ตอนที่ 1750 โดมแอปริคอต

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1750 โดมแอปริคอต

“คุณฟื้นฟูพละกำลังได้มากแค่ไหนหลังจากที่ได้ร่างกายท่อนบนกลับคืนมา?” จางเซวียนตั้งคำถามขณะเฝ้ามองไอ้โหดค่อยๆฟื้นตัวพร้อมๆกับการซึมซับพลังงานจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์

ไอ้โหดได้พละกำลังกลับคืนมาไม่น้อยจากการรวมร่างเข้ากับนิ้วมือ ศีรษะ และดวงตา ในเมื่อร่างกายท่อนบนของมันใหญ่โตมาก จึงน่าจะยกระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นได้อีกจากการรวมร่างครั้งนี้

“นายท่าน ตอนนี้พละกำลังของผมเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว” ไอ้โหดตอบ

“นักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น

เขาเคยคิดว่าไอ้โหดน่าจะฟื้นฟูประสิทธิภาพการต่อสู้จนยกระดับวรยุทธถึงขั้นนักปราชญ์โบราณได้หลังจากได้รวมร่างเข้ากับร่างกายท่อนบน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!

ตอนนี้ไอ้โหดมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว และเมื่อพิจารณาจากประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาของมัน ก็มีโอกาสที่ไอ้โหดจะแข็งแกร่งกว่าศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณที่จางเซวียนเคยต่อกรด้วย

เมื่อประกอบกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ก็เท่ากับว่าจางเซวียนจะมีนักปราชญ์โบราณคอยคุ้มกันเขาตลอดเวลา ตอนนี้เขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองอีกต่อไป

“ใช่ ร่างกายท่อนบนของผมถูกปูชนียสถานนักปราชญ์กดข่มพละกำลังไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา และเจตนาสังหารทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้นก็ถูกรีดออกไปไม่น้อย ทำให้เหลือแต่พละกำลังล้วนๆ สำหรับตัวผมในตอนนี้ ผมสามารถเล่นงานปรมาจารย์คนหนึ่งให้สลบได้โดยไม่มีใครมองเห็น!” ไอ้โหดเสริม

“เยี่ยมเลย” จางเซวียนกำหมัดแน่น

แม้เขาจะมีสถานภาพสูงส่งระดับหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ยังคงไม่ปลอดภัยหากเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเมื่อพิจารณาจากความตึงเครียดระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันก็มีแต่จะทำให้เขาเจอปัญหายุ่งยาก ดังนั้นจางเซวียนจึงต้องรักษาระยะห่างและการติดต่อกับศัตรูให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

นักปราชญ์ขุยเป็นศิษย์ปรมาจารย์ขง ทั้งยังใช้ประโยชน์จากรูปปั้นของตัวเขาและรังสีวิชาการในปูชนียสถานนักปราชญ์เพื่อกดข่มพละกำลังของร่างกายท่อนบนของไอ้โหดไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจตนาสังหารที่อยู่ภายในร่างกายท่อนบนจะถูกชำระออกไปจนหมด

ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถใช้งานไอ้โหดได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครเข้าใจผิด

“เอาล่ะ ผมจะปล่อยให้คุณฟื้นฟูจิตวิญญาณ พยายามยกระดับตัวเองให้เข้าสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขามีไม้ตายอันทรงพลังอยู่ในครอบครองแล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินออกจากพงไพรโขดหิน

การเปิดออกของวิหารแห่งขงจื๊อดึงดูดนักปราชญ์โบราณมากมาย และเป็นไปได้ว่าบางส่วนจะมีเจตนาร้ายต่อเขา ยิ่งไอ้โหดแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็รับประกันความปลอดภัยได้มากขึ้นเท่านั้น

ถึงอย่างไร ระมัดระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย

จางเซวียนเก็บของล้ำค่าและเหล่าอสูร เขามุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงและเก็บภาพวาดที่อยู่บนผนังเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติทีละภาพ จากนั้นก็หันหลังกลับและตรงไปยังทางเข้า

เมื่อออกจากหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ เขาเห็นปรมาจารย์กลุ่มใหญ่นั่งอยู่บริเวณรอบนอกของหอบริวาร ยังคงดื่มด่ำกับการศึกษาศาสตร์ลับที่จารึกไว้บนผนัง

“หยวนเทาจะอยู่ที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ที่นี่?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

ข้อเท็จจริงที่ว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่นี่ ก็ย่อมหมายความว่ากลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังมาไม่ถึง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หยวนเทาอยู่ไหน?

