ตอนที่ 65-2 โหดร้ายทารุณ

จารใจรัก

เซี่ยฟางหวากลับมาที่ห้อง พบว่าฉินเจิงตื่นแล้วและกำลังมองมาที่หน้าประตู เห็นได้ชัดว่าบทสนทนาระหว่างนางกับซื่อฮว่าเมื่อครู่ปลุกเขาตื่นขึ้นมา นางยื่นจดหมายในมือให้เขาอ่าน “หลังหลินอันประสบอุกทกภัยใหญ่ก็เกิดโรคห่าระบาด” 

 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนรับจดหมายมาอ่าน 

 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งข้างเขา รอเขาอ่านจดหมายจนจบแล้วค่อยคุยกัน 

 

 

           “ฉินอวี้อยู่ที่หลินอัน พี่ภรรยา เหยียนเฉิน ชูฉือต่างอยู่ที่หลินอันกันทั้งหมด หรือว่าจะควบคุมโรคห่าระบาดนี้ไม่ได้” ฉินเจิงอ่านจบแล้วก็ย่นหัวคิ้ว  

 

 

           “ถึงอย่างไรเหยียนเฉินก็เป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี ไม่ค่อยสะดวกนัก” เซี่ยฟางหวาบอก  

 

 

           “มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วยทั้งคน หรือว่ายังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น “นับวันฉินอวี้ยิ่งไร้ประโยชน์ขึ้นทุกที” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา “ท่านพี่กับน้องก็อยู่หลินอัน เราจะนั่งเฉยโดยไม่ทำอันใดเลยไม่ได้ โรคห่าระบาดไม่อาจดูถูกได้เลย ในอดีตกาลก็เคยมีบันทึกว่าโรคห่าได้ทำลายเมืองทั้งเมืองลง หากควบคุมไม่อยู่ ผลลัพธ์คงยากจินตนาการได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกิดอะไรขึ้นกับหลินอันกันแน่ ข้าคิดว่าควรไปสำรวจดู” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “นอกจากนี้ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาเจ้า” 

 

 

           “หืม” ฉินเจิงมองนาง “ยังมีเรื่องอื่นอีก” 

 

 

           “เดิมทีข้ามีความคิดว่าจะเดินทางไกลในภายภาคหน้า ตอนนี้ในเมื่อเกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน เช่นนั้นก็เดินทางเสียล่วงหน้าเลยก็ดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก  

 

 

           ฉินเจิงหรี่ตาลง 

 

 

           “ในเมื่อฉือเฟิ่งได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่า หากข้าไม่ยอมมอบตำราเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีให้ก็จะทำให้ข้า จวนจงหย่งโหว และตระกูลเซี่ยต้องเห็นดีกัน ตอนนี้ข้าส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกเดินทางไปอย่างลับๆ ทว่าก็ไม่ใช่ความลับอีกแล้ว เช่นนั้นระหว่างทางจะต้องมีคนลอบสังหารพวกเขาแน่นอน แม้ข้าเตรียมการรับมือไว้แล้ว แต่หากไม่ออกจากเมืองไปสำรวจดูเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยสบายใจนัก” เซี่ยฟางหวาบอก “ต้องเดินทางไปสำรวจดู” 

 

 

           “ไม่อนุญาต” ฉินเจิงปฏิเสธทันที 

 

 

           “ฉินเจิง วันนี้ข้าคิดแล้วคิดอีก ข้าถูกเจ้าปกป้องไว้ในเรือนลั่วเหมยนั้นปลอดภัยไร้กังวลก็จริง แต่ข้าไม่อาจอยู่ภายใต้การปกป้องของเจ้าอย่างสบายใจได้ ปณิธานของข้าคือการปกป้องจวนจงหย่งโหว ปกป้องตระกูลเซี่ย ปกป้องคนใกล้ชิด ตอนนี้ราชสำนักสั่นคลอน ทั้งในและนอกเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ตราบใดที่สถานการณ์ไม่สงบสุข ข้าก็ไม่อาจสงบใจได้ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ปัญหาทางใจต้องใช้ยาใจรักษา ตอนนี้ในเมื่อข้าหาต้นตอบางส่วนเจอแล้ว ย่อมปล่อยหลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด” เซี่ยฟางหวามองเขาพร้อมกล่าวเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

