ตอนที่ 60 - 2 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

วาจาทุกประโยคที่ออกมาจากปากของราชครูฝ่ายขวาล้วนทำให้นางดั่งถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง ไม่เพียงแต่มีความคิดความห่วงใยที่ราชครูอาจจะไม่ยอมถ่ายทอดต่อคนนอกตลอดกาล อีกทั้งอาจจะเป็นความลับของราชวงศ์ที่เขาทุ่มเทใจเปิดเผยครั้งแรก ความลับของพระราชวัง ความจริงที่ไม่อาจสัมผัสที่สุดที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกประวัติศาสตร์และเรื่องเก่าเหล่านั้น เจือด้วยลมหายใจกลิ่นคาวโลหิตแห่งราชสำนักที่ฝังลึกถึงขนาดไม่อาจสนทนาบนกระดาษ ทำได้เพียงถ่ายทอดคนต่อคนปากต่อปากโดยผู้ที่สูงส่งที่สุดในราชสำนัก

 

 

ฟังไม่กี่ประโยคนางย่อมสิ้นหวังแล้ว…อย่าว่าแต่นาง ต่อให้เป็นรองเสนาได้ยินวาจาเช่นนี้ยังได้แต่ไปสิ้นชีพ

 

 

เพราะนางกระทำผิดเอง หากแต่แรกเริ่มนางไม่สนใจพะว้าพะวังมากมายขนาดนั้น ไม่หวาดกลัวขนาดนั้น คุกเข่าขออภัยโทษโดยพลันยามราชครูปรากฏกาย หลีกเลี่ยงไม่ให้ราชครูระบายความในใจผิดคน บางครั้งนางอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต

 

 

ยามนี้…จบสิ้นกันแล้ว…

 

 

“อย่าสูญสิ้นความหวังโดยง่าย” จิ่งเหิงปัวผลักเหมิงหู่กับอวี่ชุนออก ประคองนางขึ้นมา ร้องว่า “ข้าน่ะไม่เคยได้ยินว่าสวมเสื้อผ้าชุดเดียวยังเป็นโทษประหารชีวิต! ยิ่งกว่านั้นเสื้อผ้าชุดนี้ข้าเป็นผู้บังคับเจ้าสวมใส่ก่อนเอง!”

 

 

จื่อหรุ่ยมีความทุกข์ยากจะเอ่ย แอบหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ

 

 

“ฝ่าบาท” เสียงของกงอิ้นเย็นชานัก เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงหลีกเลี่ยงชั่วคราว”

 

 

“ที่แห่งนี้คือวังบรรทมของข้า” จิ่งเหิงปัวหันกาย นึกไม่ถึงว่ากงอิ้นจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้ ในใจเกิดเพลิงโทสะเช่นกัน ชี้จมูกของตนเอง กล่าวว่า “กงอิ้น ข้ายังเป็นราชินีอยู่หรือไม่?”

 

 

กงอิ้นหันหน้ามา ปลายจมูกดุจน้ำแข็งหยกเยือกเย็นในแสงอาทิตย์อัสดงเลือนราง ทรวดทรงแจ่มชัดดุจหิมะสลัก

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เสียงไร้ซึ่งอารมณ์แม้เพียงน้อยเช่นกัน

 

 

“ข้าคือผู้ปกครองสูงสุดแห่งแคว้นใช่หรือไม่”

 

 

“ในพระนาม ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ข้ามีอำนาจอภัยโทษให้ผู้อื่นหรือไม่?”

 

 

“ขอเพียงอีกฝ่ายมีโทษไม่ถึงประหารชีวิต”

 

 

“สวมอาภรณ์ชุดหนึ่งเป็นโทษประหารชีวิตหรือไม่?”

 

 

“สวมชุดพิธีการของราชินีมีโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

 

 

“ชุดนั้นไม่ใช่ชุดพิธีการของข้า คือกระโปรงธรรมดาที่ข้าสวมยามปกติ”

 

 

“เช่นเดียวกัน”

 

 

“ข้าไม่เอาเรื่อง!”

