บทที่ 908 การชุมนุมของกลุ่มทั้งหมด

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 908 การชุมนุมของกลุ่มทั้งหมด

เทือกเขากู่ไหอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสมรภูมิหยุ่นลั้ว

พื้นที่กว้างใหญ่นี้ล้อมรอบไปด้วยดงเทือกเขาหนาแน่น กระดูกสีขาวผุพังนับไม่ถ้วนเผยถึงช่วงยุคที่ยาวนาน นั่นเป็นเพราะเจ้าของกระดูกเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์ชั้นยอดที่สิ้นชีพ ดังนั้นกระดูกของพวกเขาจึงได้ย้อมภูเขาแห่งนี้เป็นสีขาว…

มองจากที่ไกลราวกับภูเขาทั้งลูกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่เมื่อใกล้เข้ามามากขึ้นก็จะสังเกตเห็นบรรยากาศที่น่าขนลุกพร้อมกับเถ้ากระดูกหมุนคว้างไปตามสายลม

เมื่อก่อนแทบไม่มีร่องรอยของผู้คนบนเทือกเขากู่ไห เพราะถึงแม้ว่าจะมีจอมยุทธ์จำนวนมากสิ้นชีพอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีซากอารยธรรมคุ้มค่าอยู่โดยรอบเลย ดังนั้นจึงไม่มีกองทัพใดเยี่ยมหน้ามาในสถานที่แห่งนี้

แต่วันนี้พื้นที่ห่างไกลกลับมีชีวิตชีวา ขับไล่บรรยากาศน่าขนลุกลงอย่างสิ้นเชิง…

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงพุ่งผ่านอากาศดังออกมาจากทุกทิศทาง ขณะที่ผู้คนหลั่งไหลมาไม่สิ้นสุด ก่อนที่จะพลิ้วตัวลงบนเทือกเขากู่ไหขนาดใหญ่

ที่ส่วนลึกของเทือกเขามีที่ราบขนาดหลายหมื่นจั้ง ถ้ามองจากบนท้องฟ้าก็จะพบว่ามันเป็นภาพพิมพ์ฝ่ามือที่กว้างใหญ่

เห็นได้ชัดว่ามีจอมยุทธ์ยุคโบราณทิ้งสิ่งนี้ไว้ต่างหน้าหลังจากทำลายภูเขาลง

ตอนนี้ทั่วบริเวณมีกองทัพต่างๆ พลิ้วลงมาจากท้องฟ้าล้อมรอบลานฝ่ามือนี้เอาไว้ พวกเขามองไปรอบๆ ความระมัดระวังตื่นขึ้น

กองทัพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างกัน เพราะทุกคนที่สามารถเข้ามาในพื้นที่ด้านในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกเขาอาจเคยต่อสู้กันมาก่อน ดังนั้นจึงมีความขุ่นเคืองที่ซับซ้อนระหว่างกัน มีแม้กระทั่งกองทัพบางส่วนมองอีกฝ่ายอย่างอาฆาตมาดร้าย จิตสังหารพวยพุ่งในดวงตา ราวกับว่าต้องการฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ

ทว่าความตั้งใจฆ่าไม่ได้ปะทุขึ้น เพราะทุกคนชัดเจนในใจว่าตัวเอกในการชุมนุมวันนี้เป็นขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นจะสาดความดุร้ายใส่กันและกัน แต่พลังของพวกเขาก็ยังด้อยกว่า ดังนั้นคนที่ฉลาดก็ไม่โง่พอที่จะไปแย่งความสนใจของเจ้าภาพ

ขณะที่กองทัพต่างๆ ปรากฏรอบเทือกเขา ทันใดนั้นความโกลาหลขนาดใหญ่ก็กระจายมาจากส่วนลึกของเทือกเขากู่ไห จากนั้นทุกคนก็เห็นริ้วแสงพุ่งมาจากทุกทิศทางปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าบนพื้นที่กว้างใหญ่นี้ กระบวนทัพช่างยิ่งใหญ่นัก

เมื่อกองทัพอื่นมองไปที่พวกเขาก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “นั่นจวนยมโลก!”

เมฆดำพวยพุ่งข้ามขอบฟ้าพร้อมด้วยกองทัพสวมชุดเกราะสีดำและรัศมีจั้นยี่อันน่าขนลุกไหลออกจากร่างของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังรู้สึกถึงไอเย็นบนผิว…

เบื้องหน้ากองทัพสง่างามของจวนยมโลกมีคนหลายคนยืนอยู่ มีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีดำ ใบหน้าเรียวเล็กแต่ดวงตาของเขากลับเย็นชาน่าขนลุก

เยื้องไปข้างหลังก็คือใบหน้าคุ้นเคยของโยวหมิง ขณะที่ชายร่างผอมสวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ข้างเขา ริมฝีปากราวกับใบมีดยกขึ้นนิดๆ ทำให้เกิดความเฉียบคม

ชายคนนี้ก็คือจั้นเจิ้นซือซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วสมรภูมิหยุ่นลั้วในตอนนี้…หลินหมิง!

