[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 29 ส่งออกเครื่องแก้ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ข้าวของของอวิ๋นเยี่ยมีราคาแพงอย่างที่คิดไว้ กาน้ำอันหนึ่งราคาหนึ่งร้อยเหรียญ แถมถ้วยชาให้อีกหกใบ นี่เป็นราคาพิเศษสำหรับเพื่อนร่วมงานของเขา 

 

 

ตระกูลอวิ๋นต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะพวกขุนนางพวกนั้น ในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ ทนมองดูคนของตระกูลอวิ๋นคลานออกไปขออาหารไม่ได้ แล้วมันก็ยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของขุนนางไม่ใช่เหรอ เมื่อขุนนางพวกนั้นไม่ยอมเสนอราคา มีกลุ่มขุนนางระดับกลางยื่นมืออกมาช่วยตระกูลอวิ๋นด้วยความเมตตา 

 

 

อะไรกัน? ราคาประมูลไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญ? กาน้ำอันหนึ่งก็ต้องห้าหกร้อยเลยเหรอ ภายใต้ความโมโหก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อ ปล่อยให้ตระกูลอวิ๋นหิวโหยต่อไป ข้าเสนอราคากาน้ำหนึ่งร้อยสิบเหรียญกลับถูกไล่ออกมา น่าอับอายที่สุด 

 

 

ชาวเกาลี่วางแผนที่จะเอาเงินทั้งหมดที่หาได้ในฉางอันมาซื้อเครื่องแก้วกลับไป ผ่านไปไม่นาน เงินมากกว่าสองหมื่นเหรียญก็ถูกเปลี่ยนเป็นกล่องสมบัติ ฮุ่ยหยวนหยูลูบจับเครื่องแก้วทุกชิ้นด้วยความหลงใหล ราวกับการลูบไล้ขาของคนรัก จมปลักอยู่กับสิ่งของพวกนั้น ท่าทางของเขาเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับหลายๆ คน แต่ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร พวกเขาเองก็หวังว่าสักวันตัวเองจะมีสิทธิ์ทำให้คนอื่นรังเกียจเช่นนี้ 

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยกำลังประมูลสินค้าล็อตที่สามสิบ ซึ่งเป็นเครื่องแก้วชิ้นที่ยี่สิบอยู่นั้น หยุนซานก็วิ่งขึ้นมาจากหลังเวที กระซิบหูของอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอวิ๋น กลุ่มผู้ค้าของเราเดินทางไปถึงเหลียวเหอแล้ว เจ้าของร้านหลินบอกว่าเครื่องแก้วหกสิบเอ็ดชิ้นอันที่เอาไปไม่ได้รับความเสียหายสักชิ้น แม่ทัพตู้จะเตรียมเรือขนของให้เรา พรุ่งนี้สินค้าก็จะถึงเกาลี่ แล้วเครื่องแก้วดอกโบตั๋นที่เอาให้แม่ทัพตู้ เขาชอบมากขอรับ” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าบอกว่ารู้แล้ว เครื่องแก้วหกสิบชิ้นก็เพียงพอที่จะครอบครองตลาดของเกาลี่ ซินหลัว และไป่จี้ได้แล้ว เจ้าของร้านหลินเดินทางไปมาเหลียวตงตลอดหลายปี เขาคุ้นเคยกับเกาลี่ ซินหลัว ไป่จี้เป็นอย่างมาก ครั้งนี้เมื่อสองเดือนก่อนเขาได้นำกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่ไปที่เหลียวตงเรียบร้อยแล้ว 

 

 

อวิ๋นเยี่ยบอกว่าต้องเอาโสมเกาลี่กลับมาเท่านั้น อย่างอื่นเขาไม่ต้องการ เขาจะซื้อเสบียงจำนวนมาก มีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ทั้งหมดเอาให้กับกองทัพชายแดน ถ้ามีเสบียงเหลืออยู่ก็เอาไปหมักให้เป็นเหล้าแล้วขายให้ชนเผ่าซู้โม่ ในการแลกเปลี่ยนม้าศึกและขนสัตว์ นี่เป็นธุรกิจระยะยาว ถ้าสามารถสร้างการค้าที่มั่นคงได้จะเป็นเรื่องดีที่สุด พยายามบริโภคเสบียงของเกาลี่ให้ได้นานๆ คนหมักเหล้าได้ติดตามพวกเขาไปมากกว่าสิบคน ขอแค่ยังมีเหล้าขาย ก็จะบริโภคเสบียงของเกาลี่ได้จำนวนมาก 

 

 

สำหรับเสบียงของพวกทหาร ต้องมีพวกทหารข้าศึกจัดสรรเงินให้กับตระกูลอวิ๋นอยู่แล้ว ตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ฉางอันก็สามารถมารับเงินจากเหลียวตงได้ ทหารข้าศึกก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางหลายพันลี้เพื่อขนเสบียงไปยังกองทัพชายแดน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว 

 

 

อวิ๋นเยี่ยหันไปมองฮุ่ยหยวนหยู ไม่รู้ว่าเขาเอาเงินทั้งหมดมาซื้อเครื่องแก้ว หลังจากกลับไปแล้วราคาตก เขาจะบอกกับหลงหลิวอ๋องอย่างไร หรือเขาต้องบอกกับเฉวียนไก้ซูเหวิน? 