           “แม้เจ้าจัดกำลังคนคุ้มกันท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีแล้ว ข้าเองก็มีเตรียมการอื่นไว้รองรับแล้วเช่นกัน เจ้าวางใจเถอะ พวกเขาไม่เป็นไรแน่นอน ส่วนเรื่องหลินอัน หากฉินอวี้ควบคุมแม้แต่โรคห่าระบาดในเมืองไม่ได้ เช่นนั้นอนาคตเขาจะปกครองบัลลังก์บ้านเมืองให้มั่นคงได้อย่างไร เจ้าอยู่รักษาตัวในจวนให้หายดีก็พอแล้ว” ฉินเจิงย่นหัวคิ้วมองนาง  

 

 

           “ข้าสัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย” เซี่ยฟางหวากุมมือเขา 

 

 

           “เช่นนั้นก็ไม่ได้” ฉินเจิงปฏิเสธเด็ดขาด 

 

 

           “วันนี้เจ้าออกไปตั้งแต่เช้า ได้กำชับสี่ซุ่นไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องใดหรือใครมาหาข้าก็ไม่ต้องปิดบัง ตอนนี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอีกแล้ว” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “เซี่ยฟางหวา ครั้งก่อนจินเยี่ยนไปอารามลี่อวิ๋น ข้าอนุญาตให้เจ้าไป ทว่าข่าวที่ข้าได้รับกลับมาคือสิ่งใดรู้หรือไม่ คือเกิดเหตุดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋น เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนหาเจ้าพบที่ล่างหุบเขานั้นข้ารู้สึกเช่นไร” ฉินเจิงมองนาง “ตอนนั้นเจ้าดึงเซี่ยอวิ๋นหลานกระโดดจากหน้าผา ตอนฟังเจ้าเล่าเรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บปวดใจเพียงใด ตอนที่เจ้าหมดสติไปแล้วเอาแต่พร่ำเรียกหาเซี่ยอวิ๋นหลาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทุกข์ใจแค่ไหน ตอนนี้เกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน มีฉินอวี้อยู่ด้วย พี่ภรรยาก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเหยียนเฉินกับชูฉือซึ่งมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมก็อยู่ด้วยเช่นกัน เจ้ายังกังวลอะไรอีก” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขาทันที 

 

 

           “อีกอย่างเดิมทีเจ้าคิดหาโอกาสออกจากจวนอยู่แล้ว เจ้าก็รู้ว่ามีคนต้องการตัวเจ้า เจ้าอยากใช้ตัวเองล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกมา เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด เจ้ากะจะให้ข้าตายเลยหรือ” ฉินเจิงบอก “ต้องให้ข้าตระหนกตกใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่ ต่อให้ไม่แตะต้องอาหาร เจ้าก็ไม่สนใจใช่หรือไม่” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาอ้าปากพะงาบ เอ่ยคำใดไม่ออก 

 

 

           “ข้าเฝ้าคอยเจ้ามาหลายปี รอเจ้ากลับเมือง ทั้งทุ่มเทความคิดกักขังเจ้าไว้ในจวนอ๋อง คิดหาทางเพื่อได้ครอบครองหัวใจของเจ้า จากนั้นก็ไม่สนว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดบ้างเพื่อได้แต่งงานกับเจ้า เราเพิ่งสมรสกันกี่วันเอง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าลองทบทวนให้ดีว่าจนถึงตอนนี้ เราได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสักวันหรือยัง” ฉินเจิงยกมือไล้ใบหน้านาง  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 

 

 

