ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 71 ที่แห่งนี้ไม่มีใคร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ที่นี่คือที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เดิมทีก็เป็นสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ค่อนข้างจะต่างออกไป แต่ในตอนนี้กลับมืดมัวลงไปมาก ปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวของดวงอาทิตย์ แต่เป็นท้องฟ้าที่มันอยู่ ได้เกิดปัญหาที่ยากจะใช้คำพูดมาบรรยาย

ยากที่จะบรรยาย แน่นอนว่าก็ต้องยากที่จะเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพียงแค่มองไปรอบด้านแวบหนึ่ง เฉินฉางเซิงก็เข้าใจว่าทำไมสวนโจวถึงได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นเช่นนี้

สวนโจวค่อยๆ รกร้าง แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับกฎที่ถูกทำลายหลังจากภัยพิบัติแห่งฟ้านั่น หลังจากที่กฎได้ตั้งขึ้นมาใหม่ก็ยังไม่อาจจะซ่อมแซมขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นเพราะว่าช่วงหลายวันมานี้สวนโจวได้ถูกตัดขาดจากโลกหลักมาโดยตลอด ใช่ สวนโจวเป็นโลกใบเล็ก เป็นเศษเสี้ยวที่ล่องลอยอยู่ในช่องว่างของกาลเวลาที่ไหลเวียน แต่มันก็ยังคงมีความสัมพันธ์กันกับโลกหลัก ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจจะดำรงอยู่หลังจากที่โจวตู๋ฟูตายไปแล้วได้ อีกทั้งยังคงมีกฎที่ตายตัว และปรากฏตัวขึ้นในบางครั้ง

เฉินฉางเซิงรู้ว่าทำไมทุกๆ สิบปีสวนโจวถึงต้องปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง…เพราะว่ามันต้องการเชื่อมต่อกับโลกหลัก

น้ำที่ไม่หยุดนิ่งถึงจะไม่เน่าเสีย

ถึงแม้สวนโจวจะใหญ่ แต่ถ้าหากถูกตัดขาดขึ้นมาจริงๆ ก็จะกลายเป็นสระน้ำตาย ต่อให้สระน้ำนี้จะใหญ่ราวมหาสมุทรก็ตาม สุดท้ายก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย

เขายืนอยู่บนยอดของสุสานโจว เฉินฉางเซิงมองไปรอบด้าน ก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่ซ่อนอยู่ การวิเคราะห์ก็มีตามการมาถึงของตน สวนโจวกับโลกหลักได้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ สถานการณ์เช่นนี้ควรจะมีการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ และก็ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้เหล่านั้น จะยังสามารถทนไปจนถึงวันนั้นได้หรือไม่

คลื่นอสูรที่อยู่ในทุ่งหญ้า ไม่ได้มหาศาลเหมือนดังวันวานอีกแล้ว จำนวนนับหมื่นตัวดูเหมือนจะมากมาย แต่ในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ก็เห็นอย่างชัดเจนว่าน้อยมาก

สัตว์อสูรนับหมื่นเริ่มที่จะเดินอีกครั้ง มุ่งหน้าไปทางสุสานโจว เตรียมน้อมรับจุดจบของชีวิตที่นั่น แต่ในนาทีถัดมา พวกมันก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่ถูกมองลงมาจากเบื้องบน นี่เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกนั้นไม่ได้มาจากท้องฟ้าอันห่างไกล แต่มาจากสุสานโจวที่อยู่ด้านหน้านั่น อีกทั้งกลิ่นอายนั่นในครั้งนี้รุนแรงขึ้นมาก พวกสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูงเหล่านั้น ถึงขนาดสามารถแยกแยะออกได้ว่ากลิ่นอายนั้นตนเคยได้กลิ่นมาก่อน