จางเซวียนตั้งใจจะกลับไปยังพงไพรโขดหินอีกครั้งเพื่อตามหาหยวนเทา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาสะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารออกมา

ข้อความแถวหนึ่งปรากฎบนตราหยก

“จางเซวียน, มาที่โดมแอปริคอตโดยเร็วที่สุดเลยนะ!”

“ข้อความจากหลัวลั่วชิง? โดมแอปริคอต…โดมแอปริคอตอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวก่อน, ส่งข้อความข้ามมิติก็ได้หรือ?” จางเซวียนงุนงง

เขาเคยลองส่งข้อความตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึง และสิ่งที่เขารับรู้ก็คือตราหยกสื่อสารจะทำงานก็ต่อเมื่อคู่สื่อสารอยู่ในมิติเดียวกันทั้งนั้นเท่านั้น แต่เขาได้รับข้อความจากหลัวลั่วชิง…

จางเซวียนแน่ใจว่าโดมแอปริคอตไม่ได้อยู่ในมิตินี้ เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงเห็นมันแล้ว

การส่งข้อความข้ามมิติเป็นไปได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หากทำได้จริง ทำไมก่อนหน้านี้เขาจึงไม่พบหลัวลั่วชิงกับท่านพ่อท่านแม่?

ราวกับจะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งข้อความมาอีก “โดมแอปริคอตเชื่อมโยงกับมิติผืนทราย ฉันจะรอคุณที่มิติผืนทรายนะ”

“มิติผืนทราย?” จางเซวียนทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับสู่มิติพงไพรโขดหิน

เพราะรู้แล้วว่าทางออกอยู่ที่ไหน จางเซวียนจึงใช้เวลาไม่นานในการกลับสู่มิติผืนทราย

ตอนนี้ไม่มีความร้อนแผดเผาอยู่ในมิติผืนทรายแล้ว พลังจิตวิญญาณอบอวลไปทั่ว ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าที่นี่ปราศจากความเขียวชอุ่มหรืออสูรตัวไหนๆ สภาพแวดล้อมของมันก็ดูคล้ายคลึงกับมิติผืนป่าที่เขาเคยไปอยู่มาก

นักรบส่วนใหญ่ที่เข้าสู่มิติผืนทรายเลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งเพื่อฝึกฝนวรยุทธทันที และความขยันหมั่นเพียรของพวกเขาก็ส่งผลตอบแทนอย่างดี

นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณที่จางเซวียนเคยพบก่อนหน้านี้สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานได้หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พร้อมกันนั้น หน้าตาของเขาก็ดูอ่อนวัยขึ้นมาก

รู้ดีว่านี่คืออานุภาพลึกลับของวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนจึงไม่ครุ่นคิดถึงมันมากนัก เขารีบค้นหาทิศทางที่นำไปสู่โอเอซิสและมุ่งหน้าไป ไม่ช้าก็พบหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉิน

“คุณมาแล้วหรือ” หลัวลั่วชิงทักทายพร้อมกับยิ้มให้ ราวกับจะล่วงรู้ถึงความสงสัยของจางเซวียน เธออธิบาย “มิติในวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออกแล้ว จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เราส่งข้อความถึงกันได้ เพราะตอนนี้มิติต่างๆเชื่อมโยงถึงกันแล้วเรียบร้อย”

“มิติต่างๆถูกเชื่อมโยงถึงกันแล้ว?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตเมื่อนึกได้

ดูเหมือนว่าตอนที่เขาเปิดทางออก เขาได้เชื่อมโยง 2 มิติเข้าหากัน และเมื่อพิจารณาจากการที่เหล่าปรมาจารย์สามารถเดินทางจากมิติหนึ่งทะลุไปยังอีกมิติหนึ่งได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่การส่งข้อความจะทำได้สะดวกเช่นกัน

“คุณรู้ได้อย่างไรว่ามิตินี้เชื่อมโยงกับโดมแอปริคอต?” จางเซวียนถาม

เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ชื่อของหอบริวารก่อนจะได้เข้าไปในนั้น และถ้าหลัวลั่วชิงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมากขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่บอกเขาก่อน?