           “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้า” ฉินเจิงพลันถามขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           ฉินเจิงจับจ้องใบหน้านางพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดมาตลอดว่าตั้งแต่วันนั้นข้าได้เปลี่ยนไป หลังยิงธนูสามดอกใส่เจ้า ข้าก็เกิดปมในใจขึ้นมา ถูกต้อง ข้ามีปมในใจ แต่จนถึงตอนนี้เจ้าคงยังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้า” พูดจบเขาก็ลดเสียงแผ่วเบาแทน “เซี่ยฟางหวา เจ้าอาจคิดหาเหตุผลมากมาย แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เคยมีวูบหนึ่งที่ข้าคิดปล่อยเจ้าไป” 

 

 

           “เจ้า…เจ้าพูดอะไร” เซี่ยฟางหวาผุดลุกขึ้นยืนทันที มองฉินเจิงอย่างไม่อยากเชื่อ  

 

 

           “ตอนยิงธนูสามดอกใส่เจ้า ตอนนั้นข้ามีความคิดจะปล่อยเจ้าไป” แววตาฉินเจิงนิ่งสงบ สะท้อนความเจ็บปวดและความอ้างว้างออกมา  

 

 

           “เจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา เนิ่นนานถึงเอ่ยขึ้น “เพราะ…เหตุใด” 

 

 

           “เพื่อให้เจ้ากับเซี่ยอวิ๋นหลานสมหวัง” ฉินเจิงพลันยิ้มออกมา 

 

 

           เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป “พี่อวิ๋นหลานเขาเป็นเพียงแค่…”  

 

 

           “เขาเป็นเพียงแค่พี่ชายที่สนิทสนมเสียยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าน่ะหรือ” ฉินเจิงเอ่ยขัด คลี่รอยยิ้มเย็นชา “เป็นเช่นนี้จริงหรือ หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่นึกถึงเขา” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลนลาน “นั่นเป็นเพราะความทรงจำชาติก่อน ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ความทรงจำนั้นสุดล้ำลึก กระทั่ง…” 

 

 

           “ความทรงจำนั้นสุดล้ำลึก กระทั่งเชื่อมมาถึงชาตินี้ ชีวิตนี้เจ้าจะโยนความทรงจำนั้นทิ้งไปไม่ได้เลยใช่หรือไม่ กระทั่งเจ้าสลักเขาลงในก้นบึ้งหัวใจ” ฉินเจิงกล่าว น้ำเสียงพลันดุดันขึ้น “แล้วข้าเล่า ข้าเป็นใคร” 

 

 

           “เจ้าย่อมไม่เหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           ฉินเจิงฝืนยิ้มด้วยความรวดร้าว “ข้าไม่เหมือนกัน” หยุดชั่วครู่แล้วหัวเราะออก ก่อนเลิกคิ้วกล่าวต่อ “เทียบกับเขาแล้ว ข้าไม่เหมือนเขาตรงไหน เป็นเพราะเจ้าชอบข้าหรือ หรือว่าเจ้าไม่ชอบเขา ไม่สิ พูดว่าชอบไม่ได้ ต้องบอกว่ารักต่างหาก ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าคือรัก แล้วที่มีต่อเขาไม่ใช่หรือ หากคำว่ารักมีขอบเขต เจ้าก็ลองแบ่งแยกด้วยตัวเองดู เจ้ามีความทรงจำต่อเขาสลักลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ แล้วความรักที่มีต่อข้าเล่าลึกซึ้งเพียงใด พอจะสะเทือนถึงเขาที่อยู่ในใจเจ้ามากน้อยแค่ไหน” 

 

 

           “ฉินเจิง ไฉนเจ้าถึงเปรียบเทียบเช่นนี้” เซี่ยฟางหวาเซถอย เบ้าตาแดงก่ำ  

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิว่าข้าควรเปรียบเทียบอย่างไร เจ้ารักข้า ออกเรือนกับข้า ข้าคิดว่าสวรรค์ทรงเมตตาต่อข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าเลือกข้าแล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับข้าไปตลอดชีวิต” ฉินเจิงมองนาง “แต่หลังสมรสกัน ผู้ที่เจ้าคะนึงหากลับไม่ใช่ข้า สิ่งที่อยู่ในใจเจ้ามีมากเกินไป ข้าผู้เป็นสามีนั้นครอบครองพื้นที่ในใจเจ้าได้มากน้อยแค่ไหนกัน ไหนเจ้าลองบอกมาสิ” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพลันหันหลังให้เขา น้ำตาไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว เอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ฉินเจิง เจ้าบอกว่าสิ่งที่อยู่ในใจข้ามีมากเกินไป แต่เจ้าเล่า หรือว่าสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าก็มีไม่มากอย่างนั้นหรือ เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าทั้งหัวใจเจ้านั้นรักแค่ข้าเพียงผู้เดียว” 

