บทที่ 422.3 จอมยุทธน้อยพบเจอจอมยุทธใหญ่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เรือหอเรือนสองชั้นที่ประดับประดาอย่างหรูหรางดงามลำหนึ่งขับเคลื่อนจากแม่น้ำป๋ายกู่ที่กระแสน้ำโหมซัดสาดเขาสู่ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่ผิวน้ำราบเรียบ

บนหัวเรือมีสตรีสวมชุดชาววังหน้าตางามพิลาสแต่เยือกเย็นคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายยังมีสาวใช้ประจำตัวอีกคนและบุรุษอีกสามคนที่ต่างวัย และหน้าตาก็แตกต่างกันมาก

ผู้เฒ่าคนหนึ่งยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ฮูหยิน พวกเราเดินทางมาเยี่ยมเยือนจวนจื่อหยางคราวนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นที่ต้อนรับ”

ผู้เฒ่ากับคนอีกสองคนต่างก็เป็นแขกในจวนของฮูหยินท่านนี้ ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันมานานมากแล้ว อีกทั้งนิสัยใจคอก็เข้ากันได้ดี หากจะพูดถึงความสัมพันธ์ของวิญญูชนที่จืดชืดดั่งน้ำเปล่า ก็คือการจับมือเป็นพันธมิตรช่วยกันกำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นเมื่อได้รับรายงานข่าวลับจากฮูหยิน พวกเขาจึงพากันไปไล่จับปีศาจจิ้งจอกที่ก่อความวุ่นวายมานับร้อยปีตนนั้นอยู่ในเทือกเขาสันตะขาบ ส่วนความสัมพันธ์อย่างคนถ่อยที่หวานปานน้ำผึ้งก็ยกตัวอย่างเช่นการไปมาหาสู่จวนจื่อหยางและศาลจีเซียงที่ไม่ต่างจากการคบค้ากันระหว่างพ่อค้า คือบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หว่างคิ้วของฮูหยินผู้นั้นมีความกลัดกลุ้มจางๆ ให้เห็น คำตอบของนางมีเพียงเสียงถอนหายใจ

สาวใช้อายุน้อยข้างกายนางอยู่กับนางมาร้อยปีแล้ว แม้ว่าจะเป็นวัตถุหยินผีพราย แต่เพราะได้รับบุญคุณจากควันธูป การจมน้ำตายอย่างอยุติธรรมในอดีตทำให้ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้ก้าวขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน

สาวใช้ถือเป็นคนสนิทของฮูหยินท่านนี้ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้นางจึงมีคุณสมบัติที่จะแสดงความเห็นได้ จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “สถานการณ์บีบบังคับ แม่น้ำหันสือและแม่น้ำอวี้เจียงต่างก็ได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยจากสกุลซ่งต้าหลีแล้ว มีเพียงแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเราที่ถูกหมางเมินมาจนถึงตอนนี้ นี่ยังไม่นับเป็นอะไร อย่างมากก็แค่ไม่ต้องไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีเท่านั้น เพียงแต่ว่าคราวนี้ฮูหยินของเราเข้าเมือง ฟังจากความหมายของฮ่องเต้แล้ว ไม่แน่ว่าแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเราอาจจะยังมีหายนะใหญ่รออยู่เบื้องหลัง พวกเราจึงไม่อาจหวังว่าจะแยกตัวออกมาอยู่อย่างสงบได้”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสงสัย “หายนะใหญ่?”

สาวใช้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างทุ้มต่ำ “ฮ่องเต้ยังตรัสเป็นนัยๆ ว่า เทพวารีของแม่น้ำอวี้เจียงได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งไปแล้วก็ยังไม่รู้จักพอ ยังทำตัวหน้าไม่อาย วิ่งโร่ไปที่ภูเขาพีอวิ๋นของถ้ำสวรรค์หลีจู ดูเหมือนว่าจะอาศัยความสัมพันธ์ลับกับใครบางคน ขอให้ช่วยพูดดีๆ ต่อหน้าองค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อ จึงมีความเป็นไปได้มากว่าราชสำนักต้าหลีจะลงมือกับแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเรา พรรคหลิงอวิ้นที่ถูกปิดภูเขาก็คือบทเรียนให้เห็น ฮ่องเต้เองก็จนใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ได้แต่ปล่อยให้พวกคนเถื่อนต้าหลีก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างระอาใจ “ความหน้าหนาไร้ยางอายของเจ้านั่นเป็นที่เลื่องลือจริงๆ”