ยักษ์ล้มภูเขาพลันหยุดเท้าลง ยื่นร่างที่สูงนับสิบจั้งขึ้น และมองไปทางสุสานโจวที่ไกลออกไป ดวงตาที่เหมือนกับเมล็ดถั่วเขียว ค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่ดุร้าย

เสียงฟุบดังขึ้น วานรดินที่ได้รับบาดเจ็บหนักตัวนั้นไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ไหน มันจับไปที่ขนบนร่างของยักษ์ล้มภูเขา ใช้มือทั้งสองปีนขึ้นไปบนไหล่ของมันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า พลางมองไปที่สุสานโจวที่ห่างไกล ส่งเสียงคำรามอย่างรุนแรง เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เคียดแค้น ไปจนถึงสิ้นหวัง

อสูรกระทิงที่อยู่ด้านหลังสุดของคลื่นอสูรหลับตาลง หูที่ขาดวิ่นนั้นสั่นน้อยๆ ท่ามกลางลมหนาว และยืนยันความเป็นมาของกลิ่นอายนั้นจากเสียงคำรามของวานรดิน ร่างกายก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างยากจะหยุดไว้ เพราะว่าขนของมันที่หายไปมากและเกิดเป็นรอยน่าเกลียดอยู่บนร่างพลันลุกตั้งเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา ก็เหมือนกับป่าพรุที่น้ำระเหยไปหมดแต่ยังคงเหลือความเปียกชื้นอยู่

สัตว์อสูรยักษ์สามตัวนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมากในการต่อสู้ขณะสระกระบี่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก แต่อย่างไรเสียก็ยังแข็งแกร่งดุร้ายอย่างหาใดเปรียบ หลังจากภัยพิบัติแห่งฟ้าเช่นนั้นก็ยังสามารถมีชีวิตรอดมาได้ แน่นอนว่าพวกมันจึงแยกแยะได้ว่ากลิ่นอายนั้นเป็นของเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ผู้นั้น…ตัวการหลักที่ทำให้สวนโจวกลายมาเป็นสภาพในตอนนี้

สำหรับสัตว์อสูรเหล่านี้ สวนโจวก็คือบ้านเกิดของพวกมัน พวกมันใช้ชีวิตอย่างสงบในที่แห่งนี้มาหลายปี แต่กลับถูกมนุษย์กับเผ่ามารที่น่ารังเกียจมารบกวน กระทั่งเข้าสู่สภาพสิ้นหวังก่อนหน้านี้…เมื่อฟ้าถล่มลงมา มนุษย์กับเผ่ามารล้วนจากไปแล้ว พวกมันกลับยังคงต้องชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าผืนนี้ จะสามารถทำอย่างไรได้

ความเกลียดที่พวกสัตว์อสูรมีต่อเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อย่างมาก

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในนาทีถัดมา เสียงคำรามของวานรดินตัวนั้นก็หยุดลง และเข้าไปพูดซุบซิบที่ข้างหูของยักษ์ล้มภูเขาสองสามคำ หลังจากนั้นก็เอาครึ่งร่างที่สะบักสะบอมของตนซ่อนเข้าไปในเขาที่อยู่บนหัวของยักษ์ล้มภูเขา และก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาอีก อสูรกระทิงที่อยู่หลังคลื่นอสูรก็สงบลงมา ค่อยๆ ขยับหัว หลังจากนั้นก็ส่งเสียงทุ้มต่ำที่ยาวเหยียดออกมา

ยักษ์ล้มภูเขามองทางสุสานโจว นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คุกเข่าลงมา

เช่นนั้น สัตว์อสูรนับหมื่นตัวก็ล้วนยกขาหน้าขึ้นมา บ้างก็ก้มหัวที่สูงลงมา หลับตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายกับความเหนื่อยล้าลงมา คุกเข่าลงไป

นี่คือการยอมรับใช้ และก็เป็นการต้อนรับ ยอมรับใช้ต่อคนที่สามารถนำพาชีวิตใหม่มาให้กับสวนโจว ต้อนรับเจ้าของคนใหม่ของสวนโจว

