“ลูกหลานของท่านคนนึงตายในคดีบูชาปีศาจด้วยรึคะ? ทำไมศาสนจักรไม่พูดถึงเลย?” แคทริน่าถามด้วยความประหลาดใจ

แวมไพร์ถูกมองว่า ‘ชั่วร้าย’ ไม่ต่างจากนักเวท ศาสนจักรน่าจะโยนความผิดทั้งหมดให้แวมไพร์ได้เหมือนกัน

ไวเคานต์คาเรนเดียวนแก้วไวน์ในมือ “เขาเป็นลูกหลานที่ข้ามีตอนเดินทางมาที่จักรวรรดิชาชรานครั้งก่อนนู้น เขาเป็นขุนนางที่โดดเด่น หลังจากความเป็นแวมไพร์ของเขาถูกเปิดเผยจากศพ พวกขุนนางกดดันให้ศาสนจักรปิดบังเรื่องนี้ ไม่ยอมให้ภาพลักษณ์ขุนนางแปดเปื้อน เพราะยังไงก็มีนักเวท ‘ชั่วร้าย’ ให้โยนความผิดอยู่แล้ว”

“กระจ่างเลยค่ะ แล้วท่านพบเบาะแสอะไรไหมคะ ท่านไวเคานต์?” แคทริน่าพยักหน้าและถามด้วยความคาดหวัง นางหวังว่าไวเคานต์แวมไพร์ตนนี้ที่สามารถระบุที่ตั้งหลุมศพอัศวินได้ จะมีข้อมูลเพิ่มเติมอีก

ไวเคานต์คาเรนเดียเอนหลังพิงต้นไม้ท่าทางสบายๆ ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตนเหมือนกับที่แวมไพร์ตนอื่นชอบวางท่า “ถึงข้าจะสัมผัสได้ถึงความตายของลูกหลานได้จากระยะไกล แต่ข้ายืนยันตัวตนไม่ได้ชัดเจน ข้ามีข้อมูลลับมากพอตอนมาที่นี่ แต่เบาะแสสำคัญส่วนใหญ่หายไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอเบาะแสไหมพอๆ กับเจ้า”

“ท่านตรวจศพอัศวินหรือยังคะ? พลังโลหิตของเขาถูกอะไรผนึกไว้?” แคทริน่าถามขณะใช้เวทมนตร์เปิดหลุมฝังศพ แต่ก็ยังระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะ ‘คนคุ้นเคย’ ไม่ได้หมายคว่ามว่าจะไม่อันตราย

“จริงอยู่ที่ข้าเชี่ยวชาญการระบุร่องรอยบนศพ” ไวเคานต์คาเรนเดียบอกเป็นนัยๆ ว่าแคทริน่าถามถูกคนแล้ว แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า “แต่เจ้าต้องมีศพให้ข้าชันสูตร”

แคทริน่าตะลึง “ท่านจะบอกว่าไม่มีศพในหลุมฝังศพนี่เหรอคะ?”

โลงศพถูกเวทมนตร์ดึงออกมา หลังจากหลุมฝังศพถูกเปิดออก แล้วฝาโลงศพก็ถูกเคลื่อนออก ภายในโลงศพไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้ากับโกศกระดูก

“ถ้าเรารู้ว่าศพต้องมีอะไรผิดปกติ แล้วคนที่บงการพิธีบูชาปีศาจจะปล่อยไว้ทำไม? ตามข้อมูลที่ข้าได้ พวกขุนนางไม่ปล่อยให้เรื่องแวมไพร์ที่บูชาปีศาจเล็ดลอดไปหรอก พวกนั้นชำระศพด้วยไฟก่อนจะฝังเขา” ไวเคานต์คาเรนเดียก็ดูผิดหวังภายใต้แสงจันทร์สีเงินที่สาดลงมา

แวมไพร์บูชาปีศาจ? ดูเหมือนอัศวินคนนี้เป็นลูกหลานของไวเคานต์คาเรนเดีย… แคทริน่าคิดอยู่ในใจ

“ข้าตามสืบครอบครัวของเขา และไม่พบอะไรที่น่าสงสัย เพื่อนสนิทของเขาก็อยู่ในวงขุนนางนี้ คงไม่ง่ายที่จะสืบเรื่องของทุกๆ คน เราคงต้องแอบเข้าไปที่กองไต่สวนหาเอกสารของศาสนจักร” ไวเคานต์คาเรนเดียพูดถึงแผนการที่ไม่น่าอภิรมย์นัก