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยกสองแขนกอดอก เขายืนห่างมาไกลเล็กน้อย สายตาทอดมองลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แม้ว่าก่อนปีใหม่เขาจะเลื่อนจากขอบเขตห้าขั้นสูงสุดกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในแคว้นทำให้ชายฉกรรจ์เลือดร้อนที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตหกแล้วจะไปเข้าร่วมกองทัพเริ่มรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

กีบเท้าม้าของคนเถื่อนต้าหลีเหยียบย่ำลงบนผืนแผ่นดินของแคว้นหวงถิงอย่างกำเริบเสิบสาน ก็ไม่เห็นจะแจ้งข่าวหรือทักทายฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของพวกเขาให้รับรู้มาก่อน

และเรื่องที่ยิ่งทำให้ชายฉกรรจ์รับไม่ได้ก็คือตลอดทั้งราชสำนัก นับตั้งแต่ขุนนางบุ๋นบู๊ไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาด จนมาถึงแม่น้ำทะเลสาบและบนภูเขา แทบจะไม่มีใครที่รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น แต่ละคนพากันประจบสอพลอเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คิดทำทุกวิถีทางเพราะอยากพึ่งพาขุนนางต้าหลีที่มาปักหลักอยู่ในแคว้นหวงถิงเหล่านั้น ขุนนางขั้นเจ็ดของสกุลซ่งต้าหลีมีบารมียิ่งกว่าขุนนางใหญ่ขั้นสองของแคว้นหวงถิงเสียอีก! คำพูดคำจาของพวกเขาก็ใช้ได้ผลมากยิ่งกว่า!

และเรื่องที่ทำให้ชายฉกรรจ์ล้มเลิกความคิดที่จะไปเข้าร่วมกองทัพในท้ายที่สุดก็คือข่าวหนึ่งที่ส่งมาจากเมืองหลวงแคว้นหวงถิง

ปีนั้นตนกับสหายไล่จับปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แต่กลับถูกฝ่ายหลังวางกับดักเล่นงานอยู่ในสันเขาตะขาบ เพียงแต่ว่าภายหลังปีศาจใหญ่หมียักษ์ที่ควรจะเผยร่างจริงมาร่วมต่อสู้กับมัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เพียงแต่ไม่ปรากฏตัว กลับกลายเป็นว่าเห็นปีศาจจิ้งจอกที่เชี่ยวชาญการฝึกวิชาสองผสานซึ่งเป็นคู่รักของตนเผชิญความตายโดยไม่คิดช่วยเหลือ นั่นถึงทำให้พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันจับตัวปีศาจจิ้งจอกที่เรียกตัวเองว่าฮูหยินชิงหยามาได้ ถือเป็นการสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่ราชสำนักหวงถิง

ปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นถูกเวทลับพันธนาการจึงสูญเสียวิชาอภินิหารไปเกินครึ่ง ถูกจับขังอยู่ในคุกใหญ่ที่ทางราชสำนักเอาไว้ใช้สยบผู้ฝึกตนอิสระและภูตผีปีศาจโดยเฉพาะ

ตอนนั้นชายฉกรรจ์กับเหล่าสหายร่วมกันดื่มเหล้าเฉลิมฉลองอยู่ที่จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่

แต่เพียงไม่นานก็มีข่าวลือเล็กๆ แพร่ไปทั่วเมืองหลวงว่า ปีศาจจิ้งจอกที่เดิมทีควรถูกถลกหนังดึงเส้นเอ็นเพื่อตักเตือนไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงย่างถูกฮ่องเต้รับตัวไปเลี้ยงดูอย่างสุขสบายอยู่ในวังหลัง

ในใจชายฉกรรจ์เจ็บแค้นอย่างถึงที่สุด

ครั้งนี้เขาเดินทางมาเยือนจวนเทพวารีพร้อมกับสหายที่เป็นผู้ฝึกตนอีกสองคน เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยืนอยู่บนหัวเรือผู้นั้นก็ได้บอกความจริงให้พวกเขารู้อย่างชัดเจน

ข่าวลือไม่ใช่เรื่องโกหก

หายนะมาเยือนแคว้น แต่ฮ่องเต้กลับมีชีวิตสุขกายสบายใจยิ่งนัก?