 

 

“พระองค์ไม่เอาเรื่อง ย่อมมีผู้อื่นปฏิบัติตามกฎระเบียบมาเอาเรื่อง”

 

 

เหมิงหู่กับอวี่ชุนลากจื่อหรุ่ยไว้ เดินอ้อมจิ่งเหิงปัวขึ้นไปเบื้องหน้า

 

 

สตรีนั้นไม่แค่นแม้เสียงหนึ่ง เส้นผมยาวสยายลงมา สูญเสียความคิดร้องขอชีวิตแลไม่มุ่งหวังได้รับความช่วยเหลือ

 

 

กงอิ้นหลบหลีกสายตาบีบคั้นของจิ่งเหิงปัว หันกายไป

 

 

เสียงของจิ่งเหิงปัวแว่วมาจากหลังกายเขาอย่างชัดเจน

 

 

“หรือว่าราชินีเช่นข้านี้ หวังปกป้องผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งยังทำไม่ได้หรือ?”

 

 

เสียงดั่งคล้ายเศร้าสลดโศกศัลย์

 

 

ในใจกงอิ้นสะท้านวูบ

 

 

นางได้รับบาดเจ็บแล้ว

 

 

สตรีที่อิสระร่าเริง ภายในใจเกรียงไกรเกลี้ยงเกลาคล้ายจะไม่ถูกกักขังในแดนเลวร้ายชั่วกาลนางนี้ ในที่สุดยังคงได้รับบาดเจ็บแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ที่เดิม กุมกำปั้นแน่น สั่นระริกเพียงน้อย

 

 

นางน่ะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้

 

 

มองดูคล้ายมีเพียบพร้อมทุกสิ่ง แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

เขาจะใช้ผลลัพธ์น่าเวทนาเช่นนี้มาเตือนนางว่านิสัยตามใจตนของนางตนเองอาจจะไร้บาดแผล แต่จะทำให้คนข้างกายจะประสบเคราะห์ร้ายน่าเวทนาเหรอ?

 

 

เขาจะบอกนางว่าอย่านึกว่าการแสดงความสามารถโดดเด่นในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จจะทำให้นางกลายเป็นราชินีที่แท้จริง เบื้องหน้ามหาอำนาจที่เขาควบคุมไว้เนิ่นนานแล้ว นางคือหุ่นเชิดตลอดไป!

 

 

คือหุ่นเชิดคนหนึ่งซึ่งแม้แต่คนบริสุทธิ์ข้างกายยังไม่อาจปกป้อง!

 

 

จื่อหรุ่ยถูกลากออกไปอย่างเงียบเชียบ สวมเพียงกระโปรงซับในสีขาวทั่วร่าง กระโปรงยาวสีม่วงโรยราฝุ่นธุลี มัวสลัวอับสีสัน

 

 

กงอิ้นก้าวข้ามประตูอย่างแผ่วเบา

 

 

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฝ่ามือในแขนเสื้อเขากลายเป็นกำปั้น หลังมือผุดเผยเส้นโลหิตเขียว

 

 

ดุจดังไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าครู่หนึ่งนั้นเขาผิดหวังตื่นกลัวเจ็บปวด อารมณ์ดั่งร่วงเหวลึก

 

 

หน้าอกคล้ายถูกขัดขวาง หรือมีเพลิงร้อนแผดเผา นั่นคือโลหิต

 

 

ความในใจที่ใช้ความกล้าหาญยิ่งใหญ่ที่สุดทำลายรั้วกั้นระบายออกมา ทว่าทิ้งขว้างให้ผู้แปลกหน้าฟัง เรื่องนี้ทำให้คนยากจะยอมรับเสียยิ่งกว่าความลับของราชสำนักถูกรับรู้

 

 

ทั้งสภาพการณ์ทั้งเหตุผลทั้งความเป็นจริง ปล่อยขุนนางหญิงผู้นี้ไว้ไม่ได้

 

 

“กงอิ้น!”

