ตอนที่ 329 ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปลื้มปิติ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าก้นของตนเองใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว

 

 

จีเฉวียนทรงหยุดคิดเล็กน้อย ก็ส่ายพระเศียรติดๆ กัน “ไม่ได้ เรากลัวว่าหากไม่กอดเจ้าเอาไว้แน่นๆ แล้วเจ้าตกลงไป เราก็ต้องปวดใจแล้ว”

 

 

ถ้าอย่างนั้นพระองค์อย่าได้เอาแต่จับก้นของหม่อมฉันเอาไว้ตลอดเวลาได้ไหม!

 

 

ตู๋กูซิงหลันชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าในใจกลับด่ากราดนับครั้งไม่ถ้วน

 

 

ยามนี้ไม่อาจเอาร้องเท้าตบหน้าเขาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก

 

 

ท่าทางที่กระซิบกระซาบกันไปมาอยู่สองคน ในสายตาของผู้อื่นดูแล้วเหมือนกับว่าทั้งสองกำลังพลอดรัก

 

 

ทำเอาอยู่อยู่พวกเขาก็รู้สึกเก้อเขินและกระดากอายขึ้นมา จนไม่รู้ว่าต่อไปสมควรจะทำเช่นไรดี

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว จีเฉวียนแสดงออกเช่นนี้แสดงว่ากำลังลบหลู่เขาอยู่ชัดๆ

 

 

ทั้งๆ ที่แต่งตั้งเซิงเซิงเป็นกุ้ยเฟยแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวผู้หนึ่งต่อหน้าธารกำนัล นี่เท่ากับว่ากำลังฉีกหน้าเขาอย่างชัดเจน

 

 

จริงอยู่ที่เขาจะโปรดปรานผู้ใดก็เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าไม่อาจกระทำอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าต่อตาผู้อื่นเช่นนี้

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องควงธนูคันใหญ่ขึ้นมา ส่งสายตาเคียดแค้นไปยังจีเฉวียน

 

 

“ฮึ โลกนี้ช่างน่าหัวเราะนัก ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นผู้หนึ่งกลับร่วมมือกับปีศาจ แล้วยังกล้ากระทำอย่างไร้กาลเทศะ ปล่อยให้สตรีที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าออกมากล่าววาจากำแหงได้เช่นนี้หรือ?”

 

 

เหล่าทหารที่ติดตามเขาต่างก็ไม่พอใจเช่นกัน หากว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงออกคำสั่งให้ใช้ดาบเข้าประหัตประหารพวกเขาขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจยังไม่รู้สึกคับแค้นเช่นนี้

 

 

แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้พระองค์กลับโอบสตรีเอาไว้ในอ้อมอก กระหนุงกระหนิงกันแต่เพียงสองคน ทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับไม่ได้

 

 

ต่อให้พระองค์ไม่ได้ร่วมมือกับปีศาจ แต่โปรดปรานสตรีผู้หนึ่งจนออกนอกหน้าเกินไป พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าฮ่องเต้ผู้นี้วางพระองค์ไม่เหมาะสมแล้ว

 

 

จีเฉวียนกวาดพระเนตรออกไปราวกับคมดาบ

 

 

“เราพอใจจะโปรดปราน เจ้ามีปัญหา?”

 

 

ตรัสเพียงแค่ประโยคเดียว ก็อุดปากเหลียงจวิ้นอ๋องเอาไว้จนพูดอะไรไม่ออก

 

 

ได้เห็นท่าทางที่ฮึกเหิมลำพองของฮ่องเต้ ทำให้เขาอยู่อยู่ก็คิดไปถึงปฐมฮ่องเต้ขึ้นมา

 

 

ตอนนั้นพระองค์ใช้วิธีบังคับจัดการ…..กับองค์หญิงเย่ว

 

 

แข็งขืนครอบครองนาง……โดยมิได้สนอกสนใจการต่อต้านและขัดขืนขององค์หญิงเย่ว

 

 

ยังดีที่ ภายหลังองค์หญิงมิได้ทรงเลือกพระองค์

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไป ว่ากันว่าจีเฉวียนทรงเป็นฮ่องเต้เลือดเย็นที่ปราศจากความรู้สึก แต่ที่เห็นในตอนนี้กลับเป็นคนงมงายในความรักที่ยากจะพบพานได้ในร้อยปี

 

 

จีเฉวียนตรัสแล้ว ก็ยิ่งกระทำให้เห็นมากกว่าเดิม

 

 

พระองค์ประทับจูบลงบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน “ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปลื้มปิติ”

 

 

ฟันของวิญญาณทมิฬแทบจะหลุดร่วงออกมาแล้ว

 

 

หากจะแปลออกมาก็คือ ‘ข้าชอบเจ้า ต่อให้เจ้าพลิกฟ้าคว่ำดินจนถล่มทลาย เราก็จะรับทั้งหมดไว้แทนเจ้าเอง!’