เหมือนๆ กับ ‘แผน’ ของเรา แคทริน่าคิดในใจ “ข้าขอให้สภาส่งนักเวทอาวุโสมาช่วยเราได้นะคะ”

และท่านก็อาจขอให้พ่อของท่านมาช่วยเราได้ พวกเขาน่าจะเป็นแวมไพร์ที่ทรงพลังในระดับเดียวดยุกหรือเคานต์

“เขาเป็นลูกหลานของข้า จนกระทั่งเกิดอันตราย ข้าต้องหาตัวฆาตกรด้วยตัวเองในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’” ไวเคานต์คาเรนเดียพูดด้วยความเคร่งขรึมกว่าปกติ

ผู้ปกครอง… แคทริน่ามองใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายและผมสีทองอันทรงเสน่ห์ของคาเรนเดีย แล้วจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล สิ่งมีชีวิตอายุยืนยาวอย่างแวมไพร์สามารถดูแลหลานของหลานของหลานของหลานได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ซึ่งเกินกว่าที่นางจะจินตนาการถึง

“ข้าสืบเรื่องของนักเวทที่ตายแล้ว กำลังหาตัวคนที่เขาติดต่อด้วย แต่ไม่มีใครเห็นเขาเลย ยกเว้นระหว่างตอนเกิดเรื่อง ไม่มีใครรู้ว่ากับร่วมมือกับใคร เขาคงปลอมตัวมา เจ้ามีเบาะแสอะไรเรื่องนี้ไหม?” ไวเคานต์คาเรนเดียเปิดเผยจุดประสงค์

แคทริน่าคิดอยู่พักหนึ่ง นางมาที่นี่ตัวคนเดียว มีผู้มีพลังมากมายในเมืองคาเรนเดีย ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่สามของเขตการปกครองตอนเหนือ ถ้ามีคนคอยช่วยเหลือนางก็น่าจะปลอดภัยกว่า ดังนั้น นางจึงเปิดเผยข้อมูลลับที่ได้มาจากยาคอฟให้กับไวเคานต์คาเรนเดียรับรู้

“ดยุกดูด้าใกล้ชิดกับลูกหลานของข้า เขาจึงน่าสงสัยมาก” ไวเคานต์คาเรนเดียพูดด้วยทำนองกวี วี่แววความขี้เกียจบนหน้าเขาหายไป ดวงตาสีทองของเขาเปล่งประกาย

ที่สำคัญที่สุด ดยุกดูด้าคนนี้ค่อนข้างลึกลับ ไวเคานต์คาเรนเดียสงสัยเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“เบาะแสส่วนใหญ่ไม่สมประกอบแล้ว แต่เบาะแสที่มีอยู่ทั้งหมดชี้ไปที่ดยุกดูด้า บางที่เราน่าจะไป ‘เยี่ยม’ เขากันนะ แคทริน่า เจ้าจะไปกับข้าไหม?” ไวเคานต์คาเรนเดียเรียกชื่อนางราวกับเป็นเพื่อนสนิท

แคทริน่ายิ้มแหยๆ ตอบ “ข้ากำลังจะชวนท่านพอดี ท่านไวเคานต์ แต่ว่าตอนนี้ดยุกดูด้าอยู่ในเขตขุนนาง ข้าเกรงว่าเราต้องรอโอกาสไปก่อน”

“เดี๋ยวเขาก็ต้องออกจากเมืองบ้างล่ะ” ไวเคานต์คาเรนเดียกระดกแก้วไวน์ในเมือ แล้วคลี่ผ้าคลุมหลัง “ข้าจะไปกับเจ้า เมื่อถึงเวลา”

แล้วดูเหมือนเขาจะสลายตัวหายไปกับความมืด ทิ้งเสียงหัวเราะไว้พร้อมกับความเห็นขบขัน “เขาคิดว่ามีผู้ยิ่งใหญ่หนุนหลัง แต่เราไม่มีหรือไง? บางที ฝ่ายเราจะยิ่งใหญ่และทรงอำนาจยิ่งกว่า…”

“ทรงอำนาจยิ่งกว่า…” แคทริน่าพูดทวนซ้ำโดยไม่รู้ตัว แล้วนางก็มองไปรอบๆ แล้วยกมือทาบอก “เกือบบอกไปแล้วว่าอาจารย์ก็เป็นปีศาจเหมือนเขา ขอบคุณพระเจ้าที่อาจารย์ไม่อยู่ที่นี่…”

