“กฎกติกาคร่าวๆ เหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ครับ เมื่อครู่ผมลองถามดูก็ได้ยินมาว่าตอนที่รัฐบาลพม่าจัดงานประมูลที่ย่างกุ้ง ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” จ่านป๋ายพูด “ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลไป ดูเสร็จก็ต้องการแค่เงิน ไม่ต้องกลัวที่จะซื้อไม่ได้…อ้อ จริงสิ พวกเขาใช้เงินยูโรเป็นสกุลเงินเดียวกันหมดนะครับ”
“ยังดี” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“ดียังไงครับ?” จ่านป๋ายถาม
“ที่ฉันบอกว่ายังดีก็เพราะว่าคนพม่าไม่ได้ดึงดันให้ใช้เงินพม่า” ซีเหมินจินเหลียนกำลังกินกล้วยอยู่ ปากก็พูดไม่ชัด “ไม่อย่างนั้นงานประมูลหยกคงเหมือนวาดรูปไข่เป็ด วาดจนมือไม้เบี้ยวไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง”
จ่านป๋ายฟังแล้วหัวเราะลั่น แกะอาหารที่ซื้อกลับมาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าโซฟา และเรียกซีเหมินจินเหลียน “มาลองกินอาหารพม่ากันเถอะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนลองชิมดูและขมวดคิ้วพูดขึ้น “นี่คุณซื้อมาจากไหนเนี่ย? ฝีมือเชฟคนนี้เหมือนมาจากสำนักเดียวกับคุณเลย!”
จ่านป๋ายแค่นยิ้มออกมา “ทำไมคุณไม่บอกว่าเหมือนตัวเองล่ะ? อาหารของคุณก็…”
“กับข้าวของฉันไม่ได้เรื่องก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าคุณหน่อยล่ะกันน่า!” ซีเหมินจินเหลียนทำไม้ทำมือเปรียบเทียบและยิ้มออกมา “อีกอย่างฝีมือของเชฟร้านนี้ยังสู้ฉันไม่ได้เลย คุณลองดูสิผัดพริกนี่สิ ไหม้หมดแล้ว”
“ผมคงหาเชฟฝีมือไม่ถึงเอง พรุ่งนี้ค่อยไปถามว่าร้านไหนฝีมือใช้ได้บ้าง จากนั้นเราค่อยไปกินด้วยกัน ดีไหมครับ?” จ่านป๋ายถาม
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วอมยิ้ม ทั้งคู่พูดคุยและยิ้มให้กัน เมื่อกินข้าวเสร็จรีบเก็บโต๊ะและออกไปข้างนอกเพื่อไปยังถนนเดิมพันหิน
เพราะไม่รู้จักเส้นทาง จึงได้แค่เรียกรถให้พาไปส่ง โชคดีที่คนขับรถในย่างกุ้งพอพูดภาษาจีนกลางได้บ้าง เลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่
เมื่อลงจากรถ จ่านป๋ายก็จ่ายเงิน ส่วนซีเหมินจินเหลียนที่ยืนอยู่ข้างถนนก็มองไปที่ถนนเก่าแก่พูดกับจ่านป๋ายว่า “ที่นี่คือถนนเดิมพันหินเหรอ?”
“ผมคิดว่าใช่นะ พวกเราเข้าไปดูเถอะ” จ่านป๋ายพูด
“ไม่ได้ดีเหมือนที่ฉันคิดไว้เลย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า
“คุณคิดว่าถนนเดิมพันหินที่พม่าเป็นยังไงเหรอครับ? คงไม่ได้คิดว่าถนนเดิมพันหินต้องปูด้วยหยกหรอกใช่ไหม?” จ่านป๋ายยิ้มกริ่ม
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอายอยู่บ้าง แต่ก็ยิ้มออกมา แม้จะรู้ว่าประเทศพม่ายังไม่เจริญ แต่เพราะว่าที่นี่เป็นแหล่งซื้อขายหินหยก ในใจของเธอถึงคิดว่าหยกที่เปล่งประกายสร้างราคาพวกนั้นมีมูลค่าตั้งหลักสิบล้าน ถนนเดิมพันหินที่พม่าคงต้องยิ่งใหญ่อลังการและคึกคักจนบรรยายไม่ได้
“ข้างนอกดูไม่ดีเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า
“ก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่ เดาดูก็รู้แล้ว” จ่านป๋ายยิ้ม “ก็มีแต่หินพังๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“ชิ!” ซีเหมินจินเหลียนทำท่าดูถูก
รอให้ทั้งสองเดินเข้าไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มฝืน เหมือนที่จ่านป๋ายพูดทั้งหมด ข้างในไม่ได้สวยเลิศอะไร ด้านหน้าร้านมีหินหยกวางกองสะเปะสะปะ มีทั้งเปิดช่องหน้าต่างและเดิมพันทั้งตัว แต่หินหยกที่อยู่ข้างนอก ทั้งคู่รู้ดีว่ามันเป็นแค่หินหยกเกรดต่ำ
เพราะอย่างนั้นทั้งสองได้แค่เดินผ่าน ไม่ได้คิดไว้ว่าจะดู นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับหยกแปรรูป ซีเหมินจินเหลียนเดินดูแต่ละร้านอย่างสนอกสนใจ แต่การแปรรูปของหยกก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ใช้คำพูดของซีเหมินจินเหลียนก็คือกระดูกหมาแทะยังดีเสียกว่า
จ่านป๋ายมองแล้วบ่นด่าในใจ ก็คงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดที่เธอพูดหรอกน่า
“จินเหลียน คุณดูนี่สิ…” จู่ๆ สายตาของจ่านป๋ายก็ตกไปอยู่บนร่างของคนสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน กระซิบพูดกับซีเหมินจินเหลียน
“หือ…” สายตาของซีเหมินจินเหลียนหันไปมองตามเขา ก่อนจะเห็นอวิ๋นเจียกับฉินเฮ่าอยู่ในนั้น
“พวกเขาก็มาพม่าด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ใช่ครับ” จ่านป๋ายส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าอวิ๋นอวิ้นคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไม่แน่เธออาจโรคจิตก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูดถึงอวิ๋นอวิ้นและหมดอารมณ์จะพูดต่อ “อยู่ดีๆ จะพาอวิ๋นเจียที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนั้นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยทำไม?”
