ตอนที่ 716 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (4) โดย Ink Stone_Romance
เสียงของเย่เซียวแหบพร่า “สิบปีก่อนฉันพ่ายแพ้เธอจนสูญเสียทุกสิ่ง สิบปีหลังฉันยังคงพ่ายแพ้ให้เหมือนเดิม…เหมือนที่นายบอก ฉันสู้เธอไม่ได้”
ใครรักใครก่อนคนนั้นแพ้
ในสงครามความรักกับเธอครั้งนี้เขาแพ้ราบคาบมาตั้งนานแล้ว สิบปีหลังก็เป็นแค่การขัดขืนที่ยิ่งซ้ำเติมความเจ็บปวดเท่านั้น
ถังซ่งพูดไม่ออกสักคำ
เขาไม่เคยพบเจอความรักที่ดูดพลังชีวิตขนาดนี้มาก่อน แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดลึกๆ ในใจของเย่เซียวได้เป็นอย่างดี
ผู้ชายที่พูดน้อยเงียบขรึม ปกติต่อให้รู้สึกแย่ขนาดไหนก็ไม่บอกให้รู้สักคำ ต่อให้เมาก็ยังเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่คืนนี้เขากลับต่างไปจากเดิมมาก
เขารู้ว่านี่ถึงขีดจำกัดของความอัดอั้นที่เขาจะรับไหวแล้ว…
……
ผู้ชายสองคนเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ถังซ่งคิดคำปลอบโยนไม่ออกส่วนเย่เซียวไม่ใช่คนที่ต้องการการปลอบโยนคนหนึ่ง โดยเฉพาะเวลานี้นอกจากไป๋ซู่เย่ ใครเล่าจะช่วยปลอบเขาได้จริงๆ?
ผ่านไปพักใหญ่เย่เซียวก้มมองเวลาแวบหนึ่ง ตีสี่แล้ว
เขาวางแก้วเหล้าลงถามถังซ่ง “อยากดูพลุดอกไม้ไหม?”
“พลุดอกไม้อะไร? นี่มันกี่โมงแล้วจะมีพลุดอกไม้มาจากไหน?” ถังซ่งงุนงง
เย่เซียวล้วงมือในกระเป๋าสองข้างและมองไปตรงหน้านิ่ง จู่ๆ เกิดเสียง ‘ปัง–’ เมื่อพลุดอกไม้แตกออกมาเหนือทะเลที่มืดมิด ไร้การบอกกล่าวล่วงหน้าในเวลาดึกดื่นแบบนี้
ถังซ่งนิ่งอึ้ง
นี่เรื่องอะไร?
ตามด้วย…
พลุดอกไม้ระยิบระยับพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า จุดประกายแสงสว่างให้กับคืนรัตติกาล
ดวงตาเย่เซียวเริ่มล่องลอย
ข้างหูราวกับมีเสียงสดใสและซุกซนเมื่อสิบปีก่อนดังขึ้น
–“เย่เซียว คุณรีบมา!พลุดอกไม้ใกล้เริ่มแล้ว!”
–“ผมจะไปอาบน้ำ” เขาไม่รู้สึกสนใจ เทียบกับพลุดอกไม้แล้วความจริงเขาชอบนอนกอดเธอมากกว่า
–“คุณไม่ต้องอาบน้ำแล้ว จะไม่ทันดูแล้ว!” เธอดึงเขาไว้ไม่ปล่อยให้เขาไป
–“ดูทุกสัปดาห์ แล้วยังเหมือนกันทุกครั้ง คุณไม่เบื่อหรือไง?”
–“ไม่เคยได้ยินประโยคหนึ่งบอกหรือว่าอยู่ด้วยกันกับคนที่ตัวเองชอบ ทำอะไรก็สนุกไปหมดแหละ!” จู่ๆ เธอก็ถลึงตาจ้องเขา “เย่เซียว คุณเบื่อแล้วเหรอ?”
เมื่อนั้นเขาตอบกลับเธออย่างไรกันนะ?
เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้ตอบ แต่ในใจกลับบอกชัดเจนว่าเบื่อการดูพลุดอกไม้จริงๆ แต่ไม่มีวันที่เบื่อในการมองเธอ…
แต่ภายหลังถึงรู้ว่าระหว่างพวกเขา ที่แท้ไม่มี ‘ตลอดไป’…
เย่เซียวดูพลุดอกไม้ ถังซ่งมองเย่เซียวโดยมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก
เจ้าหมอนี่จุดพลุดอกไม้ให้ตัวเองดูตอนดึกดื่น? แล้วยังใช้สีหน้าโศกเศร้าปนหนักใจนั่นอีก นี่กำลังเล่นอะไรอยู่?
สิ่งที่เขาไม่รู้ว่าอีกห้องที่ห่างออกไปหลายกำแพง หญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ริมหน้าต่างติดพื้นนิ่ง สีหน้าแตกสลายไม่ต่างจากเย่เซียว…
พลุดอกไม้บนทะเลจะเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่มของทุกวันเสาร์
วันนี้กลับเป็นเวลาตีสี่ของวันพุธ…
ชัดเจนว่ามาจากการวางแผนที่เร่งด่วน
แต่ว่า…
พลุดอกไม้ของวันนี้แตกกระจายบนท้องฟ้า สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงสีขาวดำไร้สีสัน
ยิ่งคล้าย…
เป็นการไว้อาลัย แก่พวกเขาที่จะต้องจากกันไปชั่วนิรันตร์…
…………………………
วันรุ่งขึ้น
ไป๋ซู่เย่สวมแว่นกันแดดนั่งเก็บกระเป๋าเดินทางบนพื้น
ไป๋หลางมาเคาะประตู เห็นเธอสวมแว่นกัดแดดเลยทำหน้าไม่เข้าใจ “ใส่แว่นกันแดดแต่เช้าทำไม?”