ตอนที่เจ้าแม่เทพวารีเข้าวังไปพบฮ่องเต้ ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้จริงๆ เพียงแต่ว่านางสงบเสงี่ยมสำรวม ยังดีที่บนร่างของนางยังมีพันธนาการที่ผู้ฝึกตนซึ่งเป็นผู้ถวายงานร่ายไว้ ฮ่องเต้สกุลหงยังไม่ได้โง่จนถึงขั้นปลดปล่อยมันอย่างเต็มที่

ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้เจ้าแม่เทพวารีที่เคยมีความสัมพันธ์กับฮ่องเต้ผู้เป็นบรรพบุรุษของสกุลหงในช่วงเวลาสั้นๆ จำต้องมุ่นคิ้วน้อยๆ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่อยู่ในความทรงจำของนาง ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านความบ้าตัณหา

เพียงแต่ว่าวันและเวลาล่วงเลยผ่าน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าเหนือหัวของแคว้น นางจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก

อีกอย่างในฐานะองค์เทพของแม่น้ำสายหนึ่ง ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ถูกตั้งบูชาอยู่บนแท่นสูง มองผ่านควันธูปตลบอบอวลหลายร้อยปี นางมองเห็นความหลากหลายของผู้คนมาจนถ้วนทั่วแล้ว สำหรับเรื่องเหลวไหลในโลกมนุษย์เหล่านี้ก็ยิ่งเห็นมาจนชินตานานแล้ว

คิดดูแล้วคงเป็นเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีความกดดันในใจมากเกินไป เพราะต่อให้สกุลซ่งต้าหลีจะยอมรับตำแหน่งแคว้นใต้อาณัติของแคว้นหวงถิง แต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งอายุน้อยคนใดโผล่มาบอกให้เขาไสหัวลงไปจากบัลลังก์มังกรหรือไม่?

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ควรจะคลายความกลัดกลุ้มอย่างไร? คาดว่าก็คงมีแต่การหาความสุขบนเตียงอย่างเดียวเท่านั้น

อันที่จริงเจ้าแม่เทพวารีก็รู้ถึงอารมณ์อัดอั้นของซุนเติงเซียนผู้ฝึกยุทธคนนั้นดี

เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ นางเอ่ยออกไปไม่ได้

เพราะหากพูดออกไป ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญูชน ความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมกันมาก่อนหน้านี้จะสลายหายไป

แนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ หากฮ่องเต้สกุลหงแคว้นหวงถิงไม่เลือกสวามิภักดิ์ต่อคนเถื่อนต้าหลี แล้วจะให้ระดมพลใช้กำลัง เอาไข่ไปตีกระทบหิน ทำให้สกุลซ่งต้าหลีเดือดดาล เคลื่อนทัพม้าเหล็กริมชายแดนมาบดขยี้แคว้นจนพังราบเพียงเพื่ออยากรักษาหน้าตาเอาไว้น่ะหรือ? ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะกลายเป็นนักโทษชั้นต่ำ ยังต้องมีชาวบ้านแคว้นหวงถิงอีกมากน้อยเท่าไหร่ที่ต้องประสบภัยเพราะไฟสงคราม? กี่แสนคน? หรือกี่ล้านคน? ฟ้าคว่ำดินตลบ ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนสี มองไปทางใดเห็นแต่ความพินาศวอดวาย ย่อมไม่มีใครในแคว้นหวงถิงที่จะอยู่อย่างสุขสบายเพียงลำพังได้

รากฐานในการหยัดยืนของชาวบ้านที่บริสุทธิ์เหล่านั้น ไหนเลยจะซับซ้อนพิถีพิถัน ก็แค่หวังว่าจะไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ตลอดทั้งปี หน้าหนาวมีเสื้อผ้าหนาๆ ให้ใส่ ยามหิวก็มีอาหารให้กิน มีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว

ครั้งนี้นางยืนกรานจะมาเยือนจวนจื่อหยาง แถมยังลากพวกเขาสามคนมาด้วย มีหรือที่เจ้าแม่เทพวารีจะไม่รู้ถึงความไม่สบอารมณ์ในใจของซุนเติงเซียน?