 

 

สวรรค์ทรงโปรด! เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้ช่างปากหวานจริงๆ

 

 

ประโยคนี้พูดได้น่าฟังนัก

 

 

ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ซื่อมั่วเองก็ปฏิบัติต่อตู๋กูซิงหลันเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

เขาคนเดียวเลี้ยงดูนางที่เป็นเด็กหญิงกำพร้าจนกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรต ปูหนทางที่ยิ่งใหญ่ให้กับนาง ที่นางสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามอำเภอใจ ล้วนเป็นเพราะว่ามีซื่อมั่วค่อยหนุนหลังอยู่เสมอ

 

 

เพียงแต่ซื่อมั่วไม่เคยเอ่ยออกมา เขาเอาแต่กระทำอย่างเดียว

 

 

ใครที่เป็นปรปักษ์กับนาง เคยทำนางบาดเจ็บ หรือคิดทำร้ายนาง แต่ละคนล้วนต้องจบสิ้นดับอนาถไปทั้งนั้น

 

 

จีเฉวียนรับสั่งออกมาเพียงประโยคเดียว ก็ทำเอาคนทั้งหลายพูดอะไรไม่ออก

 

 

นี่มันไม่ใช่ขอบเขตของความรักใคร่ทะนุถนอมแล้ว ดูจากท่าทางของฮ่องเต้แล้ว ต้องเรียกว่าแทบจะเป็นอยากจะตีเอาแผ่นดินทั้งหมดมากองเอาไว้ให้นางต่างหาก

 

 

สตรีที่อยู่ในอ้อมพระพาหา คงไม่ใช่นางปีศาจจากที่ใดกระมัง?

 

 

มิเช่นนั้นจะสามารถทำให้ฮ่องเต้ต้าโจวหลงใหลจนเสียวิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องยิ่งโกรธากว่าเดิม จีเฉวียนช่วยมีสติหน่อยได้หรือไม่ นี่เขากำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อก่อกบฏอยู่นะ?

 

 

ช่วยให้ความเคารพที่เขาสมควรจะได้รับสักหน่อย!

 

 

ต่อให้สับเขาเป็นสองท่อนก็ยังดี

 

 

แต่ต้องไม่ใช่การมานั่งพรรณนาความรักของตนให้นางมารในตอนนี้

 

 

นี่มันเท่ากับว่าพระองค์ไม่เห็นหัวเขาเลย!

 

 

พอเขาอ้าปากจะเอ่ยขึ้นมา ก็เห็นปากแดงๆ ของนางมารที่นั่งอยู่ในอ้อมอกฮ่องเต้ขยับยก นางหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานอยู่ในเมืองกู่เย่ว ได้ไปเห็นถ้ำมากมาย ข้างในนั้นมีหอก ดาบ ง้าว ขวานสะท้อนแสงเป็นมันวาววับอยู่เต็มไปหมด สหายเสี่ยวเหลียงผู้นั้นคิดจะก่อกบฏมานานแล้ว กลับมายกอ้างเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายพระองค์”

 

 

เรื่องนี้แม้แต่ในจวนของเหลียงจวิ้นอ๋องเองก็ไม่ใช่ความลับอะไร ขนาดชาวบ้านทั่วๆ ไปก็ยังรู้ ตอนนี้เมืองกู่เย่วถูกใช้เป็นสถานที่สำคัญในการจัดสร้างอาวุธ เพราะใต้ดินอุดมไปด้วยแร่เหล็ก จึงถือเป็นคลังยุทโธปกรณ์ของแคว้นต้าโจว

 

 

ดังนั้นการที่สาวน้อยผู้นั้นจะพบเห็นอาวุธตามถ้ำต่างๆ ในภูเขาจึงมิใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 

“คนโบราณว่าไว้คัดเลือกแม่ทัพพึงต้องมีชื่อเสียงที่ดีเป็นสำคัญ พระองค์ทอดพระเนตรดูคนนิสัยไม่ดีผู้นี้ คิดจะกบฏก็กบฏไปสิ แต่กลับมาลากพระองค์ไปเป็นภูติผีปีศาจอันใด”

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องถูกนางจิกกัดจนโกรธแทบบ้าตายแล้ว นางมารที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดผู้นั้น มิว่าเรื่องอะไรก็กล่าวออกมาได้ทั้งสิ้น!

 

 

ถึงแม้ว่าเรื่องที่นางพูดจะเป็นความจริงก็ตามเถอะ

 

 

อาวุธที่สะสมเอาไว้ในถ้ำบนภูเขา คืนนี้สามารถนำมาใช้ได้พอดี จีเฉวียนมีองครักษ์ลับแล้วจะอย่างไร หากกองทัพในเมืองกู่เย่วทั้งหมดรวมตัวกันขึ้นมาก็ต้องมีกำลังพลสองถึงสามหมื่นเข้าไปแล้ว องครักษ์ลับเพียงเท่านี้ยังจะสามารถต้านทานกองทหารนับหมื่นได้อีกหรือ?