“ไม่สบายที่ตานิดหน่อย” เธออธิบายเงียบง่าย
ไป๋หลางมองดูเธอเก็บกระเป๋าเดินทาง ใช้สายตาประเมินเธออยู่ครู่ใหญ่ถึงถามประโยคหนึ่ง “คุณ…คงไม่ได้ร้องไห้จนตาแดงหรอกนะ?”
“…” มือของไป๋ซู่เย่ที่กำลังเก็บกระเป๋ากระตุกสั่นทีหนึ่ง
“คุณร้องไห้ทั้งคืน?”
“ใช่สิ ฉันร้องไห้ทั้งคืน คนที่บอกฉันว่าเมื่อวานจะเอาอาหารเย็นมาให้แต่รอถึงเที่ยงคืนก็ไม่เห็นนาย นายว่าฉันควรร้องไห้ทั้งคืนไหมล่ะ?”
“อา เมื่อคืนผมมาถึงโรงแรมก็หลับไปเลย แต่กลางดึกมีคนจุดพลุดอกไม้ด้วย ทำเอาผมตื่นเลย ดีที่พลุดอกไม้นั่นสวยดี รัฐมนตรี คุณเห็นไหม?”
“…ไม่”
“งั้นก็น่าเสียดาย ได้ยินว่าพลุดอกไม้นั่นเป็นคำขอเร่งด่วนของคนอื่น ไม่แน่อาจจะใช้ขอแต่งงานก็ได้สินะ? แต่มาขอแต่งงานตอนตีสี่ก็ลำบากน่าดู ผมเดาว่าว่าที่เจ้าสาวก็ไม่น่าจะดีใจอะไรหรอกนะ?”
“ไป๋หลาง ทำไมนายทั้งพูดมากทั้งสอดรู้ขนาดนี้?” ไป๋ซู่เย่หมดความอดทน
ไป๋หลางเห็นเธออารมณ์ไม่ดีจริงๆ ถึงได้เงียบเสียงไป ขณะนั้นเองกริ่งประตูดังขึ้นฉับพลัน ไป๋ซู่เย่มองไป๋หลางแวบหนึ่ง ไป๋หลางรีบเด้งตัวลุก “ผมไปเปิดประตูเอง”
ไม่นานไป๋หลางก็พาพนักงานเข้ามาข้างใน
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“คุณไป๋ นี่เป็นตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ S ในอีกสักครู่ของคุณ ตอนนี้คุณน่าจะต้องออกเดินทางแล้ว ข้างล่างมีรถเตรียมไว้ให้คุณแล้ว”
ไป๋ซู่เย่รับตั๋วมาเปิดดูทีหนึ่ง
เขาต้องการให้เธอจากไปอย่างอดใจรอไม่ไหวจริงๆ สินะ…
จองเที่ยวบินแรกเสียด้วย
ไป๋หลางหยิบตั๋วเครื่องบินไปดูวูบหนึ่งแล้วมุ่นคิ้ว “ทำไมถึงไปล่ะ? ตั๋วเครื่องบินที่เราจองไว้ไม่ใช่เวลานี้นี่”
“พวกนายไปร่วมงานหมั้นเถอะ ฉันกลับไปก่อน”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
“ไม่มีอะไร แค่กระทรวงงานยุ่งเฉยๆ” เธอพยายามพูดให้ง่ายดายที่สุด
“งั้นผมกลับไปพร้อมกับคุณ” ไป๋หลางกล่าว “ยังไงซะผมก็ตามคุณมา”
“เงื่อนไขคือนายต้องมั่นใจก่อนว่ายังมีตั๋วเครื่องบินเที่ยวบินเดียวกันเหลืออยู่” ไป๋ซู่เย่เก็บตั๋วเครื่องบินใส่กระเป๋า ถือกระเป๋าเดินทางเดินออกไปจากห้อง ไป๋หลางกำลังโทรจองตั๋วเครื่องบินอยู่ทางนั้นแต่เป็นไปตามที่คิดเลยว่าเที่ยวบินแรกถูกจองเต็มหมดแล้ว
………………
ไป๋ซู่เย่นั่งอยู่บนรถที่เย่เซียวเตรียมไว้ให้มุ่งหน้าสู่สนามบินเพียงลำพัง
ภาพทิวทัศน์ของเมืองเยียวเลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกมาจากโรงแรมตามข้างถนนระยะหนึ่งที่ติดธงสีชมพูยาวและปลูกดอกไม้สดสีขาวตามทาง
วิทยุของเมืองเยียวกำลังรายงานเกี่ยวกับงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ของวันนี้ ไป๋ซู่เย่ตั้งใจฟังไปและน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ยังดีที่แว่นกันแดดช่วยบดบังดวงตาเปื้อนน้ำตาของเธอ
ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นั่งรถมาถึงสนามบิน
ข้างกายมีผู้คนขวักไขว่ไปมา มีเพียงเธอที่จัดการเช็คอินอย่างคล่องแคล่ว เข้าด่านตรวจสัมภาระก่อนจะเข้าไปนั่งรอในห้องพักผ่อนเพียงลำพัง
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเลยรู้สึกมึนหัวหน่อยๆ ขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยโทรศัพท์ก็แผดเสียงในทันที
เธอสะดุ้งหลุดจากภวังค์
ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ามา บนหน้าจอเป็นเบอร์เลขรวน
หัวใจสั่นไหว
จ้องหน้าจอนั่นนิ่งและเผลอกลั้นหายใจ
เขาหรือ?
แต่ตอนนี้เขาควร…เตรียมตัวเพื่อพิธีหมั้นของเขาต่อจากนี้ไม่ใช่หรือ?
……………………………