ราชันเร้นลับ 667 : บทสวด โดย Ink Stone_Fantasy
หายไปแล้ว?
ความมืด?
เมื่อเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน การตอบสนองแรกของเดอร์ริคมิใช่ตื่นกลัว หากแต่เป็นการประสานมือมาวางไว้ใต้คาง
แสงสว่างที่ค่อนข้างบริสุทธิ์เริ่มแผ่ออกจากร่างกายเด็กหนุ่ม ขับไล่ความมืดโดยรอบ มอบแสงสว่างแก่ทุกซอกทุกมุมของห้องใต้ดิน
ในสภาพแวดล้อมที่เดอร์ริคอาศัย ความมืดคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อพวกเขาออกจากเมืองเงินพิสุทธิ์ ต้องรักษาแสงสว่างเอาไว้ตลอดเวลา จะละเลยแม้เพียงชั่วครู่ก็มิได้ ช่องว่างต้องไม่นานไปกว่าห้าวินาที
ครั้งแรกที่เดอร์ริคเข้าร่วมทีมสำรวจและยังขาดประสบการณ์ มันเคยเกือบทำผิดพลาดจนต้องจบชีวิตลง แต่โชคยังดีที่เจ้าเมืองยืนอยู่ไม่ห่าง
ท่ามกลางแสงกระเพื่อมแผ่วเบาและต่อเนื่อง เดอร์ริคยกแขนขวาที่ถือขวานเฮอร์ริเคน กวาดตาไปรอบตัว
เด็กหนุ่มพบว่านอกจากฮาอิมและโจชัว สองเพื่อนร่วมทีมที่ควรตามมาจากด้านหลังแต่กลับหายตัวไปจากห้องใต้ดิน บนกำแพงหินเองก็มีความผิดปรกติเกิดขึ้น คราบแห้งกรังสีดำขนาดใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด คล้ายกับเพิ่งถูกใครบางคนพ่นทับลงไป
ภาพตรงหน้าทำให้เดอร์ริค ผู้คุ้นชินกับภารกิจสำรวจ เริ่มใจเย็นลงพลางประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่โจชัวหรือฮาอิม แต่เป็นตัวเขาเอง!
ที่เราทำมีแค่การเดินเข้ามาใกล้แท่นบูชา… อ่านสามชื่อในใจ… ตามปรกติแล้ว ถึงจะเป็นระดับเทวทูต แต่ก็ต้องเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยการท่องหรือการเขียน อีกฝ่ายจึงจะได้ยิน ‘คำวิงวอน’ แถมยังมีระยะห่างที่จำกัด… แต่ไม่แน่ใจว่าราชาเทวทูตจะเหมือนกันไหม…
อา… หรือว่าหนึ่งในสามชื่อเหล่านี้คือกุญแจที่ปลดปล่อยพลังลับของแท่นบูชา? ตัวเราที่ใช้ภาษาคนยักษ์ซึ่งมีอิทธิพลต่อพลังธรรมชาติ ดันไปกระตุ้นให้ปัญหาบังเกิด? ไม่สิ… มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ต้องท่องออกเสียงจึงจะสัมฤทธิผล ไม่เว้นแม้แต่พระนามของราชาเทวทูต เพราะเราไม่เคยประสบปัญหาในทำนองเดียวกันมาก่อน… เดอร์ริคหมุนตัวด้วยอารมณ์สับสนเจือกระวนกระวาย เดินย้อนกลับไปยังแท่นบูชา ย้อนกลับไปยังโต๊ะหิน
เด็กหนุ่มพลันผงะเมื่อพบว่า ถ้อยคำและสัญลักษณ์บนโต๊ะหินคมชัดและสมบูรณ์กว่าในตอนแรก ราวกับเจ้าของพิธีกรรมเพิ่งเสร็จสิ้นจิตรกรรมของตน
ถ้อยคำดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งภาษาคนยักษ์ หนึ่งภาษามังกร และอีกหนึ่งที่เดอร์ริคไม่ทราบ แต่สงสัยว่าจะเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณที่มิสเตอร์แฮงแมนและมิสจัสติสพูดถึง เพราะขณะที่ชุมนุมทาโรต์แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างอิสระ มันพอจะจับใจความได้บางคำ และคำเหล่านั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับอักษรบนโต๊ะหิน
เนื้อหาของภาษาคนยักษ์และมังกรมีความสอดคล้องกัน เป็นการทวนสามชื่อพร้อมกับสมญานาม
“เทวทูตโชคชะตา” โอโรเลอุส
“เทวทูตสีชาด” เมดีซี
“เทวทูตมืด” ซาสเรีย
ถัดจากชื่อและสมญานามคือวลีที่เดอร์ริคคุ้นเคย
“กุหลาบไถ่บาป” !