กองทัพใต้บัญชาการของผู้บัญชาการปิงเหอพ่ายแพ้ให้เขา

ถัดจากทั้งสามก็เป็นร่างเงามากมายที่กำจายลอนคลื่นหลิงแข็งแกร่งรอบตัวซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกทั้งหมด การจัดกระบวนทัพแบบนี้สามารถทำลายขั้วอำนาจชั้นสูงในภูมิภาคทางเหนือได้เลย

บนท้องฟ้า ชายที่สวมชุดเกราะหนักก็กวาดตามองกองทัพอื่นๆ ก่อนจะมองไปในระยะทางไกล ทันใดนั้นก็ยิ้มบางพลางเอ่ย “มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันจริงๆ แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็แสดงตัวเถอะ”

น้ำเสียงราบเรียบของเขากระจายออกไป แต่การสะท้อนของคลื่นเสียงราวกับเสียงคำรณดังก้องไปมาระหว่างฟ้าดิน การกระเพื่อมของคลื่นเสียงกวาดไปยังขอบฟ้า

ในเทือกเขากู่ไหกองทัพอื่นๆ ต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ มีเพียงจอมยุทธ์ชั้นสูงบางคนเท่านั้นที่แววตาเกิดการสั่นไหว ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้…

ไม่นานหลังจากเสียงของชายวัยกลางคนจากจวนยมโลกดังกึกก้อง ฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันจากการกดขี่คลื่นหลิงอันทรงพลังทะลุผ่านมิติมาทำให้ทั้งเทือกเขาสั่นสะเทือน

ตู้ม! ตู้ม!

ขณะที่คลื่นหลิงกระเพื่อมไหว กองทัพอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้น ก่อนที่จะเห็นกระแสคลื่นหลากสีกวาดมาจากทุกทิศทาง ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็ฉีกขาดท้องฟ้าปรากฏตัวเหนือเทือกเขากู่ไหราวกับผืนเมฆ

กลุ่มคนที่เผยตัวในครั้งนี้ต่างกำจายความเผด็จการ ทำให้แม้แต่มิติโดยรอบยังบิดเบี้ยวไปจากการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ของคลื่นหลิง ทำเอาขั้วอำนาจชั้นสูงบางส่วนถึงกับสวมสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ถอนหายใจในใจ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างขั้วอำนาจชั้นสูงกับขั้วอำนาจสูงสุดจริงๆ

“หมู่ตึกเทวะ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตำหนักสุดนภา ยอดเขาหมื่นเทพ แดนปีศาจ และตำหนักเจ้าอสรพิษ…”

“ช่างเป็นการรวมตัวยิ่งใหญ่ยิ่งเมื่อรวมจวนยมโลกเข้าไปด้วย ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือก็แทบมากันครบแล้ว ถือเป็นการรวมตัวของนักรบผู้กล้าอย่างแท้จริง”

“การต่อสู้ชี้ชะตาของสงครามล่ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ความปั่นป่วนดังกล่าวกลับเกิดขึ้นแล้ว ดูท่าว่าการชุมนุมนี้ไม่มีทางจบอย่างสงบสุขแน่”

“หึ สู้กันให้ตายไปเลย ถ้าขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านี้ไม่ต่อสู้กัน เราจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร พวกเขามีทรัพยากรมากเกินไปแล้ว”

“…”

พื้นที่บนท้องฟ้าที่ขั้วอำนาจสูงสุดต่างๆ ยึดครองดึงดูดเสียงพึมพำนับไม่ถ้วนจากขั้วอำนาจอื่นๆ พวกเขาเกิดความคาดหวังและแผนการถักทอขึ้นในใจ

แต่เห็นได้ชัดว่าพร้อมกับที่ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหลายปรากฏตัว การชุมนุมครั้งนี้ก็สมชื่อแล้วสมชื่อแล่ว

ขณะที่เสียงกระซิบดังก้อง มู่เฉินที่ยืนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็มองไปยังจวนยมโลกเป็นอันดับแรก

เมื่อมู่เฉินเห็นชายวัยกลางคนสวมเกราะสีดำ ร่างเขาก็เกร็งขึ้น เขารู้สึกอย่างชัดเจนถึงภัยคุกคามหนาแน่นที่มาจากอีกฝ่าย