เวลาผ่านไป ยาคอฟที่ตกอยู่ภาวะกังวลและรอคอย ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน และได้รับคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง เขาเก็บข้าวเก็บของและนำบรรดาลูกน้องติดตามไปยังที่ดินที่ได้รับ

“พี่แคทริน่า ท่านไม่มากับเราจริงๆ เหรอ?” แอนนาถึงกับสะอึกสะอื้น ไม่อยากแยกจากเพื่อนที่เป็นเหมือนกับพี่สาวของตน แม่ของนางสิ้นใจตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก และนางก็โหยหาความรักความเอาใจใส่จากผู้หญิงที่มีอาวุโสกว่ามาตลอด

ยาคอฟกระแอมพูดตะกุกตะกัก “จริงๆ แล้ว เราก็ต้องการที่พัก และโรงแรมราคาก็ไม่ถูกเลย”

แคทริน่าส่ายหน้ายิ้ม “ข้ากับเพื่อนร่วมทางใหม่ที่จะไปทะเลทรายพร้อมกับข้า ข้าจะร่วมมือกับพวกเขา ขอขอบใจท่านมาก ข้าจะแวะไปเยี่ยมพวกท่าน หลังจบเรื่องการผจญภัย”

และนั่นเป็นการบอกลาอย่างเป็นทางการ

“พี่แคทริน่า พี่เจอเพื่อนร่วมทางใหม่งั้นเหรอ? ทำไมข้าไม่รู้เลย?” แอนนาถามด้วยความสับสน

“ช่วงนี้เห็นเจ้ายุ่งๆ ตลอด เจ้าจะมารู้ได้ไง?” แคทริน่ากับเลย์เรียมีความอดทนสูงและคิดอะไรรอบคอบ เพราะฉะนั้น ทั้งสองเลยโดดเด่นกว่าใครๆ ในการเรียน

“แต่จริงๆ แล้ว สถานะของพี่ พี่แคทริน่า พี่ไม่ต้องไปหาสมบัติจากการผจญภัยหรอก มีคนมากมายพร้อมจะเสนอสมบัติให้กับพี่” แอนนาพูดทีเล่นทีจริง

แคทริน่าลูบผมสีทองของนางพร้อมกับรอยยิ้ม “วิธีนั้นง่ายก็จริง แต่ไม่ใช่เส้นทางที่ข้าต้องการ มีเพียงสิ่งที่เจ้าเข้าใจลึกซึ้งเท่านั้นที่เป็นของเจ้า มันมั่นคงกว่าและช่วยให้เจ้าเดินไปได้ไกลกว่า”

นางปฏิเสธนัยในคำพูดของแอนนา แต่หมายถึงความมุ่งมั่นกับอาร์คานาศาสตร์เสียมากกว่า

“พี่แคทริน่า พี่พูดยังกับพวกนักปราชญ์เลย…” แอนนาทำจมูกฟุดฟิด

เจ้ายังไม่รู้เรื่องพื้นฐานของปรัชญาเลย… แคทริน่าเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเมื่อนางคิดถึงสมการสนามแรงอีวานส์และคุณสมบัติที่ยังต้องค้นหาต่อไปของอนุภาคระดับจุลภาค แม้อาจารย์ของนางเคยบอกไว้ว่าเขาเองก็ยังสับสนบ่อยๆ คนที่ไม่งงงวยกับโลกจุลภาคและกลศาสตร์ควอนตัมคือคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้เลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น นางก็รู้สึกถึงช่องว่างระหว่างนางกับเพื่อนๆ นางไม่อาจเข้าไปร่วมในชีวิตพวกเขาได้ และพวกเขาก็ไม่มีวันเข้าใจเรื่องที่นางศึกษา

เมื่อเห็นยาคอฟ แอนนา และทุกคนออกเดินทาง แคทริน่าก็เก็บของออกจากโรงแรม เดินปะปนเข้าไปในฝูงชนบนถนน

ขณะที่นางเดินไป จู่ๆ แคทริน่าก็สางผมและเดินเลี้ยวเลาะไปตามซอยต่างๆ ของเมืองคัลเคตอย่างเร่งร้อน

เมื่อนางพยายามเดินผ่านซอยที่ว่างเปล่า ชายท่าทางเหมือนคนบ้านคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าและหัวเราะเสียงแหลม “เจ้าฉลาดมาก แต่ยังไม่มากพอจะกำจัดพวกเรา!”