แต่นางไม่มาไม่ได้

นางถึงขั้นจำเป็นต้องให้คนทั้งสามช่วยปกป้องคุ้มครอง หลีกเลี่ยงไม่ให้บรรพจารย์ของจวนจื่อหยางที่นิสัยยากคาดเดาคนนั้นจับนางขังไว้ที่นั่น มีคนทั้งสามเพิ่มเข้ามา อันที่จริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ แต่ถึงอย่างไรก็พอจะทำให้จวนจื่อหยางเกิดความกริ่งเกรงขึ้นได้บ้างสักส่วนสองส่วน

ฮูหยินท่านนี้ได้แต่หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นสมหวัง หลังจบเรื่องจวนเทพวารีของตนจะต้องตอบแทนซุนเติงเซียนทั้งสามคนอย่างดีแน่นอน

ยิ่งขับเคลื่อนเข้ามาในลำคลองเถี่ยเชวี่ยน บรรยากาศก็ยิ่งเงียบงันเคร่งเครียด ยามที่เคลื่อนผ่านศาลเทพลำคลองจีเซียง ผู้เฒ่าเทพลำคลองปรากฏตัวอยู่ริมลำคลอง ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาหันไปคารวะเจ้าแม่เทพวารีก่อน เพียงแต่ว่าคำพูดที่เขาเอ่ยหลังจากยืดตัวขึ้นตรงกลับไม่ค่อยน่าฟังเท่าใดนัก เขายิ้มตาหยีถามว่า “ฮูหยินเทพแม่น้ำนับเป็นแขกที่หาได้ยาก ไม่ทราบว่าคราวนี้เดินทางมาตรวจตราลำคลองเถี่ยเชวี่ยนของข้าน้อย มีอะไรจะแนะนำหรือไม่? หากฮูหยินยังไม่เต็มใจจะปล่อยผู้บัญชาการทางน้ำของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนของพวกเราไป ข้าน้อยก็คงไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ผู้บัญชาการท่านนี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนที่ได้แขวนชื่อไว้ในจวนเซียนจื่อหยางแล้ว หรือครั้งนี้ที่ฮูหยินเดินทางทวนกระแสน้ำขึ้นมาก็เพราะคิดจะฟื้นฝอยเรื่องในอดีตกับจวนเซียนจื่อหยางของเรา?”

เรือข้ามแม่น้ำเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ เจ้าแม่เทพวารีไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนไม่เห็นเป็นสำคัญ หันหน้าไปมองเรือที่ยังเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ลืมโบกมือกว้างพูดตะโกนเสียงดังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “จะบอกข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าข่าวหนึ่งให้แก่ฮูหยิน ตอนนี้บรรพบุรุษต้งหลิงหยวนจวินของจวนเซียนจื่อหยางเราก็อยู่ที่จวนด้วย ในฐานะที่ฮูหยินคือเทพแม่น้ำใหญ่ คิดดูแล้วจวนเซียนจื่อหยางคงต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับการมาเยือนของฮูหยินอย่างแน่นอน หลังจากนั้นท่านก็จะโชคดีได้พบกับหยวนจวินตัวเป็นๆ ฮูหยินเดินช้าๆ นะ วันหน้าย้อนกลับไปที่แม่น้ำป๋ายกู่แล้ว หากมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่ศาลจีเซียงของข้าน้อยบ้างนะ”

รอจนเรือจากไปไกลแล้ว

เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนผู้นี้ก็ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง ก่อนผรุสวาทเสียงดัง “จะแสร้งทำตัวสูงส่งไปไย ก็แค่ก่อกำเนิดต่างถิ่นไม่รู้ที่มา แค่ถ้วยที่โยนลงน้ำแล้วจำแลงร่างกลายเป็นนกขาว (ป๋ายกู่) อาศัยว่าเคยนอนกับฮ่องเต้แคว้นหวงถิง ใช้ความสามารถบนเตียงจนโชคดีกลายเป็นเทพแม่น้ำ คู่ควรจะมาทำการค้ากับบรรพบุรุษหยวนจวินของพวกเราหรือไง? หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมอบเงินเกล็ดหิมะบรรณาการจวนเซียนจื่อหยางของพวกเราแม้แต่ครึ่งเหรียญ ทีตอนนี้วัวหายแล้วเพิ่งจะคิดล้อมคอก? ฮ่าๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้จวนเซียนจื่อหยางของพวกเรามีบรรพบุรุษหยวนจวินเป็นคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากสตรีหน้าเหม็นอย่างเจ้ายอมเสียเนื้อเสียตัว หน้าด้านปีนขึ้นเตียงของเจ้าประมุขจวน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะทำสำเร็จได้จริงๆ …สะใจนัก สาแก่ใจข้าจริงๆ …”

เทพลำคลองหมุนตัวเดินอาดๆ กลับศาลจีเซียง

เขาพลันแอบกลืนน้ำลาย หัวเราะอย่างชั่วร้าย ไม่รู้ว่าหากได้ลูบเนื้อหนังร่างทองหลังจากที่สตรีผู้นั้นทอดชุดชาววังออกแล้ว จะให้ความรู้สึกและรสชาติเช่นไรกันนะ?