 

 

ครู่หนึ่งนี้เสียงของนางไม่ซ้อนด้วยความโกรธแค้นแหลมคมเมื่อครู่แล้ว กลับเป็นความเงียบงันที่หาได้ยาก สองคำนี้ออกเสียงได้เด็ดเดี่ยวชัดเจน เขาไม่เคยได้ยินนางตะโกนใส่เขาเช่นนี้เลย

 

 

คล้ายว่าครู่ต่อมาที่ตะโกนสองอักษรนี้ออกมาคือการตัดขาดที่ไม่คิดจะตะโกนอีกครั้งไปตลอดกาล

 

 

จิ่งเหิงปัวที่เกียจคร้านเจ้าเล่ห์ ไม่เคยตัดขาดตั้งแต่ไหนแต่ไร

 

 

ในใจเขาพลันสั่นสะท้าน เดิมทีคิดไว้แล้วว่าไม่สนใจนางอีก ยามนี้กลับหยุดฝีก้าวลงอย่างควบคุมมิได้

 

 

หยุดฝีก้าวทว่าไม่ได้หันหน้ากลับมา เงาด้านหลังของเขาตรงดิ่งไม่อาจสั่นคลอน

 

 

เสียงของนางแว่วมา ชัดเจน เงียบสงบ ดั่งคล้ายเจือด้วยไอสังหารสามส่วน

 

 

“หากวันนี้เจ้าสังหารนาง เท่ากับประกาศว่าข้าไร้หนทางปกป้องผู้ที่ข้าอยากปกป้องชั่วกาล เช่นนั้นข้าเป็นราชินีนี้มีประโยชน์อะไร? ข้ายังอาศัยสิ่งใดสร้างคุณูปการให้ต้าฮวงของเจ้า? ข้าไม่ใช่แม่พระ จะไม่ทรมานตนเอง หากเจ้าทำร้ายผู้ที่ข้าอยากปกป้อง ข้าจะออกไปจากที่นี่ การเพาะปลูกในบึงโคลน การปรับที่ดินให้ดีขึ้น การทดสอบชนิดพันธุ์ รวมทั้งทุกสิ่งที่ข้ารู้ ทุกสิ่งที่พอจะช่วยเหลือเศรษฐกิจต้าฮวงได้ ข้าจะไม่มอบให้ต้าฮวงแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวอีก!”

 

 

จิ่งเหิงปัวสีหน้าเขียวคล้ำ จ้องมองเงาด้านหลังที่ตั้งตระหง่านดั่งไม่อาจขัดขืนของเขาเขม็ง

 

 

บางครั้ง มีเพียงเพิ่มผลประโยชน์ของแคว้นและปากท้องของประชาราษฎร์เข้าไปด้วย เขาถึงจะยินยอมตั้งใจครุ่นคิดล่ะมั้ง

 

 

นางคิดอย่างเศร้ารันทดอยู่บ้าง หากตนเองเพียงข่มขู่ว่าจะจากไป คิดว่าคงไม่มีผลแม้แต่น้อยแน่นอน

 

 

กงอิ้นที่หันหลังให้นางยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว เหมิงหู่กับอวี่ชุนพบเจอสองคนทะเลาะวิวาทกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกต่างหดเกร็งไหล่แน่น หยุดลงตรงหน้าประตู ก้มหน้าไม่กล้าเคลื่อนไหว

 

 

จื่อหรุ่ยหันใบหน้าที่มีคราบน้ำตาลายพร้อยมาอย่างตื่นตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าราชินีจะกระทำการข่มขู่นี้เพื่อนาง นี่เป็นของวิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่ราชินีใช้พึ่งพาให้ประทับราชบัลลังก์ต้าฮวงได้มั่นคงนะ!