“ผู้คนมากมายเข้าถึงอาณาบริเวณรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ฉันจะรู้ ไม่เพียงเท่านั้นนะ ฉันยังได้รายละเอียดของหอบริวารแห่งอื่นๆด้วย” หลัวลั่วชิงพูด

“รวมแล้ว หอบริวารทั้ง 6 มีชื่อว่า หอวรรณคดีของนักปราชญ์ขุย โดมแอปริคอต หอแฝดสำรอง หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ หอสงบใจ และหอสงครามศักดิ์สิทธิ์, กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่ทำให้สามารถเข้าสู่หอวรรณคดีของนักปราชญ์ขุยได้ และพวกเขาก็นำหนังสือของปรมาจารย์ขงออกไปจนหมดแล้ว ส่วนสภาปรมาจารย์มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่นำไปสู่หอแฝดสำรอง”

“สำหรับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของตระกูลหลัว ตระกูลจาง และเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นเชื่อมโยงกับหอสงบใจ หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ตามลำดับ สถานที่เหล่านั้นเปิดออกและถูกสำรวจแล้ว เหลือแต่โดมแอปริคอตที่ยังไม่มีใครเข้าไป ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด คุณคือผู้ที่นำหัวใจของมิติผืนทรายออกไปใช่ไหม? เราเข้าสู่โดมแอปริคอตด้วยกันเถอะ ดูซิว่าจะนำทรัพย์สมบัติของหอบริวารแห่งนั้นออกมาได้อย่างไร?”

“คุณหมายถึงรากไม้นี้หรือ?” จางเซวียนถาม

“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “พวกเราต้องรีบหน่อย มีคนจำนวนหนึ่งอยู่ที่นั่นแล้ว และพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ตั้งใจจะใช้สายเลือดฮ่องเต้ของหยวนเทาเพื่อเข้าสู่โดมแอปริคอต ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนั้นมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร”

“ผมเข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินว่าหยวนเทาอยู่ในพื้นที่นั้นเช่นกัน จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เข้าไปข้างในกันเถอะ!” หลัวลั่วชิงหันกลับไปพูดกับหวู่เฉิน

“ได้” หวู่เฉินพยักหน้าก่อนจะกระดิกนิ้ว

ครืดดดด!

เกิดรอยแยกของมิติขึ้นเหนือโอเอซิส แล้วทางเดินแห่งมิติก็ก่อตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน พวกเขาเห็นพระราชวังขนาดใหญ่ปรากฎอย่างเลือนรางที่บริเวณปลายสุดของทางเดิน

“ฉีกกระชากมิติได้ด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เพราะผ่านมิติผืนทรายมาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่ามิตินั้นแข็งแกร่งทนทานแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด นักรบผู้นั้นจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจึงจะสามารถฉีกกระชากมิติได้ แต่หวู่เฉินทำลายมิติด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว ง่ายดายกว่าที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำดำเนินการเสียอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าหวู่เฉินพบกับความโชคดีบางอย่างและสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว?

“ไปกันเถอะ”

หลัวลั่วชิงเห็นความสับสนในดวงตาของจางเซวียน แต่เพราะทุกคนกำลังรีบ เธอจึงไม่อธิบายหลัวลั่วชิงนำหน้า แล้วบินตรงไปยังทางเดินแห่งมิติ

จางเซวียนตามเธอไปติดๆ

ก็เหมือนกับหลายครั้งก่อนที่เขาได้เข้าสู่อาณาบริเวณรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงตระหง่าน ตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้บนป้ายบริเวณทางเข้าซึ่งเรืองแสงนวลออกมา-โดมแอปริคอต!

เหมือนอย่างที่หลัวลั่วชิงบอก คนจำนวนมากออกันอยู่บริเวณรอบนอกโดมแอปริคอต ส่วนหนึ่งมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ บางส่วนเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ แถมยังมีเผ่าพันธุ์อสูรด้วย แรงกดดันหนักหน่วงกระจายตัวอยู่ทั่วไปแม้แต่ละเผ่าพันธุ์จะไม่ได้สู้รบกัน พวกเขาดูจะกำลังรอคอยอย่างอดทนให้หอบริวารแห่งสุดท้ายของวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออก

ทุกคนรู้สึกได้ถึงรังสีเจิดจ้าที่อยู่เบื้องหลัง ดูเหมือนว่าเหตุผลเดียวที่พวกเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบก็เพราะมีเหล่านักปราชญ์โบราณคอยควบคุมอยู่