เล่มที่ 22 เล่มที่ 22 ตอนที่ 632 ข้าจะจดจำเจ้าไว้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีกระโดดขึ้นไปบนยอดกำแพงเมือง เป็นดั่งที่คาดไว้ นางเห็นเมฆสีดำดั่งเกลียวคลื่นจากทางนอกเมือง กำลังเคลื่อนที่มาทางนี้

แม้จะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไกลกว่าผู้อื่น ทว่าซูจิ่นซีมีอาคมกำไลปี่อั้น และมีการมองเห็นที่ชัดเจนกว่าผู้อื่นหลายเท่า

นางค่อยๆ เปิดอาคมกำไลปี่อั้น จนสามารถเห็นคิ้วดำขลับของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดุร้ายราวกับภาพวาด เขากำลังควบม้าห้อตะบึงมาราวกับเทพเซียนที่ลงมาจากสรวงสวรรค์

แม้ระยะทางจะห่างไกลอยู่บ้าง ทว่าซูจิ่นซีสามารถมองเห็นรอยคล้ำใต้ตาของเขาอย่างชัดเจน เนื่องจากเขาเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน

ก่อนหน้านี้มีสัตว์เทพกิเลน ต่อมามีขุนพลผีของโยวอ๋อง ทั้งสองฝั่งยังขนาบด้วยคนของฉีอ๋อง และคนของอู๋จุนกับฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง พวกเขาไร้หนทางหลบหนี ต่างทิ้งอาวุธที่อยู่ในมือและยอมจำนน

นี่เป็นครั้งแรกที่หลานอวี่และกูสือซานรวมถึงคนอื่นๆ พ่ายแพ้ ทันใดนั้น พวกเขาก็ปล่อยแมลงปอโลหิตออกมา และอาศัยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อหลบหนีไป

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกับตอนที่อยู่ในสนามประลอง ยาเม็ดสีชมพูสามเม็ดถูกโยนขึ้นไปในอากาศ เมื่อยาระเบิด ผงสีชมพูอ่อนก็กระจัดกระจาย ทันทีที่แมลงปอพิษสัมผัสผงฝุ่นนั้น พวกมันก็ไม่กล้าเข้าใกล้เหล่าทหารที่อยู่บนพื้นด้านล่าง และบินตามหลังหลานอวี่และคนอื่นๆ ไป

ซูจิ่นซีกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าของเยี่ยโยวเหยา นางโอบกอดเยี่ยโยวเหยาจากทางด้านหลังอย่างแนบแน่น

“เยี่ยโยวเหยา ไล่ตามพวกเขาไป ไม่อาจปล่อยให้จงซูอี้หนีไปยังแคว้นไหวเจียงกับพวกหลานอวี่ได้”

เยี่ยโยวเหยาประหลาดใจกับทักษะของซูจิ่นซีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทว่าสำหรับซูจิ่นซีที่มีพลังสยบมังกร ก็มีความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผล

มุมปากของเยี่ยโยวเหยาพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย “ซูจิ่นซี เจ้าช่างบังอาจนัก ไม่คิดว่าจะกล้าเรียกใช้ข้าจริงๆ พูดมา หากข้าเต็มใจทำตามที่เจ้าร้องขอ เจ้าจะมีสิ่งใดตอบแทน! ”

ซูจิ่นซีเห็นร่างของจงซูอี้และคนอื่นๆ ห่างไกลออกไปทุกที จึงเป็นกังวลใจอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าชายผู้นี้ยังมีเวลาพูดเรื่องเหล่านี้อีก

นางขมวดคิ้วแน่น

“หากไม่อยากทำก็ช่างมันเถิด หม่อมฉันไล่ตามเอง” นางพูดพลางกระโดดขึ้น และพยายามใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไป ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็รั้งซูจิ่นซีไว้ “บัญชีครั้งนี้ ข้าจะจดจำไว้ก่อน”

แม้จะเป็นคำพูดสวยหรู ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ซูจิ่นซีกลับรู้สึกสันหลังเย็นวาบ และรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

นางรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย นางขึ้นมาบนหลงม้าของเยี่ยโยวเหยาทำไม? ใช่แล้ว… ทำร้ายตนเองแท้ๆ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ตอนไล่ตามจงซูอี้ ม้าของกองทัพสกุลจงที่อยู่นอกเมืองมีมากมาย เพียงชิงม้ามาสักตัวก็ได้แล้วมิใช่หรือ?

ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาคาดเดาความคิดของซูจิ่นซีได้อย่างไร เขาราวกับหนอนตัวกลมที่อยู่ในท้องของซูจิ่นซี สามารถมองผ่านสิ่งที่อยู่ในใจของซูจิ่นซีได้อย่างชัดเจน

เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายอีกครั้ง “ชีวิตคนเราไม่มีโอกาสให้ย้อนกลับ ซูจิ่นซี เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

ม้าของเยี่ยโยวเหยาย่อมเป็นม้าชั้นเลิศ เพียงพริบตาก็ไล่ทันพวกจงซูอี้

ซูจิ่นซีกระโดดขึ้นไป และร่อนลงเบื้องหน้าของจงซูอี้ ขวางทางจงซูอี้และคนอื่นๆ ไว้

หลานอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าเป็นคนฉลาดรู้ทันสถานการณ์ดี คิดว่าอาศัยเจ้าเพียงผู้เดียว จะหยุดพวกเราได้หรือ? ”

“ผู้ใดบอกว่าข้ามาเพียงผู้เดียว? ”

เมื่อสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็เหาะลงมาอยู่ข้างกายนาง จากนั้นก็ชักกระบี่เสวียนหยวนมาถือไว้ในมือ

เยี่ยเซินเห็นกระบี่เสวียนหยวนในมือของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะมองกระบี่จื๋ออิ่งในมือของซูจิ่นซีอีกครั้งด้วยแววตาเจ็บปวด ทว่าไม่นานนัก ความเจ็บปวดก็กลายเป็นความริษยาและความเคียดแค้น

กูสือซานมองซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา พลางหรี่ตาลง “แม้จะมีโยวอ๋องอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะพวกเราได้ ว่าไปแล้ว พระชายาโยวอ๋อง เจ้าเป็นเพียงหลานสาวของสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี ทั้งพวกเจ้ายังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในแคว้นหนานหลี ทว่าราชครูอย่างข้าขอเตือนพวกเจ้า โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋อง อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

หากพูดถึงจำนวนคน ฝ่ายกูสือซานและหลานอวี่มีเพียงสี่คน ต่อให้วรยุทธ์ของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีจะสูงส่งมากเพียงใด ก็ยังเสียเปรียบในด้านกำลังคน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด เมื่อสิ้นเสียงพูดของกูสือซาน ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

“หากเพิ่มข้าอีกคนเล่า! ”

เสียงนั้นคืออู๋จุน

เสื้อคลุมสีแดงพราวเสน่ห์ดั่งเมฆสีแดงเพลิงอันสดใสพลันเหาะลงมาข้างกายซูจิ่นซี

สามคนโจมตีสี่คน ก็ยังเสียเปรียบอยู่ กูสือซานขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่เห็นคนทั้งสามอยู่ในสายตา

ต้องทราบว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แม้วรยุทธ์ของเยี่ยเซินจะอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อย ทว่าพวกเขายังมีสารพิษที่สามารถใช้ประโยชน์ได้

ทว่าตอนที่กูสือซานครุ่นคิดว่าพวกตนได้เปรียบ ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เพิ่มฮูหยินอย่างข้าอีกคน! ”

ร่างสง่างามหรูหราของฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง เหาะมายืนเคียงข้างซูจิ่นซีและคนทั้งสาม

จากนั้น มู่หรงฉีก็ตามมา พวกเขาต่างยืนเคียงข้างกัน

ตอนนี้ พวกกูสือซานจำเป็นต้องเคลื่อนไหวแล้ว

“ทิ้งจงซูอี้ไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า! ” มู่หรงฉีเอ่ย