หากแม่น้ำป๋ายกู่เจอหายนะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีโอกาสได้ลิ้มรสดูสักครั้ง?

……

จวนจื่อหยาง โถงเจี้ยนชื่อ

อู๋อี้รับฟังจนถึงขีดจำกัดความอดทนของหูตัวเองแล้ว และกำลังจะบอกให้กลุ่มคนที่ยังพูดจ้อขอความดีความชอบจากนางไม่หยุดถอยออกไป

แต่จู่ๆ กลับมีพ่อบ้านฝ่ายนอกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อมอยู่ด้านหลังประตูใหญ่ของโถงเจี้ยนชื่อ “ท่านบรรพจารย์ เทพแม่น้ำของแม่น้ำป๋ายกู่นำของขวัญมาขอเข้าพบ หวังว่าท่านบรรพจารย์จะเห็นแก่หน้านางสักครั้ง”

มุมปากของนางกระตุกเป็นวงโค้ง กึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง มองไปทางทุกคนแล้วถามว่า “เท้าหน้าข้าเพิ่งมาถึง เท้าหลังของสตรีจากแม่น้ำป๋ายกู่ก็ตามมาติดๆ เป็นเจ้าคนของศาลจีเซียงที่เอาข่าวไปบอกงั้นรึ? เขาอยากตายใช่ไหม?”

ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ดีว่านี่คือสัญญาณบอกว่าท่านบรรพจารย์โมโหแล้ว

ทันใดนั้นเหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าที่กุมอำนาจใหญ่ มีตำแหน่งสูงในจวนจื่อหยางต่างก็กระวนกระวายไม่เป็นสุข

ทุกครั้งที่บรรพจารย์เดือดดาลก็หนีไม่พ้นภูเขาสั่นแผ่นดินสะเทือน หากไม่เป็นพวกคนนอกที่ตาไร้แววเจอหายนะดับชีพ ก็ต้องเป็นคนกันเองที่ทำงานไม่เรียบร้อยโดนถลกหนังหนึ่งชั้น

ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าคนหนึ่งของจวนจื่อหยางที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนรีบแข็งใจลุกขึ้นยืน ช่วยพูดให้กับเทพลำคลองที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย “เรียนท่านบรรพจารย์ เทพลำคลองศาลจีเซียงไม่กล้าทำอย่างนั้นแน่นอน เจ้าคนผู้นั้นมีตบะต่ำต้อย ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ได้เรื่อง มีเพียงความจงรักภักดีต่อจวนจื่อหยางเท่านั้นที่สามารถพูดได้ว่าไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นข้าจึงกล้าเดาว่าการที่บรรพจารย์ขับเคลื่อนเรือเซียนเดินทางไกลกลับมาครั้งนี้ คงถูกพวกเจ้าแม่เทพวารีเงยหน้าเบิกตาสุนัขมองเห็นท่วงท่าอันสง่างามของท่านบรรพจารย์เข้า ก็เลยรีบวิ่งตุปัดตุเป๋มาส่ายหางขอความเมตตาจากท่านบรรพจารย์”

นางใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะที่วางแขนเก้าอี้ “พูดเช่นนี้…ก็พอจะมีเหตุผล”

ทุกคนพลันรู้สึกโล่งอก

ต่อให้เป็นผู้เฒ่าจวนจื่อหยางที่ไม่ค่อยถูกกับผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ก็ยังอดชื่นชมอีกฝ่ายในใจไม่ได้

ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ยินดีพูดจาเพื่อความเป็นธรรมแก่คนนอกจวนจื่อหยาง แต่เป็นเพราะเขาคือคนที่ดูแลเรื่องเงินของฝ่ายนอกจวนจื่อหยาง ทุกปีจึงมีรายรับเพิ่มเติมจากเทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่รู้ความว่าง่ายผู้นั้นไม่น้อย

—–