หลิน ชูจิ่ว สงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ เธอดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของฮองเฮา อย่างไรก็ตามมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าหลังของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ
คำพูดของฮองเฮาเยือกเย็นและเต็มไปเจตนาที่มุ่งร้าย
เมื่อรถม้าออกมาจากประตูวัง หลิน ชูจิ่วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้ใจเธอสงบลง“พระสนมโจวพูดถูก ข้าควรจะหลีกเลี่ยงวังหลวงให้มากที่สุด “
ถ้าเธอเชื่อไม่ฟังระบบการแพทย์และเข้าไปในวัง เธออาจจะไม่ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้เช่นนี้
ในทางกลับมีเพียงหลิน ชูจิ่วเท่านั้นที่อยู่ในรถม้า แต่เธอก็ไม่ต้องการนอน เธอเอาแต่คิดถึงคำพูดของฮองเฮา
หลิน ชูจิ่ว รู้ว่าในที่สุดฮองเฮาก็เลิกปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนของนาง ในความคิดของฮองเอาในตอนนี้ เธอได้ทรยศต่อนางเมื่อเธอได้รักษาโรคขององค์ชายสาม ความไม่พอใจของฮองเอาจึงเป็นเรื่องปกติ แต่……
คำเตือนของฮองเฮาในวันนี้เฉียดคมเกินไปและตรงไปตรงมา มันไม่เหมือนสไตล์ปกติของนาง และมันจะนำอะไรที่ดีมาสู่ฮองเฮา นอกเหนือจากการแสดงความไม่พอใจของนางต่อหน้าเธอ?
ในทำนองเดียวกันมามาชราในเรือนดอกไม้ก็ถามฮองเฮาขึ้น “เหนียงเหนียง มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะแสดงความรังเกียจต่อเสี่ยวหวางเฟยเพคะ”
“เปิ่นกง ไม่ต้องการผลประโยชน์ ด้วยความกดดันจากการเอาชีวิตรอดนี้เสี่ยวหวางเฟยจะพยายามทำตัวให้แข็งแกร่งและแข็งแกร่งขึ้น เปิ่นกงจะรอให้นางเติบโตมากขึ้นกว่านี้” ตอนนี้ขาของเสี่ยวหวางเย่ เป็นปกติแล้ว หลิน ชูจิ่ว ไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย แม้ว่านางจะนำคนเหล่านั้นไปที่ประตูของนาง มันก็ยังจะเป็นเรื่องยากมาก
ตอนนี้ หลิน ชูจิ่วฉลาดพอ นางยังได้ผลักนางให้อยู่ในตำแหน่งที่ส่องประกายตาที่สุด คนเหล่านั้นจะมาหานางอย่างแน่นอน
“เพื่อประโยชน์ของลูกน้อยของข้า เปิ่นกงจะมีชีวิตอยู่อย่างดี” นิ้วของฮองเฮาขยับเบา ๆ แต่ดอกโบตั๋นสีม่วงอีกดอกก็ตกลงไปบนพื้นทันที……
เมื่อหลิน ชูจิ่วกลับมาถึงตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ เสี่ยวเทียนเหยา ยังไม่กลับมา แต่สำหรับที่อยู่ของเขา?
พ่อบ้านเฮ้าก็ไม่ได้พูดถึงมัน เพราะเธอไม่ได้ถาม หลิน ชูจิ่ว รู้ว่าเธอไม่ใช่เจ้านายของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะถามเกี่ยวกับกิจกรรมของเสี่ยวเทียนเหยา
หลิน ชูจิ่วกลับไปที่ห้องของเธอและยังนึกถึงคำพูดของฮองเฮา เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงคิดเรื่องนี้อยู่ ทำไมฮองเฮาจึงเลือกวิธีที่น่ารังเกียจเพื่อที่จะเตือนเธอ
หลิน ชูจิ่ว มีความกังวลอยู่ในใจของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ถามเกี่ยวกับเสี่ยวเทียนเหยา จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นและไม่พบร่องรอยของเสี่ยวเทียนเหยา นอนอยู่ข้างๆ เธอ หลิน ชูจิ่ว ถึงถามขึ้นอย่างสงสัย“ หวางเย่ไม่ได้กลับมาเมื่อคืนนี้หรือ?”
เมื่อฉิวฉี ได้ยินคำถามของหลิน ชูจิ่ว เกี่ยวกับหวางเย่ ของพวกเขาดวงตาของนางก็เปล่งประกายสดใสและพูดขึ้น “เรียนหวางเฟย หวางเย่ไม่ได้กลับมาเมื่อคืนนี้ แต่คุณชายซูฉามาที่นี่เมื่อคืนนี้และบอกว่าหวางเย่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ หวางเฟย ไม่ควรกังวลเพราะหวางเย่ จะกลับมาในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“ ……” เธอกังวลเรื่องของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้อธิบายตัวเอง การอธิบายนั้นไร้ประโยชน์อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดเธอแทน
เนื่องจากเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้อยู่ในตำหนัก หลิน ชูจิ่วจึงค่อนข้างมีอิสระ เสี่ยวเทียนเหยาได้บอกกับคนอื่นก่อนแล้วว่าเธอมีอิสระที่จะออกจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ได้ ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงไม่ได้สนใจอะไร เธอตามหาพ่อบ้านเฮ้าและบอกเขาว่าเธอต้องการที่จะออกไปเดินเล่น
“หวางเฟย …” การแสดงออกทางสีหน้าของพ่อบ้านเฮ้า ยากมากที่จะบอกได้
หวางเย่ของพวกเขาไม่ได้อยู่ในตำหนัก ดังนั้นทำไมหวางเฟย ถึงเลือกที่จะออกไปเดินเล่นในตอนนี้? หวางเฟยของพวกเขาต้องการเห็นเขาถูกตำหนิโดยหวางเย่อย่างนั้นหรือ?
“อะไรหรือ? หรือข้าไม่สามารถไปได้ “หลิน ชูจิ่ว ถามขึ้น เสียงของเธอไม่ดังมาก แต่พ่อบ้านเฮ้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เขามักจะรู้สึกว่าถ้าเขาปฏิเสธคำขอของ หลิน ชูจิ่ว เขาจะโชคร้าย
ไม่ใช่…… หวางเย่ จะโชคร้าย!
พ่อบ้านเฮ้า ไม่ต้องการให้นางไป แต่เขาก็ยังพูดขึ้น“หวางเฟย ท่านสามารถไปได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่……”
“อะไร?” ตราบใดที่เธอได้ออกไปข้างนอก เธอก็สามารถประนีประนอมได้
หากเธอไม่สามารถกินมันได้ทั้งหมดได้ในครั้งเดียว เธอก็สามารถกินได้ช้าๆ แล้ววันหนึ่งเธอก็จะมีอิสระอย่างแน่นอน