……

……

ที่แห่งหนึ่งบนทุ่งหญ้า เฉินฉางเซิงมองสัตว์อสูรตัวใหญ่สองตัวนั้นที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองเช่นไร

ต่อให้กำลังคุกเข่าอยู่ ยักษ์ล้มภูเขาก็ยังเหมือนภูเขาอยู่ อสูรกระทิงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เทียบกันแล้ว เขาก็ดูเล็กจิ๋ว ถ้าหากไม่ได้เจอกับมังกรดำตัวนั้นที่ใต้สะพานอุดรใหม่อยู่หลายครั้ง ได้เจอกับภาพเหตุการณ์ที่เหมือนกันอยู่หลายครั้ง ต่อให้เขาในตอนนี้จะเข้าใจสภาพการณ์ของสวนโจวทั้งหมด ก็เกรงว่าจะเกิดความรู้สึกที่อยากจะหลบหนีออกไปในทันที ในตอนแรกเขากับนางอยู่ในทุ่งหญ้าผืนนี้ ได้พบกับอันตรายมากมาย สุดท้ายสุสานโจวถูกคลื่นอสูรเข้าล้อม ทั้งสองตัวนี้…ไม่ สัตว์อสูรทั้งสามตัวที่แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบและยังน่าหวาดกลัวนี้ เคยนำความลำบากมากมายมาให้กับพวกเขา ถ้าหากสระกระบี่ไม่ได้ปรากฏขึ้น ไม่ต้องให้หนานเค่อได้รวมดวงจิตเข้ากับลูกมหาวิหคปีกทองตัวนั้น เขาก็คงถูกสัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้ฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ถูกกินจนไม่เหลือ

“ข้ารู้สถานการณ์ของสวนโจวในตอนนี้”

เฉินฉางเซิงมองที่ดวงตาทั้งสองข้างที่ซ่อนอยู่ในเงาเขาของยักษ์ล้มภูเขา รู้ว่านั่นจะต้องเป็นวานรดินที่อันตรายที่สุดตัวนั้น จึงพูดขึ้น “ข้าสามารถช่วยจัดการกับปัญหาบางอย่างได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ยักษ์ภูเขาก็ยิ่งคุกเข่าให้ต่ำลงมา อสูรกระทิงเองก็แสดงถึงความนอบน้อมยิ่งขึ้น ฝูงสัตว์อสูรดำมืดที่อยู่หลังสัตว์อสูรยักษ์สองตัวนี้ ก็ยิ่งเข้าไปใหญ่ อสรพิษวารีพลิกร่างของตน แร้งสีเทาส่งเสียงร้องแหลมสูงที่ไม่น่าฟัง ทุกตัวต่างทำทุกวิถีทางเพื่อแสดงความนอบน้อมและความโอนอ่อนผ่อนตามของตน

อันที่จริง สัตว์อสูรที่ยังสามารถอยู่มาถึงตอนนี้ล้วนไม่ใช่พวกดี แต่ล้วนเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดและก็อันตรายที่สุด เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

เขานำยาทั้งหมดที่ตามปกติเขาพกติดตัวออกมา และโยนไปที่ตรงหน้าของยักษ์ล้มภูเขากับอสูรกระทิง และก็มองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นที่อยู่ใต้เงาเขาของยักษ์ล้มภูเขา แล้วพูดขึ้น “ให้ที่บาดเจ็บสาหัสกินก่อน”

ดวงตาคู่นั้นที่อยู่ในเขาของยักษ์ล้มภูเขาพลันกลอกไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ข้าไม่ได้นำยามามากพอ ดังนั้นจะต้องทำตามวิธีการที่ข้าบอกเมื่อครู่ในการแบ่งกัน” เขาไม่ได้มองไปที่ดวงตาคู่นั้นอีก เงยหน้าแล้วพูดกับยักษ์ล้มภูเขา “ตอนนี้ข้ามีเรื่องด่วน จำเป็นจะต้องไปก่อน พรุ่งนี้ในเวลานี้ข้าจะเข้ามาใหม่ แต่ถ้าหากข้าพบว่ามีใครไม่ฟังคำพูดของข้า ข้าก็จะไม่เข้ามาอีกแล้ว”