ฝ่ายกูสือซานเผยแววตาหม่นหมอง ทว่ากูสือซานกลับยืนกรานอย่างกล้าหาญ “ฉีอ๋องวาจาสามหาวยิ่งนัก วันนี้ผู้ใดไม่ไว้ชีวิตผู้ใดนั้น ยังไม่แน่! ” เขาพูดพลางเริ่มจู่โจม

ทว่าหลานอวี่กลับขัดขวางกูสือซาน ดวงตาของนางทอประกายเย็นชา และผลักจงซูอี้ไปทางมู่หรงฉีอย่างแรง “เพียงชีวิตของสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น หากฉีอ๋องต้องการก็เอาไปได้”

จงซูอี้ที่ถูกผลักไปตรงกลางของทั้งสองฝ่าย ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น เขาทรยศแว่นแคว้นตนเองและญาติพี่น้องอย่างไม่ลังเล ทำงานให้แคว้นไหวเจียงตั้งมากมาย กลับคาดไม่ถึงว่า ในเวลาวิกฤตเช่นนี้ แคว้นไหวเจียงกลับผลักไสเขาออกไป ทั้งยังพูดว่าเขาเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น

นี่นับเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของจงซูอี้

ใบหน้าของจงซูอี้ถมึงทึง พลางจ้องไปที่หลานอวี่ด้วยสายตาโกรธแค้น

หลานอวี่ไม่แม้แต่จะชายตามอง นางไม่เห็นจงซูอี้อยู่ในสายตา

“จงซูอี้ เจ้าสามารถเสียสละเพื่อให้เจ้าสำนักและราชครูกูหนีไปได้อย่างปลอดภัย นับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแล้ว เมื่อกลับไป เจ้าสำนักอย่างข้าจะทูลต่อฮ่องเต้แคว้นไหวเจียง เพื่อมอบตำแหน่งวีรบุรุษขั้นหนึ่งให้เจ้า สำหรับการเสียชีวิตในหน้าที่”

เคราของจงซูอี้สั่นไหวอย่างรุนแรง “หลานอวี่ เจ้า… ช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอาย”

จงซูอี้พูดพลางหันไปโจมตีหลานอวี่ ดูเหมือนหลานอวี่จะเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว นางเบี่ยงตัวหลบหนี จากนั้นจึงหยิบขลุ่ยสั้นจากแขนเสื้อออกมาเป่า

ทันใดนั้น จงซูอี้ก็ล้มลงบนพื้น พลางกุมท้องเอาไว้ และร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาพลันซีดขาว หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ

ดวงตาของหลานอวี่ยังคงดุดัน หลังจากเป่าขลุ่ยสั้นเป็นการเตือนแล้ว จึงมองจงซูอี้ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างภาคภูมิใจ

จงซูอี้ค่อยๆ ฟื้นกำลัง เขามองหลานอวี่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “พวกเจ้า… พวกเจ้าวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อใด”

แม้เขาจะศึกษาวิชาแพทย์ ทว่าหลายปีมานี้ได้เจอกับพิษมาไม่น้อย ทว่ากลับถูกผู้อื่นวางยาพิษอย่างเงียบงัน นึกไม่ถึงว่าตนเองกลับไม่ทันสังเกตเห็น

“สุนัขดีไม่กัดเจ้าของ จงซูอี้ เจ้าอยู่มาทั้งชีวิต นึกไม่ถึงว่ายังไม่เข้าใจหลักเหตุผลนี้ ผู้ที่ทรยศต่อแคว้นไหวเจียง เจ้าสำนักอย่างข้าไม่แก้พิษให้อย่างแน่นอน ทว่าพิษเผ่าเหมียวนี้ พระชายาโยวอ๋องสามารถถอนพิษได้ เจ้าจะเลือกอย่างไร ก็สุดแล้วแต่เจ้าเถิด! ”

ดวงตาของจงซูอี้ทอประกายประหลาดใจชั่วครู่

เขาร่วมมือกับแคว้นไหวเจียงมานานหลายปี ย่อมรู้จักนิสัยของหลานอวี่เป็นอย่างดี หลานอวี่พูดว่าไม่แก้พิษให้ ก็คือไม่แก้พิษให้อย่างแน่นอน