“ชายชุดดำคนนั้นก็คือผู้บัญชาการเทียนเสียแห่งจวนยมโลก เขามีตำแหน่งสูงมาก ข้าเกรงว่าเขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว ท่ามกลางผู้บัญชาการของพวกเรา คงมีแต่ซิวหลัวเท่านั้นสามารถต่อกรได้” จิ่วโยวพุ่งสายตาไปทิศทางเดียวกันกับมู่เฉิน นางพูดด้วยเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความยำเกรง

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็หดดวงตาพลางผงกหัว ขณะที่กำลังจะพูดก็เหลือบไปเห็นหลินหมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเทียนเสีย อีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นแปลกประหลาด มองมาที่เขาราวกับว่าเป็นเหยื่อ…

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หลินหมิงก็ยกริมฝีปากขึ้นเป็นมุมโค้งน่าขนลุก เขาเลียริมฝีปากด้วยลิ้นสีแดงสด ความโลภพล่านในดวงตา

“นั่นหลินหมิง ปิงเหอถูกเขาจับไปได้” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นกระด้าง

มู่เฉินพยักหน้าขณะที่มองสายตาแปลกประหลาดของหลินหมิง ก่อนที่ดวงตาเขาจะหรี่แคบลงแล้วหลุบต่ำ แสงอันตรายกะพริบอยู่ภายใน

มู่เฉินไม่ได้สนใจการยั่วยุของหลินหมิง เขาเบนสายตาไปยังทิศทางอื่น ซึ่งเป็นกองทัพใหญ่ของหมู่ตึกเทวะ

ยืนอยู่แถวหน้าของหมู่ตึกเทวะเป็นชายผมขาว ร่างเขากำยำมาก ทำให้คนอื่นรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างรุนแรง ราวกับมีรัศมีมังกรพุ่งออกมาจากดวงตาเขา

ภัยคุกคามที่กำจายออกไปนั้น ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทียนเสียเลย

“นั่นคือเทียนหลงจู่แห่งหมู่ตึกเทวะเป็นเจ้าภูเขาที่แข็งแกร่งที่สุด…” จิ่วโยวพูดต่อ “ที่ด้านข้างเขาก็คือแม่ทัพใหญ่ตำหนักสุดนภาที่แข็งแกร่งที่สุดเทียนเสิน”

“ตาแก่สวมชุดขาวจากยอดเขาหมื่นเทพ มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ เรียกขานกันว่าผู้อาวุโสเซิ่ง…” จิ่วโยวชี้ไปทางผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่หน้ายอดเขาหมื่นเทพ ในมือถือไม้เท้าอสรพิษ

“อีกคนจากแดนปีศาจก็คือเยาเซียนจื่อ นางมีชื่อเสียงมากและเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในภูมิภาคทางเหนือเช่นกัน” ในทิศของแดนปีศาจ หญิงสวมชุดแดงมีเสน่ห์เหลือล้นยืนอยู่ แต่ขณะที่นางกวาดมองไปรอบๆ ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาไปทำให้ดูตระการตามาก

“นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสวั้นหมั่งแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษ…”

จิ่วโยวมองไปรอบๆ และแนะนำจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองทัพ เมื่อมู่เฉินได้ยินการแนะนำจบลงหัวใจก็สั่นระรัว การชุมนุมครั้งนี้ขั้วอำนาจสูงสุดทุ่มสุดตัวแท้จริง หากพวกเขาปะทะกันก็จะเป็นหายนะใหญ่หลวง

มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสายตาที่พุ่งมาหา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจินไถหลิวหลีสวมชุดขาวยืนอยู่

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตาออกไป เป็นปกติที่พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยช่องโหว่ใดในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะเคยทำงานร่วมกัน แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในฝั่งเดียวกันในขณะนี้

“ฮ่าๆ จวนยมโลกของข้าขอแสดงความขอบคุณก่อนที่ทุกคนมาที่นี่” คลื่นหลิงแผ่กระจายออกไป เทียนเสียแห่งจวนยมโลกก็ยิ้มกล่าวพลางประสานมือคารวะ

ทว่าสนองต่อคำทักทายนั่น ซิวหลัวทำเพียงยกเปลือกตาขึ้น เขาไม่ได้สุภาพกับอีกฝ่ายเลย เสียงที่อัดแน่นด้วยไอสังหารซึ่งทำให้จิตใจของผู้อื่นเย็นสะท้านดังก้อง เขาพูดอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นทำให้กองทัพอื่นๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ศึกหลักจะเกิดขึ้นแล้วเหรอ…

“ผู้บัญชาการเทียนเสีย จะคืนคนหรือจะสู้กัน จวนยมโลกเลือกมาเลย”