 

 

           “ข้ากล้าพูด” ฉินเจิงตอบฉะฉาน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเช็ดน้ำตาทันที ก่อนกล่าวเสียงเย็น “ความรักของเจ้าหนักแน่นเพียงใด ชาติก่อนกับชาตินี้แตกต่างกันหรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงมองนางด้วยความมึนงง 

 

 

           “เจ้าบอกข้าว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ชาติก่อนเราไม่รู้จักกัน เจ้าพูดถูกแล้ว ชาติก่อนเราเคยรู้จักกันแน่นอน แต่ชาติก่อนพี่อวิ๋นหลานตายเพราะคำสาปเผาใจกำเริบ ข้าเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงและเสียเลือดจนตาย ที่มีจุดจบเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เซี่ยฟางหวาพลันหันกลับมา  

 

 

           ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว 

 

 

           “เจ้าบอกว่าช่วงนี้ข้ากังวลมากเกินเหตุ ทรมานหัวใจจนกระทบกับม้าม เป็นเพราะเหตุใด ย่อมเป็นเพราะภาพความทรงจำเมื่อชาติก่อนคอยแล่นขึ้นในสมองข้าไม่หยุดหย่อน มันรบกวนใจข้าตลอดเวลา ยากทำความเข้าใจ ยากไตร่ตรองให้แน่ชัด แต่ตอนนี้เมื่อได้สงบใจสองวัน ข้าจึงเข้าใจบางสิ่งปรุโปร่ง” เซี่ยฟางหวามองเขา “ชาติก่อนเราเคยรู้จักกัน ไม่ใช่แค่รู้จักกันเท่านั้น ความสัมพันธ์ของเราในชาติก่อนไม่ต่างอะไรกับเราในชาตินี้เลย” 

 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

 

           “ฉินเจิง เจ้าเป็นท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ข้าเป็นคุณหนูทายาทจวนจงหย่งโหว ตอนที่เต๋อฉือไทเฮายังทรงมีชีวิตอยู่ได้ออกพระราชเสาวนีย์สมรสพระราชทานให้” เซี่ยฟางหวามองเขา “หลังข้าถึงวัยปักปิ่นก็รอออกเรือนในจวนตลอดมา รอให้เจ้ามารับข้า ทว่าสิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคือสิ่งใด เจ้ารู้หรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงมองนาง นิ่งฟังนางพูดต่อ 

 

 

           “สิ่งที่ข้าได้รับคือจวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ตระกูลเซี่ยถูกประหารเก้าชั่วโคตร ท่านปู่กับท่านพี่ตาย กระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา โลหิตไหลรินเป็นสายธารา” เซี่ยฟางหวาน้ำตานองหน้า “ข้าได้พี่อวิ๋นหลานช่วยไว้ เราได้แต่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อาศัยอยู่ในหุบเขาลึกที่ไร้ผู้ใดอาศัย ทว่าก็ยังได้ยินงานมงคลในเมืองหลวงหนานฉินแว่วมา เจ้ารู้หรือไม่ว่างานมงคลที่ว่าคือสิ่งใด” 

 

 

           ฉินเจิงเงียบ 

 

 

           “คือเจ้าซึ่งเป็นท่านอ๋องน้อยไปสู่ขอสตรีอื่น ขบวนอาภรณ์แดงยาวสิบลี้ งานมงคลที่เป็นงานสมรส”  

 

 

เซี่ยฟางหวาบอกเสียงดัง