เมื่อยักษ์ล้มภูเขาได้ยินคำพูดนี้ ก็เอาแขนที่ใหญ่โตทั้งสองข้างวางลงบนพื้นเบาๆ แสดงถึงการน้อมรับคำสั่ง ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยขนสีดำนั้นแบหงายขึ้นไปทางท้องฟ้า ก็เป็นเหมือนกับป่าสีดำสองแห่ง

ตามการเคลื่อนไหวนี้ เขาของมันก็ก้มลงมาที่พื้น

วานรดินตัวนั้นเป็นเพราะร่างกายบาดเจ็บ ไม่ได้ยืนให้มั่น ก็เลยกลิ้งลงมาเช่นนี้ และกลิ้งตรงมาถึงด้านหน้าของเฉินฉางเซิง

เห็นได้อย่างชัดเจน ว่ายักษ์ล้มภูเขาจงใจทำ

วานรดินตัวนั้นไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา มันจูบพื้นโคลนที่อยู่ตรงหน้ารองเท้าของเฉินฉางเซิงไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา ดูแล้วก็ช่างน่าสงสารเป็นอย่างมาก

เฉินฉางเซิงรู้ว่ามันเสแสร้ง แต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาส่ายศีรษะ แล้วก็เดินออกไปทางรอบนอกของทุ่งหญ้า

เขาชัดเจนอย่างมากว่าสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ใช่พวกดีอะไร อย่าได้เห็นว่าตอนนี้ล้วนแสดงออกอย่างน้อมรับใช้ อันที่จริงล้วนดุร้ายเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังอยากจะช่วยเหลือพวกมัน

สวรรค์มีคุณธรรมต่อชีวิต เขานั้นรักชีวิตยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น

เขาเองก็ไม่กังวลว่าสัตว์อสูรเหล่านี้เมื่อได้รับความช่วยเหลือ หลังจากกลับมาแข็งแกร่งแล้ว จะแว้งกัดหรือไม่ เพราะตอนนี้เขาเป็นเจ้าของสวนโจว ถ้าหากเขาไม่เปิดสวนโจว สุดท้ายโลกใบเล็กใบนี้ก็จะพินาศไป สิ่งมีชีวิตในนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็มีแต่ทางตายที่รออยู่ พูดอีกอย่างคือ สวนโจวในตอนนี้ก็คือที่เลี้ยงสัตว์ของเขา สัตว์อสูรเหล่านี้ก็คือสัตว์เลี้ยงของเขา สัตว์ที่เลี้ยงป่วยและหิว แน่นอนว่าเขาที่เป็นเจ้าของต้องมาดูแล ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรยักษ์อย่างพวกอสูรกระทิง ก็มีสติปัญญาในขั้นแรกแล้ว เขาไม่อาจจะมองมันเป็นสัตว์ได้ และก็ไม่อยากจะเห็นมันต้องตายไป

อีกทั้งสวนโจวสำหรับเขาแล้ว ก็มีความหมายเป็นอย่างมาก

สุดท้ายแล้วเขาไม่อยากให้สวนโจวกลายเป็นที่ที่เงียบสงัด

เขาหวังว่าสวนโจวจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็เหมือนที่หวังว่านางจะยังมีชีวิตอยู่

……

……

กฎเก่าของสวนโจวได้ถูกทำลายไปแล้ว ม่านเขตแดนของที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