 

 

เมื่อครู่เขาได้แอบให้คนส่งข่าวไปหาแม่ทัพตู๋กูจุนแล้ว เพื่อเห็นแก่องค์หญิงเย่ว ตู๋กูจุนย่อมต้องไม่สร้างความกดดันให้กับเมืองกู่เย่วอย่างแน่นนอน

 

 

เช่นนี้….พวกเขาย่อมพอจะสกัดกั้นองครักษ์รักษาพระองค์เอาไว้ได้

 

 

ดังนั้น คืนนี้จีเฉวียนจะต้องตายอย่างแน่นอน

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องโบกมือขึ้นมา คำสั่งก็ถูกถ่ายทอดออกไป ทันใดนั้นเองกองทัพของเมืองกู่เย่วก็รายล้อมเข้ามาอย่างแน่นขนัด

 

 

ข้อเสียของการแบ่งแยกการปกครองด้วยระบบศักดินานี้ก็คือ กองทัพในแต่ละท้องที่รู้จักแต่ตราคำสั่งในกองทัพ ไม่รู้จักตัวบุคคล

 

 

โดยเฉพาะยามนี้เป็นเวลากลางคืน กองทัพเหล่านี้พอมาถึงก็สั่นสะเทือนจนพื้นถนนมีฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

 

ตอนนี้ขนาดยังมาเพียงแค่สองค่ายเท่านั้น กองทัพรายล้อมจวนจวิ้นอ๋องเอาไว้ทุกด้าน

 

 

องครักษ์ลับของจีเฉวียนมิได้เคลื่อนไหว ในเมื่อฝ่าบาทยังมิได้มีคำสั่งก็ไม่มีใครในพวกเขาที่ขยับเขยื้อนแม้แต่ผู้เดียว

 

 

รอจนกองทหารจากค่ายที่สามมาถึง สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องก็ต้องพลันเปลี่ยนไป

 

 

พวกเขามากันมือเปล่า!

 

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องกลายเป็นสีเขียว กองทัพที่ไม่มีอาวุธ จะแตกต่างอันใดกับเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ?

 

 

“ย่าห์!” ตู๋กูซิงหลันขยับริมฝีปากด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทเพคะ เกือบจะลืมไปแล้ว หม่อมฉันชื่นชอบอะไรที่วิบๆ วับๆ ที่สุดแล้ว ก็เลยกวาดเอาอาวุธพวกนั้นมาหมดแล้วเพคะ”

 

 

เพียงแค่ประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหลียงจวิ้นอ๋องจนสติหลุดไปแล้ว

 

 

นางรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรออกมา?

 

 

อาวุธเหล่านั้นฉวยขึ้นมาสักเล่มหนึ่งก็หนักนับสิบชั่งแล้ว นางที่เป็นเพียงสาวน้อยนางนึงสามารถยกขึ้นมาได้สักเล่มหนึ่งก็ต้องถือว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะสามารถเก็บไปจนหมดสิ้นได้กัน?

 

 

สีหน้าของชือหลีที่แอบดูงิ้วอยูในมุมมืดนั้น…..จะเก็บกวาดสิ่งของเหล่านั้นไม่เห็นเป็นเรื่องยากอะไรเลย

 

 

ในเมื่อนางเป็นถึงเทพธิดา ย่อมต้องมีพื้นที่ในมิติลับของตนเอง

 

 

ก็เหมือนกับถุงเฉียนคุนที่เอาไว้จับคนโดยเฉพาะ

 

 

ล้วนสามารถบรรจุสิ่งของทั่วไปเข้าไปได้อย่างไม่จำกัด

 

 

อาวุธเหล่านั้น ล้วนถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าของนาง หากตู๋กูซิงหลันต้องการก็สามารถหยิบออกมาได้ทุกเมื่อ

 

 

ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองกู่เย่ว ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่ได้เอาแต่ท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่

 

 

ยายเด็กนั่นแต่ละรอบเป็นต้องโกยอาวุธออกไปมากมาย

 

 

คิดจะยึดอาวุธพวกนั้นไปเก็บไว้ไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือการค้นหาตำแหน่งที่ซ่อนของอาวุธเหล่านั้น

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือน ถึงได้ค้นพบสถานที่จัดเก็บอาวุธในภูเขาทั้งหมด

 

 

แถมเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ถึงพึ่งได้เอาไปเก็บไว้ในช่องว่างในมิติของตน

 

 

จากนั้นก็ร่ายเวทย์อำพรางสายตาเอาไว้ เพื่อปิดบังเรื่องที่อาวุธถูกสับเปลี่ยนออกไปจนหมด

 

 

สตรีผู้นี้….ช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริงๆ อุตส่าห์ทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้

 

 

แล้วยังจะมาพูดว่าไม่ได้ชอบจีเฉวียนอีกหรือ?

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “นังจิ้งจอกที่ทำร้ายผู้คน”