 

 

ในที่สุดตระกูลอวิ๋นก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน เครื่องแก้วแปดสิบชิ้นถูกขายจนหมด ทำให้ตระกูลอวิ๋นเหลือเพียงเครื่องแก้วที่เป็นรูปหมาป่าขนาดใหญ่อยู่เจ็ดแปดชิ้น แล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว 

 

 

แดนเติร์กตะวันตกกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีของพวกจักรพรรดิ ทุกชนเผ่าต่างก็พูดว่าตัวเองเป็นบุตรของพระเจ้าหมาป่า เอาแต่ตำหนิฝ่ายตรงข้ามว่ามีเลือดที่เหมือนตะกอน ไม่ใช่บุตรที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าหมาป่า แต่แค่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง ทำได้แค่ต่อสู้กันด้วยวาจา อวิ๋นเยี่ยเกาหน้าผากและคิดอยู่ตลอดว่า ถ้าส่งเครื่องแก้วหมาป่าไปให้พวกเขาแต่ละชนเผ่า พวกเขาจะทำสงครามกันขึ้นมาไหม บางทีอาจจะมีวีรบุรุษที่อยากจะรวบรวมหมาป่าเจ็ดแปดตัวนี้โผล่ขึ้นมาสักสองสามคน เหมือนกับที่จักรพรรดิหวงรวบรวมแผ่นดิน 

 

 

ถ้าเป็นแบบนี้ สงครามก็คงจะไม่น้อย ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด คงไม่มีอารมณ์ไปสนใจคนนอกอย่างพวกเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน เกาลี่ และแดนซิวซือ 

 

 

หวงปี้ขุนนางผู้ดูแลด้านพิธีกรรมได้ใช้เงินหกร้อยเหรียญซื้อเครื่องแก้วที่ห้อยที่เอวของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ถือเล่นไม่ยอมปล่อย พอให้เป็นพิธี ก่อนออกเดินทางอวิ๋นเยี่ยเลยหาอะไรมาห้อยแทน หวงปี้ประมูลเครื่องแก้วไม่ได้ก็เลยโมโห เพื่อที่จะทำให้เขาหายโมโหก็เลยต้องเอาของตัวเองขายให้เขาไป ตั๋วเงินอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ย หวงปี้เอาเครื่องแก้วแขวนที่ห้อยอยู่ที่เอวของอวิ๋นเยี่ยออกไปอย่างไม่เกรงใจ อย่างไรตอนนี้มันกลายเป็นของเขาแล้ว  

 

 

พอเอาพระสารีบุตรออกมา จิวหมัวซือก็หยิบเอามากอดร้องไห้ เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะพระภิกษุสงฆ์ที่ตายไป แต่เขาร้องไห้เพราะแม้แต่พระสารีบุตรยังถูกเอาออกมาขาย นี่มันคือการดูหมิ่นศาสนา ไม่ว่าจะเป็นใคร ในฐานะพุทธศาสนิกชนก็ไม่ยินยอมให้ดูหมิ่นศาสนาเช่นนี้ 

 

 

มีอภินิหารจนกลายเป็นพระสารีบุตรห้าสีได้ ถ้าบอกว่าไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ที่มีคุณธรรม ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เขามีเพียงแปดพันเหรียญ แต่อย่างไรเขาก็จะเอาพระสารีบุตรห้าองค์ ถ้าไม่ให้ เขาก็พร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิตายอยู่บนเวที ทำให้งานประมูลเสียบรรยากาศ ไม่มีใครกล้าเสนอราคา และก็ไม่มีใครอยากฆ่าพระภิกษุสงฆ์ให้ตาย 

 

 

วิธีของเขาประสบความสำเร็จ เขาถือพระสารีบุตรแล้วก็เดินออกไปจากงานประมูล เหลือไว้เพียงเงินที่จะต้องจ่าย 

 

 

หลี่จิ้งกับธิดาแส้แดงรอตั้งนานกว่าจะถึงตอนนี้ สามีภรรยาคู่นี้ไม่สนใจเครื่องแก้ว ไม่สนใจสมบัติ สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้คือหนังหมีขาวในตำนาน พวกเขาอยากจะสอบถามอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับที่มาของข้าวของจำพวกนี้ 

 

 

เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้มีส่วนร่วมในการออกแบบให้อวิ๋นเยี่ย แต่ถูกคนอื่นจับได้ ทำให้ไม่กล้าถามคำถามเขาโดยตรง ได้ยินมาว่าเขามีเพื่อนที่พึ่งกลับมาจากไป๋อวี้จิง ไม่รู้ว่าได้เจอกับน้องชายคนที่สามของตัวเองหรือเปล่า นี่คือโรคทางใจของเขา ฝังอยู่ในใจมานานถึงยี่สิบปี มันกำลังจะทำให้พวกเขาเป็นบ้า 

 

 

มองดูหนังหมีที่ห้อยอยู่ข้างบน เมื่อต้องแสงไฟก็เห็นเป็นสีขาวราวกับหิมะ แต่ในที่มืดกลับเป็นสีดำราวกับหมึก เป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ถ้าไม่ใช่สิ่งของที่หายาก คงจะไม่ใช่หนังหมีที่งดงามเช่นนี้ 

 

 

“ทุกท่านคงเคยได้ยินมาว่าบนโลกใบนี้มีสถานที่ที่เราไม่รู้อยู่ตั้งมากมาย หนังหมีผืนนี้มาจากที่ที่มีกลางคืนครึ่งปี และมีกลางวันครึ่งปี โปรดเชื่อเถอะ นี่ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แต่มันคือเรื่องจริง สวมใส่หนังหมีผืนนี้ ไม่ว่าอากาศจะหนาวเพียงใด ท่านก็จะรู้สึกเหมือนสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ไม่พูดอะไรมากแล้ว ถ้าอยากได้ก็เสนอราคามาได้เลย ของทุกชิ้นที่เอามาในวันนี้ล้วนแต่จะเอาออกมาขาย พวกท่านสามารถเยี่ยมชมกันได้” 

 

 

พูดเสร็จก็กระโดดลงจากเวที ไปนั่งพักอยู่ข้างๆ เฉิงเหย่าจิน คืนนี้เหนื่อยจริงๆ 

 

 

“เจ้าแน่ใจเหรอไม่ ว่าของพวกนี้เป็นของจริง เขาไม่ได้หลอกเจ้า?” เหล่าเฉิงถามอวิ๋นเยี่ย 

 

 

“ท่านลุงเฉิงไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาแน่นอน หนังแบบนี้มีอยู่ที่เดียว หลอกไม่ได้ ถ้าท่านอยากได้ก็รอปีหน้า หลานชายอย่างข้าจะทำให้ท่านสักผืน ถึงตอนนั้นออกไปรบที่ไหนก็เอาไปเป็นผ้าห่มได้ จะหนาวแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว จะได้ไม่ต้องหนาวขาอีก ลมฝนอะไรก็ไม่ต้องกลัว ข้าจะทำให้ท่าน ท่านลุงหนิว และท่านลุงฉินด้วย” 

 

 

เหล่าหนิวยื่นหน้าเข้ามาและชี้ไปที่พวกขุนนางที่กำลังประมูลหนังหมีอยู่บนเวที “อยากจะเอาเปรียบกันทั้งนั้น ไม่สนศักดิ์ศรีแล้ว เดี๋ยวเจ้าเอาบ้านของข้าที่อยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟางไปขายซะ ข้าไม่เอาแล้ว หาเงินให้ได้เยอะๆ ดีกว่า ครอบครัวของข้าอยู่กันอย่างเรียบงาย คนแค่สามคนจะเอาบ้านพวกนั้นมาทำอะไร” 

 

 

“ท่านลุงหนิว ต่อไปก็จะไม่ใช่แค่สามคนแล้ว ไม่แน่อาจจะเพิ่มเป็นห้าคน สองสามวันก่อนท่านซุนบอกให้พาฮูหยินไปหาเขา เขาคิดว่าในท้องของพี่สะใภ้มีเด็กอยู่สองคน เขาอยากจะพิสูจน์สักหน่อย” 

 

 

“จริงเหรอ” เหล่าหนิวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แม้แต่เก้าอี้ก็ล้มลงด้วย ไม่สนใจบ้าน สนใจหนังหมีอะไรทั้งนั้น รีบหันหลังกลับไปที่บ้านของตัวเอง สำหรับเขาแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของลูกชาย 

 

 

พวกขุนนางชั้นสูงดูเหมือนจะสง่างามมากกว่าคนอื่นๆ สมบัติพวกนี้ไม่เหมาะกับพวกขุนนางชั้นต่ำและพวกพ่อค้า แต่ละคนเอาแต่ดู เอาแต่เป่าลม เอาแต่คำนวณพื้นที่ สรุปก็คือเอาแต่ทำการทดสอบต่างๆ 

 

 