ซาสเรียเป็นเทวทูตจริงด้วย… เทวทูตมืด… ทั้งตัวท่าน เทวทูตโชคชะตา และเทวทูตสีชาด คือผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป? เราไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์ฟูลรู้จักไหม… ท่านน่าจะพอมีข้อมูล… ภาษาเฮอร์มิสโบราณก็น่าจะมีความหมายในทำนองเดียวกัน… คิดมาถึงตรงนี้ เดอร์ริคพลันเย็นสันหลัง รู้สึกราวกับตนได้เข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับการทอดทิ้งดินแดนของพระผู้สร้าง
เด็กหนุ่มแหงนหน้าอีกครั้ง มองเห็นเลือดสีแดงเต็มผนังและพื้น ฮาอิมกับโจชัวยังคงไม่ปรากฏตัว
การทวนชื่อซ้ำไม่ได้ผล… นี่อาจไม่ใช่วิธีกระตุ้นตั้งแต่แรก… เดอร์ริคถอนหายใจ ถือขวานเฮอร์ริเคนเดินกลับไปยังทางเข้าห้องใต้ดินอย่างระมัดระวัง หวังจะได้พบต้นตอของปัญหาเพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า ปัญหาเกิดจากสาเหตุใด
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เด็กหนุ่มที่ราวกับเป็นเทียนไขเล่มยักษ์ เดินกลับไปยังห้องโถงชั้นบน
เงามืดในห้องโถงเข้มข้นอย่างมาก บรรยากาศหม่นหมองและเงียบสงบ เก้าอี้ผุพังและโต๊ะหินวางอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบงัน ไม่แตกต่างจากในยามปรกติ
เดอร์ริคที่ยังคงไม่พบโจชัวและฮาอิม เดินไปทางหน้าต่างอย่างตึงเครียด หวังว่าจะได้พบสมาชิกทีมสำรวจคนอื่นด้านนอก
กึก กึก… ท่ามกลางเสียงย่างก้าวแผ่วเบา เด็กหนุ่มเข้าใกล้รูโหว่ที่เป็นกรอบกระจก เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตั้งใจมองสำรวจด้านนอก
อาคารมืดทึบจำนวนมากเรียงรายในสภาพแออัด สูงสลับต่ำ มีขั้นบันไดกั้นกลาง
ท่ามกลางสายฟ้าความถี่ต่ำด้านบน แสงเทียนสีเหลืองนวลจำนวนมาก กำลังส่องออกมานอกหน้าต่างในลักษณะวูบวาบ คงทน และยาวนาน
นี่มัน… เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ด้านนอกคือหมู่บ้านยามบ่ายก่อนที่จะประสบเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ชาวบ้านที่นี่ยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!
…
ฮาอิมที่ถือตะเกียงหนังสัตว์เดินผ่านทางเข้าห้องใต้ดินโดยไม่ต้องก้มตัว หันไปกล่าวติดตลกกับโจชัวด้านข้าง
“ทั้งที่บ้านหลังนี้เป็นของมนุษย์ แต่ต้นตระกูลน่าจะสืบเชื้อสายมาจากคนยักษ์ เพราะส่วนสูงไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร หึหึ… ซากเมืองที่เราเคยเข้าไปสำรวจคราวก่อน กว่าจะเข้าบ้านแต่ละหลังได้ต้องก้มแล้วก้มอีก ทั้งที่เป็นประตูหลักหน้าบ้าน”
การสืบเชื้อสายคนยักษ์ไม่ได้แปลว่าต้องมีเลือดคนยักษ์ไหลเวียนในร่างกาย แต่เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษซึ่งดื่มโอสถเส้นทางคนยักษ์เข้าไป ความสูงก็ถือเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นดังกล่าว
โจชัวแหงนหน้ามองฮาอิม พ่นลมหายใจ
“นั่นมันนาย ฉันไม่ต้องก้มสักหน่อย”
“แต่อีกเดี๋ยวนายก็ได้เลื่อนลำดับแล้ว ถึงตอนนั้นคงเตี้ยกว่าฉันไม่มาก” ฮาอิมยิ้มรับ พลางใช้หางตาชำเลืองเดอร์ริคที่กำลังเดินเข้าใกล้แท่นบูชา เจตนาคอยช่วยระวังหลัง
โจชัวครุ่นคิดสักพัก
“อันที่จริง ฉันแปลกใจในเรื่องหนึ่งมาสักพักแล้ว ท่านเจ้าเมืองที่เป็นถึงลำดับ 4 นักล่าปีศาจ ควรจะมีร่างกายเหมือนกับคนยักษ์ ต้องสูงสามถึงสี่เมตรไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดถึงได้ดูเหมือนมนุษย์ปรกติ สูงกว่าฉันแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น”
ฮาอิมมองไปรอบตัวตามความเคยชิน
“มีข่าวลือว่า ท่านเจ้าเมืองสามารถกลายร่างเป็นยักษ์ได้”
“กลายร่างเป็นยักษ์? หากใช้พลังดังกล่าว เสื้อผ้าจะขาดไหม?” โจชัวถามติดตลก
“ไม่น่าเหลือ… นอกจากเสื้อผ้าและกางเกงจะเป็นสมบัติวิเศษ” ฮาอิมและโจชัวหันมายิ้มให้กัน
ขณะเตรียมแบ่งปันมุกตลกกับเดอร์ริค เมื่อหันไปมอง ทั้งสองพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าได้หายตัวไปอย่างลึกลับ!