เขาทำจมูดฟุดฟิดๆ แล้วก็พูดส่อความลามก “กลิ่นหอมของเจ้าหักหลังเจ้า”

ตอนนั้นเอง ชายร่างกำยำอีกคนหนึ่งก็เข้าถึงตัวแคทริน่าจากด้านหลัง ปิดทางหนีของนาง “ท่านหญิง ท่านล่อเราเข้าในในซอยเปลี่ยวงั้นเหรอ?”

“สะกดรอยตามข้าทำไม?” แคทริน่าถาม เสียงของนาง ‘สั่นเครือ’

“เพราะเจ้าไปไหนมาไหนกับพวกมัน…” ชายที่อยู่ตรงหน้าหน้าหยุดพูดและหัวเราะออกมา “ลงมือเลย เรามีเวลาทำความรู้จักกับสาวสวยคนนี้ถมเถ”

เขายังไม่ทันพูดจบประโยคตอนที่เห็นแคทริน่าเงยหน้าขึ้น ประกายในตาสีน้ำเงินของนางเป็นริ้วๆ น่าหลงใหล ราวกับทะเลสาบน้ำใสในป่าลึก

ชายด้านหลังคว้าคอของแคทริน่า แล้วทันใดนั้นสีหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวด ฟันของเขาหลุดออกจากปาก ขณะที่ตัวลอยกระเด็นไปไกลติดกำแพง

เขามองเพื่อนที่จู่โจมเขา และถามด้วยความตกใจ “เจ้าทำบ้าอะไร?”

แสงสีเขียวเป็นประกาย ตาของเขาไร้แววตา เขายืนนิ่งงุนงง

แปะ แปะ แปะ มีเสียงคนปรบมือ ชายผมทองปรากฏตัวขึ้นจากมุมหนึ่งในซอย เขายิ้ม “บางครั้งเวทมนตร์ก็ทุ่นเวลาได้มากนะ”

“ท่านไวเคานต์ ข้าไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่” แคทริน่าค้อมศีรษะแสดงความเคารพ

“ไม่ ข้าตั้งใจมาหาเจ้า เพราะดยุกดูด้าออกจากคฤหาสน์มาแล้ว” ไวเคานต์คาเรนเดียวเดินเข้ามาหาแคทริน่า

เมื่อเขาเดินทางชายร่างกำยำ เขาทำท่าเกร็งจมูก แล้วเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “เหม็นอะไรขนาดนี้ พวกมันเป็นมนุษย์หมาป่า ให้ตายเถอะ พวกมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”

“มนุษย์หมาป่า?” นางมองชายร่างกำยำทั้งสองที่มีผมสีเทา แคทริน่าระบุตัวตนทั้งคู่ได้ด้วยเวทมนตร์

ความมืดมิดมาเยือนยามวิกาล

ยาคอฟตกใจตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ก่อนจะพบว่าร่างของเขาไม่เหลือความแข็งแกร่งอยู่แม้แต่น้อย เขามองไปรอบๆ ด้วยอารามตกใจ และเห็นแอนนากับทหารรับจ้างคนอื่นๆ ถูกขังอยู่ในห้องขัง

“นี่มัน…” แล้วเขาก็จำได้ว่าการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันเกิดขึ้นจริง เขาไม่มีทางต่อกรกับอัศวินหลวง แล้วเขาก็สลบไป

“หัวหน้า…” เสียงที่ดูเหมือนจะร้องไห้ของแอนนาดังก้อง นางไม่เข้าใจว่าทำไมพวกตนจึงถูกลอบโจมตีในคฤหาสน์ด้วยกลุ่มศัตรูที่พวกนางไม่อาจต่อกรได้ ตอนที่พวกมันคร่าชีวิตทหารรับจ้างที่อันตรายอย่างพวกนางได้! นางรู้สึกเย็นสะท้านและหวาดกลัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

หรือว่าพวกเขาจะต้องมาตายในตอนนี้?

หลังสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด ยาคอฟระงับความกลัวด้วยอำนาจจิตอัศวิน เขาปลอบบรรดาลูกน้อง “ไม่ต้องกังวล พวกมันยังไม่ได้ฆ่าเราทิ้ง แสดงว่าเรายังมีประโยชน์ เรายังมีโอกาส”

“ฮ่า ฮ่า เจ้ายังไม่ตายก็เพราะพิธีกรรมต้องการสิ่งมีชีวิตเป็นๆ” เสียงที่ฟังดูน่าสยดสยองดังออกมาจากมุมหนึ่งในห้องขัง

ดวงตาของยาคอฟจ้องเขม็ง “ดยุกดูด้า!”

……………………………………….