หลังจากที่กลายมาเป็นเจ้าของสวนโจว ส่วนหนึ่งของกฎใหม่ของสวนโจวก็เข้ามาในสมองของเขาด้วยวิธีการที่ยากจะเข้าใจ หลังจากนั้น เขาก็ถือครองกฎที่อาศัยระดับความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้สามารถเข้าใจได้ไว้ สำหรับระดับความแข็งแกร่งของเขาแล้วก็คือว่ามีส่วนช่วยในการยกระดับเป็นอย่างมาก เพราะว่าการถือครองกฎเช่นนี้ เขาใช้เวลาเพียงสั้นๆ ก็สามารถออกจากที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ข้ามผ่านภูเขานับไม่ถ้วน มาถึงจวนที่อยู่ตรงขอบของสวนโจวนั่น

ที่นี่คือป่าวจีเขตบรรพต เป็นสถานที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์ในตอนแรก และก็เป็นตำแหน่งที่เขามองดูมหาวิหคบรรพกาลบินพานางไป

ทางเดินเล็กๆ ในตอนนี้ได้กลายเป็นเศษซากไปแล้ว ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย ไม่มีเสียงกบร้อง มีเพียงแค่เสียงนกร้องที่ดังจากที่ไกลออกไป เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรแห่งความตายจริงๆ

แต่ที่นี่ก็มีคนตายไปมากมาย

ภูเขาที่ถล่มลงมา ทำให้สิ่งก่อสร้างที่งดงามของป่าวจีเขตบรรพตถูกกลบฝัง หินยักษ์บนภูเขาที่หนักอย่างหาใดเปรียบนั้นกลิ้งลงไปจนถึงตรงกลางเขา

มองดูภาพเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่พูดจา

เขาไม่สามารถขยับก้อนหินเหล่านี้ได้ แต่ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ใต้ภูเขาที่ถล่มนี้ มีคนจำนวนมากที่ตายไป

เขายืนอยู่หน้าภูเขาที่ถล่มแถบนี้อยู่นาน หลังจากนั้นค่อยจากไป

ต่อมา เขาไปที่สวนป่าอีกสองแห่ง ซึ่งก็ไม่ได้อะไรเลย

เขาไปที่ลำธารบนภูเขาสายนั้น เดินสวนทางขึ้นไปดูสระเย็นเยือกแห่งนั้น

น้ำในสระไม่มีเจตจำนงกระบี่แล้ว และก็ไม่มีคน

ทะเลสาบที่อยู่ในสระนั้นก็ไม่มีคน ส่วนลึกของทะเลสาบพอจะมองเห็นแสงสว่างจากไข่มุกราตรีเม็ดนั้น

เฉินฉางเซิงไม่ได้ไปเก็บเงินกับสมบัติเหล่านั้น ยังมีหนังสือคัมภีร์ที่แช่อยู่ในน้ำมาหลายวันแต่ก็ยังไม่เละไปอย่างน่าประหลาด เขาเพียงแค่หยิบของอย่างหนึ่งที่ถูกถุงผ้าห่อเอาไว้อย่างดี

ที่ข้างทะเลสาบเองก็ไม่มีคน บนกรวดทรายยังมีรอยเลือดที่กลายเป็นสีดำอยู่ ไม่รู้ว่าส่วนไหนที่ชีเจียนเหลือทิ้งเอาไว้ ส่วนไหนที่เจ๋อซิ่วเหลือทิ้งเอาไว้

หลังจากนั้น เขาก็ว่ายไกลออกไปทางก้นทะเลสาบ ก็มาถึงทะเลสาบเล็กที่อยู่หน้าหุบเขาอัสดงนั่น

น้ำในทะเลสาบผืนน้อยนั้นได้ไหลไปตามรอยแยกจนไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว เหลือเพียงแต่ก้นทะเลสาบที่แห้งขอด

ในตอนนั้นเขาก็ออกมาจากตรงนี้ หลังจากนั้นก็ถูกนางช่วยเอาไว้

ที่นี่เองก็ไม่มีคน