 

 

นางยิ่งไม่กล้าเชื่อว่าราชครูที่เอ่ยคำไหนคำนั้น ไม่ประนีประนอมเป็นแน่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมากลับนิ่งเงียบด้วยเพราะเหตุนี้จริงแท้ คล้ายกำลังเลือกสรร

 

 

ราชครูฝ่ายขวากงอิ้น อุปนิสัยเถรตรงเลื่องชื่อ ในยามแรกที่เข้าประจำตำแหน่งราชครูเคยพบเผ่าหวงจินก่อกบฏ ยามนั้นไม่สนใจว่าตำแหน่งใหญ่ยังไม่มั่นคง นำคั่งหลงยกทัพสังหารด้วยตนเอง สงครามนองเลือดทุ่งฮวงหลงสามวันสามคืน โลหิตย้อมหิมะถมแดงฉาน ทหารกบฏผลุนผลันโจมตีตอบโต้ ร้องขอชีวิตด้วยอับจนหนทาง จับตัวราษฎรบริสุทธิ์บุกเมือง ในนั้นยังมีผู้อาวุโสแห่งบ้านเกิดของกงอิ้น กงอิ้นที่อยู่หน้าเมืองไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ พอจุดเพลิงสวรรค์ไหม้ทุ่ง ซากศพเกลื่อนทั่วทุ่งเบื้องหน้าประตูเมืองสามจั้ง

 

 

เอ่ยกันว่านับจากนั้นเป็นต้นมา กงอิ้นไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกเลย

 

 

คนผู้หนึ่งเช่นนี้ จะสังหารคนผู้หนึ่งเช่นนางนี้ ทั่วทั้งโลกาไร้ผู้ซึ่งช่วยเหลือได้ ยิ่งกว่านั้นนางมีหนทางรนหาที่ตายโดยแท้

 

 

นิ่งเงียบ

 

 

อากาศในพระราชวังคล้ายถูกบีบอัดจนกลายเป็นแผ่นเบาบางแผ่นหนึ่งซึ่งคมกริบปานใบมีด จุกแน่นหน้าคอหอยของทุกคนจนจะทิ่มแทงผิวถลอกเห็นโลหิตในพริบตาต่อมา

 

 

ทั่วร่างของจื่อหรุ่ยสั่นเทิ้ม หมอบราบไม่กล้าเงยหน้า ไม่มีความกล้าหาญเผชิญโชคชะตาของตนเองแล้ว

 

 

นัยน์ตาที่เบิกกว้างของจิ่งเหิงปัวค่อยๆ มืดมัวเบื้องหน้าความนิ่งเงียบที่ดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อน ดั่งอาทิตย์อัสดงบดบังแสงงงดงามของเมฆเรืองรองหลังแสงสายัณห์

 

 

จากนั้นนางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หันกายจากไปลากกระเป๋าของตนเองจากในห้องลองเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก

 

 

พวกชุ่ยเจี่ยสามคนนั้นรีบเดินมาเพราะได้ยินเสียงแล้ว ทว่าไม่กล้าเข้าห้องแลไม่กล้าเอ่ยไกล่เกลี่ย เขย่งเท้ายืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง จ้องมองอย่างเปี่ยมด้วยจิตใจระทมทุกข์

 

 

ล้อลากของกระเป๋าขนาดมหึมาส่งเสียงดังกุกกักบนพื้นศิลาชิงอวิ๋นคล้ายจะบดขยี้บนดวงใจคน

 

 

“ให้นางเอ่ยสาบานมรณะ”

 

 

เสียงที่ดังขึ้นมาโดยพลันของกงอิ้นแทบจะถูกกลบกลืนด้วยเสียงลากกระเป๋า ทว่าทุกผู้คนต่างได้ยินโดยพลันแล้ว

 

 

จื่อหรุ่ยเงยหน้าฉับพลัน ในสายตาสิ้นหวังปะทุด้วยความตื่นตกใจและความดีใจใหญ่ยิ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวโซซัดโซเซ ถูกกระเป๋าขนาดมหึมาพาให้ล้มลง

 

 

ไหล่เกร็งแน่นของเหมิงหู่กับอวี่ชุนคลายลง ไม่กล้าถอนหายใจยาว เพียงแอบประสานสายตากันปราดเดียว

 

 