เดอร์ริคที่ควรยืนหน้าแท่นบูชา ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว!
สีหน้าของฮาอิมและโจชัวพลันดำมืด คนหนึ่งรีบชักดาบยาวเล่มใหญ่ อีกคนรีบเหยียดมือซ้ายที่สวมถุงมือสีแดง
พวกมันย่างกรายเข้าใกล้แท่นบูชาโดยไม่ประมาท ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบร่องรอยการหายตัวไป
ขณะโจชัวพยายามวิเคราะห์ถ้อยคำที่เขียนบนโต๊ะหิน ไหล่ของมันถูกบีบโดยฮาอิม
“ห้ามอ่าน… ถ้าจำไม่ผิด ก่อนที่เดอร์ริคจะหายตัวไป เขาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบน… พวกเรารีบไปตามท่านเจ้าเมืองมาที่นี่ดีกว่า”
“ตกลง” โจชัวพยักหน้า
ชายหนุ่มถอยห่างอย่างไม่แตกตื่น หลังจากมองไปรอบตัวหนึ่งหน โจชัวถูนิ้วกลาง จุดเทียนไขที่เหลืออยู่บนแท่นบูชา
มันทำไปเพื่อปกป้องเดอร์ริค มิให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์!
ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เคยสัมผัสประสบการณ์อันขื่นขมในทำนองเดียวกันมาแล้ว เหตุเกิดในซากปรักหักพังของเมืองหนึ่ง คล้ายกับสมาชิกทีมสำรวจหายตัวไปอย่างกะทันหัน แต่ความจริงแล้วยังอยู่ในจุดเดิม เพียงถูกพลังบางอย่างอำพรางไว้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนรวมทีมย่อมไม่ทราบ หลังจากเห็นว่าพวกพ้องหายตัว จึงกระวนกระวายและรีบออกไปขอความช่วยเหลือโดยนำตะเกียงติดตัวไปด้วย ส่งผลให้เหยื่อผู้น่าสงสารถูกความมืดมิดที่แท้จริงครอบงำ ไม่มีใครพบตัวอีกเลย หากไม่เพราะมีสมาชิกรายอื่นตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน แต่โชคดีถูกช่วยเหลือได้ทันการ ก็คงไม่มีใครทราบ ‘สาเหตุการตาย’ ของเหยื่อรายแรก
เทียนไขสว่างขึ้น แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องไปทั่วห้อง ฮาอิมและโจชัวรีบออกจากจุดเกิดเหตุทันที มุ่งหน้าไปยังตรอกด้านนอก เปิดใช้งาน ‘พลุวิญญาณ’ ที่ทุกคนพกติดตัว
โดยไม่ต้องรอนาน โคลิน·อีเลียดกระโดดจากหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
“เกิดอะไรขึ้น?” นักล่าปีศาจซักถามเสียงทุ้ม
ดาบเงินในมือถูกฉาบด้วยน้ำมันสีเทาอ่อน
ฮาอิมรีบเล่าอย่างคร่าว ปิดท้ายด้วย
“…พวกเราไม่พบร่องรอยการหายตัวไปของเดอร์ริค”
“เดอร์ริคสินะ…” โคลินพยักหน้าพลางครุ่นคิด เดินผ่านคนทั้งสอง นำหน้าเข้าไปในบ้านหลังที่เป็นปัญหา
…
ท่ามกลางแสงเทียนไขด้านนอก ที่ทั้งเหลืองนวลและอบอุ่น เดอร์ริครู้สึกคล้ายกับตนหลงเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ความเย็นยะเยือกภายในใจกำลังผุดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
เด็กหนุ่มกำขวานเฮอร์ริเคนในมือขวาแน่น ถอนสายตาออกจากวิวทิวทัศน์หมู่บ้าน หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องใต้ดิน หยุดยืนตรงหน้าแท่นบูชาอีกครั้ง
เดอร์ริคมั่นใจแล้วว่า ปัญหาอยู่ที่ตน!