“หากทุกท่านไม่ขัดข้องอะไร หนังหมีผืนนี้ก็ตกเป็นของท่านผู้เฒ่าในราคาแปดพันเหรียญ ไม่ทราบว่าท่านใดยังจะเสนอราคาอีกหรือไม่” คืนนี้จั่งซุนอู๋จี้นั่งเงียบตลอดทั้งคืน เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ออกว่าอะไรผิดปกติ คืนนี้กลิ่นอายของพ่อค้ารุนแรงมาก ล้วนแต่พูดถึงเรื่องเงิน ตัวเองมองไม่อะไร ก็เลยต้องนิ่งเงียบ นี่คือวิธีการป้องกันตนของเขา คนอื่นเห็นเครื่องแก้วก็เหมือนกับเห็นสมบัติ แต่จั่งซุนอู๋จี้เห็นอวิ๋นเยี่ยพยายามขายเครื่องแก้วให้พวกเกาลี่ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยดี เขาห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว 

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม อยู่ในสังคมแบบนี้ พวกเขาจะเป็นอิสระได้อย่างไร หากคืนนี้เขาไม่ซื้ออะไรเลย ต่อไปคนอื่นอาจจะว่าเขาได้ เขาก็เลยต้องทำตัวเอง หลังจากเห็นเครื่องหนังนี้ เขาก็เชื่อว่าเครื่องหนังนี้คุ้มค่าคุ้มราคา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของปลอม ก็เลยยอมเสนอราคาสูง 

 

 

จั่งซุนอู๋จี้ซื้อหนังผืนแรกไปแล้ว คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นก็พับหนังหมีใส่ถุงผ้าที่สวยงาม ยื่นให้จั่งซุนอู๋จี้ 

 

 

ผืนแรกขายออกไปแล้ว ตู้หรูฮุ่ยกลัวคนอื่นจะว่าเอา เลยซื้อผืนที่สองไปในราคาแปดพันเหรียญเหมือนกัน สำหรับผืนที่สาม ยังไม่ทันได้หยิบขึ้นมาก็ถูกเฉิงเหย่าจินเอาไปแล้ว แถมยังตะโกนอย่างหยิ่งยโสว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเสนอราคาเท่าไหร่ ข้าก็จะเสนอมากกว่าพวกเจ้าหนึ่งร้อยเหรียญ” 

 

 

หลี่ซื่อหมินพักผ่อนอิ่มแล้ว ก็ลุกขึ้นมาดูโรงละครที่กำลังเงียบสงบลง หาวและพูดกับจั่งซุนว่า “อวิ๋นเยี่ยทำเงินไปได้เท่าไหร่แล้ว ถ้ายังไม่ถึงล้านเหรียญก็คงจะผิดต่อความพยายามของเขา” 

 

 

“หม่อมฉันนับดูแล้วน่าจะถึงล้านเหรียญแล้วเพคะ มันคือสามส่วนของภาษีประจำปีของต้าถัง ตอนนี้หม่อมฉันสงสัยว่าเขาสามารถเปลี่ยนดินให้กลายเป็นทองคำได้ ก็ถือว่าเขามีความสามารถ แต่เขาขายหมาป่าพวกนั้นให้ชาวเซวียเหยียนถัวกับชาวถู่อวี้หุนมันจะไม่เป็นปัญหาเหรอเพคะ” 

 

 

“เจ้าไปบอกเขาว่า ก่อนที่เราจะกลับพระราชวัง ถ้าเรายังไม่เห็นหมาป่าที่มีสภาพสมบูรณ์แบบอย่างน้อยสองตัว เราจะถลกหนังเขา เอาเงินสามพันเหรียญซื้อยาขวดนั้นเสร็จ พวกเราก็จะกลับพระราชวัง ดึกแล้ว เราเหนื่อยแล้ว” 

 

 

องค์หญิงตัวน้อยนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้ว แต่ก็ยังคงถือขวดนมไว้ไม่ปล่อย หลี่ซื่อหมินมองไปที่ลูกสาวของตนเอง จับที่แก้มของนางแล้วก็ดื่มเหล้าองุ่นด้วยความพอใจ รอให้อวิ๋นเยี่ยส่งหมาป่าตัวอื่นๆ มาให้เขา เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีทางออก 

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ขันทีสองสามคนยกกล่องขึ้นมาสองกล่อง หลี่ซื่อหมินเปิดออกเห็นเครื่องแก้วหมาป่าแปดตัวที่แกะสลักอย่างประณีต ทั้งร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยอัญมณีหลากสี และก็ตัวใหญ่กว่าของพวกชาวเซวียเหยียนถัวกับชาวถู่อวี้หุน 

 

 

“ฮองเฮา เจ้าดูสิ ไอ้หมอนี่ร้ายจริงๆ เขาอยากจะให้ชนเผ่าอาซือน่าวุ่นวายไปตลอดเหรอ”