“เหมือนพวกเขาอยากจะซื้อหินหยกนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองตามเข้าไปดูไหม?” จ่านป๋ายพูด
“ก็ดี ยังไงก็เบื่อไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เข้าไปดูหน่อยก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนโต้กลับ
ในขณะที่ทั้งคู่พูดจบจึงเดินไปทางอวิ๋นเจีย เห็นว่าฉินเฮ่ากำลังต่อรองราคากับนักธุรกิจหยกคนจีนอยู่ ส่วนอวิ๋นเจียเมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายแล้วก็ได้แต่พยักหน้าทักทายพวกเขา
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มให้เธอ จากนั้นก็กวาดสายตามองหินหยกบนพื้น ดูใช้ได้ทีเดียว น่าจะหนักสักสิบห้าสิบหกกิโลกรัมได้ รูปทรงไม่ชัดเจน ผิวสีเหลืองแกมน้ำตาล เพราะเป็นเวลากลางคืน แม้แสงไฟจะสว่างแค่ไหน แต่เธอก็ยังยืนห่างอยู่ไกลจนไม่เห็นรายละเอียดชัดเจน
“คุณซีเหมิน…” อาศัยจังหวะที่ฉินเฮ่ากำลังต่อรองราคาอยู่นั้น อวิ๋นเจียก็เดินเข้ามาหาซีเหมินจินเหลียน
“คุณอวิ๋น คุณก็มาพม่าเหมือนกันเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “เกิดอะไรขึ้น ยังไม่ดึกเลยก็ได้สินค้าแล้วเหรอคะ”
“สนใจอยู่ก้อนหนึ่งคิดว่าน่าจะไม่เลวเลยค่ะ” อวิ๋นเจียยิ้ม “เลยคิดที่จะซื้อดู หากเดิมพันชนะก็จะดีที่สุด คุณก็น่าจะรู้ว่าเงินทุนพวกเราไม่พอ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วเข้าใจขึ้นมาได้ว่าเธอเตรียมตัวจะซื้อและตัดตอนนั้นเลย หากเดิมพันชนะก็รีบขายออกไปเพื่อสะสมเงินทุน แน่นอนนี่เป็นวิธีสะสมเงินที่เร็วที่สุด ถ้าเธออยากจะรวบรวมเงินเธอก็คงใช้วิธีนี้เหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นคนที่สายตาไม่เฉียบขาดพอ หากอาศัยแค่การชนะจากการเดิมพันหินเพื่อจะหาเงินระดมทุน นี่ก็ไม่ใช่วิธีที่น่าเชื่อถืออะไรนัก…ถ้าเป็นอวิ๋นอวิ้น ซีเหมินจินเหลียนก็เชื่อว่าเธอทำได้
แต่ตัวอวิ๋นเจียเอง ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอใช้ยาที่ไม่มีการรับรองความปลอดภัยเพิ่มความอ่อนไหวของประสาทสัมผัสก็เดิมพันหินได้แล้ว? ยาพวกนี้ก็ปลิดชีวิตคนทั้งนั้น
ซีเหมินจินเหลียนมองใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งปลั่งของอวิ๋นเจียก็ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดปกติสักนิด ไม่เหมือนใบหน้าของลุงงูที่เต็มไปด้วยเกล็ดงู แถมยังมีร่องรอยเน่าเฟะ เธอไม่ใช่สวี่อี้หรานเลยดูไม่ออกว่าอวิ๋นเจียมีความผิดปกติอย่างไร
“คุณซีเหมิน คุณก็มาเดินเล่นที่ถนนเดิมพันหินด้วยเหรอคะ?” อวิ๋นเจียยิ้ม
“ฉันเพิ่งมาครั้งแรก ไม่ค่อยรู้จักหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ได้ยินคนแนะนำมาเลยอยากมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
“แล้วไม่คิดจะซื้อบ้างเหรอคะ” อวิ๋นเจียยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบ “ถ้ามีของดี แน่นอนว่าต้องซื้ออยู่แล้วค่ะ”
ในระหว่างที่ทั้งคู่พูดกันอยู่นั้น ฉินเฮ่าก็เจรจาราคาที่เหมาะสมมาได้ หินหยกก้อนนั้นไม่แพง สามพันดอลลาร์สหรัฐซีเหมินจินเหลียนเห็นฉินเฮ่าจ่ายเงินสด จึงแอบกระซิบพูดกับจ่านป๋ายว่า “ที่แบบนี้ก็ใช้เงินดอลลาร์ซื้อขายกันด้วยเหรอ?”
“รับเงินยูโรกับเงินจ๊าดพม่าน่ะครับ” จ่านป๋ายอธิบาย “เพราะพม่าเป็นแหล่งรวมตัวของนักธุรกิจหยกหลากหลายพื้นที่ ดังนั้นเลยต้องใช้วิธีแบบนี้”