกท้อทั้งต้นเบ่งบานสวยสด ขับให้รอยยิ้มที่งามวิจิตรของนางให้เด่นชัด

 

 

เสิ่นเวยชอบยิ่งนัก! แต่บนใบหน้าสวีโย่วกลับบิดเบี้ยวเล็กน้อย หากไม่ใช่ว่าเห็นอาจารย์ซูปฏิบัติต่อภรรยาของเขาเช่นบุตรสาวจริงๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าภรรยาเขาจะโกรธเขาก็จะต้องเอาม้วนภาพมาทำลายทิ้งเสีย เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ยังไม่ลืมที่จะกระซิบข้างหูเสิ่นเวย “เจ้าชอบภาพเหมือนเหตุใดถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ข้าเองก็วาดได้!” เขาวาดก็ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ซูเช่นกัน

 

 

เสิ่นเวยแพ้ให้สวีโย่วแล้วจริงๆ คนที่โตเป็นผู้ใหญ่หนึ่งคนยังทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าสวีโย่วรับปากว่าจะพานางออกไปล่องทะเลสาบ นางก็ตัดสินใจว่าจะปลอบขวัญชายใจแคบผู้นี้ให้เป็นอย่างดี

 

 

“ได้สิ รอฤกษ์ไม่สู้เลือกวันนี้ เช่นนั้นก็คืนนี้เลยแล้วกัน” เสิ่นเวยกะพริบตาอย่างทะเล้น กระซิบเสียงเบาข้างหูสวีโย่วหลายประโยค ท่าทางน่าหลงใหลที่หวานเยิ้มทำให้สวีโย่วตัวแข็งอย่างอดไม่ได้

 

 

ส่วนปีศาจน้อยที่จุดไฟตนนั้นก็ไหลออกไปไกลประหนึ่งปลาแล้ว เอียงหน้ายิ้ม “ไปแล้วนะ ไปแล้วนะ!”

 

 

ชั่วขณะอามรมณ์ของสวีโย่วราวกับแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นข้างนอก พริบตาเดียวก็สว่างจ้าขึ้นมา

 

 

ต้นหลิวริมฝั่งพลิ้วไหว บนผิวแม่น้ำมีเรือสำราญหนึ่งลำจอดอยู่ กำลังแล่นเข้ามาเทียบท่าช้าๆ คนที่ยืนอยู่บนหัวเรือคือเจียงเฮยกับเจียงไป๋สองพี่น้อง ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยยังแปลกใจว่าสองคนนี้ไปไหน ที่แท้แล้วก็ถูกสวีโย่วสั่งให้มาที่นี่

 

 

“เชิญจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่ขึ้นเรือขอรับ” เมื่อเรือสำราญจอดสนิท สองพี่น้องเฮยไป๋ก็กระโดดจากเรือขึ้นฝั่ง

 

 

เรือสำราญลำนี้ใหญ่อย่างยิ่ง มองดูแล้วใหญ่ยิ่งกว่าห้องสามห้องเสียอีก ราวกับพระราชวัง หรูหรายิ่งนัก เสิ่นเวยเคยนั่งเรือ แต่เรือสำราญชนิดนี้ยังไม่เคยนั่งมาก่อนจริงๆ สีหน้าท่าทางก็อดตื่นเต้นไม่ได้

 

 

“เรือสำราญลำนี้ราคาคงไม่ธรรมดาสินะ ท่านไปยืมใครมา” เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของสวีโย่วกล่าวถาม

 

 

สวีโย่วถือโอกาสโอบเอวของนาง ออกแรงเล็กน้อยก็กระโดดขึ้นไปบนเรือสำราญ กล่าวด้วยความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง “ยืมใครอะไรกัน นี่เป็นของครอบครัวพวกเรา” ก็แค่เรือสำราญลำเล็กๆ ยังต้องไปยืมใครด้วยหรือ “หรือว่าในสายตาของเวยเวยข้าจนเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่เรือสำราญให้ฮูหยินท่องเที่ยวยังซื้อไม่ได้เชียวหรือ” สวีโย่วน้อยใจอย่างยิ่ง อย่างไรเสียเขาก็เป็นผิงจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก!

 

 

เมื่อเสิ่นเวยได้ยินว่าเรือสำราญลำนี้เป็นของครอบครัวตน ก็ยิ้มแย้มทันที วิ่งอยู่บนเรือสำราญหนึ่งรอบอย่างไม่รีรอ ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุข “ไม่เลว ไม่เลว วันไหนอากาศดีค่อยชวนพี่รองพี่สามกับน้องสาวทั้งหลายในจวนออกมาเที่ยวด้วยกัน จะต้องสนุกมากแน่นอน” หลังจากนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “พี่รองคงจะออกมาไม่ได้แล้ว นางตั้งท้องแฝด ท่านน้าสะใภ้ใหญ่ดูแลเข้มงวดยิ่งนัก”

 

 

สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่เหมือนนกกระจอกร่าเริงหนึ่งตัว มุมปากก็อดยกขึ้นไม่ได้

 

 

คนที่ดีใจเหมือนเสิ่นเวยยังมีสาวใช้ที่ตามอยู่ข้างหลัง พวกนางดูตรงนี้ ดูตรงนั้น แปลกใจเป็นที่สุด มักจะส่งเสียงหัวเราะที่เบิกบานหรือไม่ก็เสียงอุทานออกมาไม่หยุด เถาฮวาน้อยก็ยิ่งดีใจเป็นลิงโลด กลิ้งไปบนดาดฟ้าเรือเสียเลย ราวกับว่าข้างใต้ปูไปด้วยพรมหนาๆ

 

 

หลังประหลาดใจแล้ว สวีโย่วก็จูงมือเสิ่นเวยยืนเคียงคู่กัน เคลิบเคลิ้มไปกับสายลมอ่อนๆ ชื่นชมความงามของสองฝั่ง สบายใจสุดขีดจริงๆ

 

 

เหล่าสาวใช้ต่างก็แบ่งหน้าที่กัน เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องก็ควบคุมความเร็วในการแล่นของเรือสำราญ โอวหยางไน่ก็นำทหารคุ้มกันทั้งหมดกระจายตัวอยู่รอบข้าง