กงอิ้นไม่ได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่เริ่มจนจบ หลังมือใต้แขนเสื้อสีขาวราวหิมะไร้ซึ่งสีโลหิตเช่นกัน

 

 

“สาบานมรณะหมายความว่าอะไรหรือ…” จิ่งเหิงปัวสอบถามอย่างเจือด้วยความหวังสายหนึ่ง

 

 

“คำสาบานที่ใช้ชีวิตเป็นเครื่องสังเวย ผู้สาบานต้องกินยาสูตรลับของพระราชวัง หากเปิดเผยแม้เพียงน้อยนิด ต้องพบพิษนับหมื่นกัดกินซากศพ สภาพยามสิ้นชีพน่าเวทนานัก คือประเภทหนึ่งที่หนักที่สุดในหมู่คำสาบาน…” เหมิงหู่เพิ่มเข้าไปอีกประโยคหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรยังรักษาชีวิตไว้ได้…นายท่านคราวนี้เมตตากรุณายิ่งนักแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไม่ใช่เห็นด้วยกับความเมตตากรุณาของบางคน แต่รู้สึกว่ารักษาชีวิตไว้ได้ก็พอ รักษาความลับเดิมทีก็เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ…เดี๋ยวนะ รักษาความลับเหรอ? รักษาความลับอะไร? ไม่ใช่แค่สวมใส่เสื้อผ้าของนางนั่งตำแหน่งของนาง เรื่องนี้ต้องใช้สาบานมรณะมารักษาความลับเหรอ?

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าผิดปกติ หรือว่า เมื่อครู่กงอิ้นเอ่ยอะไรสำคัญบางอย่างกับจื่อหรุ่ย? ฉะนั้นถึงได้โมโหโกรธาขึ้นมาขนาดนี้? ฉะนั้นจื่อหรุ่ยถึงไม่หวังร้องขอชีวิต?

 

 

นางคันยุบยิบในใจทันที แต่มองดูจื่อหรุ่ย แล้วมองดูเงาด้านหลังที่แวบหนึ่งยังหนาวเหน็บของกงอิ้น ก็รู้ว่าเรื่องนี้แปดในสิบตนเองในชาตินี้คงไม่ได้รับรู้แล้ว

 

 

“นักโทษหญิงซย่าจื่อหรุ่ย ขอใช้ชีวิตต่ำต้อยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะรักษาความลับอย่างเคร่งครัด ไม่ถ่ายทอดต่อผู้อื่นกระทั่งสิ้นชีพ ผู้ผิดคำสาบานรวมทั้งครอบครัวร่วมรับความทรมานจากพิษนับหมื่นกัดกลืนดวงใจ หลายชั่วคนถลำสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย ไม่หลุดพ้นชั่วกาล!” จื่อหรุ่ยเอ่ยคำสาบานอย่างร้อนอกร้อนใจเนิ่นนานแล้ว เงยหน้าขึ้นกลืนยาเม็ดเหม็นคาวเม็ดหนึ่งที่เหมิงหู่ส่งมาให้ลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

หลังเสร็จสิ้นเรื่องราวนางอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงบนพื้น อาภรณ์ช่วงหลังเปียกชุ่มดุจรับโทษหนัก

 

 

กงอิ้นไม่ได้หันกายมาตั้งแต่เริ่มจนจบ ยามนี้ข้ามผ่านธรณีประตูในที่สุด

 

 

“จิ่งเหิงปัว” ก่อนออกจากประตูตำหนักสุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ภายหลัง อย่าได้นำผลประโยชน์ของแคว้นมาบีบบังคับข้าอีกตลอดกาล!”

 

 

สมองของจิ่งเหิงปัวสับสนวุ่นวาย ยอกย้อนอย่างไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า “ไม่นำสิ่งนี้มาบังคับจะนำสิ่งใด? หรือว่านำความรู้สึกมาบังคับ? เจ้ามีด้วยหรือ?”

 

 

เงาด้านหลังของกงอิ้นแข็งทื่อ จากนั้นยกเท้าก้าวจากไปด้วยความเร็วยวดยิ่ง