แต่ถึงอย่างนั้นก็หักห้ามใจไม่สำรวจหมู่บ้านยามบ่าย ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตู
เดอร์ริคไม่แตกตื่นมากนัก ใบหน้าไม่เผยความตระหนัก ไม่คิดว่าตนกำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง
การที่เรายังไม่ตกอยู่ในอันตราย แปลว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่… เดอร์ริคถอนหายใจเงียบ ก้มศีรษะลงพลางพึมพำในใจ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
ไคลน์ ผู้กำลังดื่มด่ำวิวทิวทัศน์ของซากสงครามแห่งเทพข้างหน้าต่าง มีเหตุให้กลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ชายหนุ่มจัดแจงวัตถุสำหรับแทรกแซงการสอดส่อง เดินทวนเข็มสี่ก้าวส่งตัวเองเข้ามายังสายหมอกสีเทา
มันนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูงสีดำในตำแหน่งหัวโต๊ะ เหยียดแขนขวา แผ่พลังวิญญาณสัมผัสดาวแดงที่เป็นสัญลักษณ์แทนเดอะซันน้อย
เพียงพริบตา เสียงสวดวิงวอนพลันแจ่มชัดจนผิดวิสัย ฉากหนึ่งฉายในการมองเห็นของไคลน์
ภาพแรกเป็นเดอะซันน้อยที่ค่อนข้างเลือนราง ก่อนจะพบว่า มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวอีกฝ่าย!
เดอะซันถูกห้อมล้อมด้วยกระแสความมืดที่ยากอธิบาย ท่ามกลางความมืดดังกล่าว ดวงตารูปทรงต่างๆ นานากำลังเฝ้ามองอย่างเงียบงัน
ดวงตาทั้งหมดเบียดเสียดแนบชิด คลุมเครือ ลุ่มลึกและยับยั้ง ทำตัวเป็นผู้ชมด้วยความสงบจนเดอะซันน้อยไม่ตระหนักถึง
หมู่บ้านยามบ่ายอันตรายถึงเพียงนี้เชียว? ไคลน์ย่อมทราบว่าเดอะซันกำลังทำภารกิจใดอยู่
หลังจากครุ่นคิดสักพัก สัญชาตญาณได้ตักเตือนไคลน์ว่า ความมืดชนิดนี้ค่อนข้างประหลาดและขาดความสมจริง จึงล้มเลิกความคิดที่จะตอบสนองเดอะซันน้อยด้วย ‘คทาเทพสมุทร’ เปลี่ยนไปเป็นการดึงอีกฝ่ายขึ้นมาบนมิติสายหมอกแทน
ไคลน์แผ่พลังวิญญาณ แต่รู้สึกราวกับดาวแดงเป็นหนองน้ำ ยากที่จะดึงใครสักคนขึ้นมา
เขาไปล่วงเกินราชาเทวทูตตนใดเข้าอีก? ไคลน์รวบรวมความคิด พลางบังคับสายหมอกเบื้องล่างให้กระเพื่อมและไหลเวียน
หลังจากกลายเป็นลำดับ 5 ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพึ่งพาไพ่เย้ยเทพ ไม่ต้องพึ่งพาพิธีกรรม มันสามารถบงการพลังมิติแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง!
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งไคลน์ดึงอีกฝ่ายขึ้นมาสำเร็จ ร่างของเดอร์ริค ‘เดอะซัน’ ปรากฏบนเก้าอี้พนักยาวตัวประจำ
ระหว่างนั้น ไคลน์พบว่าความมืดที่ไหลเวียนรอบตัวเดอะซันน้อยค่อยๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ
…
นักล่าปีศาจเดินลงไปยังห้องใต้ดินด้วยความระมัดระวัง ด้านหลังเป็นฮาอิมและโจชัว
ก่อนจะได้เห็นแสงเทียนไข ร่างของเดอร์ริค·เบเกอร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในลักษณะการวาดภาพ เพียงไม่นานก็ถูกวาดจนเสร็จสมบูรณ์
………………………………………………