เมื่อนางรีดข้อมูลจากเหวยจื้อหมิงและคนอื่นๆ เสร็จแล้ว โม่เทียนเกอจึงขอห้องในเรือนเมฆคราม เถ้าแก่ของเรือนเมฆครามทำถึงขนาดจัดสนามเล็กๆ ให้นางด้วยเมื่อได้ยินว่านางต้องการจะอยู่ที่นี่ไปก่อนสักระยะหนึ่ง จากเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนพึงพอใจกับผลประโยชน์ต่างๆ มากมายที่ได้รับในเมืองหลินไห่
เรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าการอนุมานก่อนหน้านี้ของนางค่อนข้างจะด่วนสรุปไปสักหน่อย ถึงแม้สภาปี้เซวียนจะเจ้ากี้เจ้าการมากในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ฝึกตนเดี่ยว แต่พวกเขาก็ให้ผลประโยชน์มากมายเช่นกัน ไม่ว่ากรณีใด สภาพภูมิประเทศของเขตนี้ก็มีเอกลักษณ์พิเศษ ดังนั้นไม่ว่าสภาปี้เซวียนจะจัดการเรื่องต่างๆ อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นอย่างนางจะไปตัดสินได้
ทั้งสามคนยื้อแย่งที่จะเชิญนางไปเป็นแขกของตระกูลตัวเอง ทว่าโม่เทียนเกอก็ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขาอย่างชาญฉลาด
นางต้องการจะออกจากเมืองหลินไห่ทันทีที่ทำได้และกลับไปยังคุนอู๋ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับตระกูลผู้ฝึกตนเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงพวกเขาเข้ามาพัวพันกับสิ่งใดก็ตาม อำนาจของสภาปี้เซวียนยิ่งใหญ่เกินไปในบริเวณนี้ คงจะเป็นปัญหาแน่หากสิ่งต่างๆ ผิดพลาดไปและนางไปละเมิดข้อห้ามอะไรเข้า
จากเหวยจื้อหมิงและสหายของเขา โม่เทียนเกอได้เข้าใจสถานการณ์ในหลินไห่อย่างคร่าวๆ
ตามคำของพวกเขา เมืองหลินไห่เป็นอาณาเขตของสภาปี้เซวียน ไม่ว่าพวกเขาอยากจะทำอะไร ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนในเมืองหลินไห่ที่จะหลีกเลี่ยงสภาปี้เซวียนไปได้
สำหรับโม่เทียนเกอ ตราบใดที่สภาปี้เซวียนควบคุมม่านพลังเคลื่อนย้ายเพียงหนึ่งเดียวที่เชื่อมกับโลกภายนอกหลินไห่ นางก็ต้องติดต่อกับพวกเขาอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ตาม นางต้องคิดให้รอบคอบว่านางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
เหวยจื้อหมิงและสหายของเขาบอกว่าในตอนแรกเริ่ม ม่านพลังเคลื่อนย้ายของสภาปี้เซวียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เคลื่อนย้ายศิษย์ของพวกเขาอย่างเดียว แม้ถ้าผู้ฝึกตนเดี่ยวต้องการจะหยิบยืม พวกเขาก็สามารถใช้ได้ตราบใดที่พวกเขามีศิลาวิญญาณหรือของมีค่าอย่างอื่นมากพอ
หลินไห่แยกตัวอย่างโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกมานานมาก ดังนั้นศิลาวิญญาณ ของมีค่าและของอื่นๆ ที่นั่นจึงค่อนข้างขาดแคลน ผู้ฝึกตนเดี่ยวมักจะต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดของพวกเขาเพื่อใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครคัดค้านกฎนี้เพราะตัวม่านพลังเคลื่อนย้ายเองก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณมาก ถ้าสภาปี้เซวียนไม่รับค่าตอบแทนใดๆ พวกเขาก็จะขาดทุนแน่นอน
ในภายหลัง ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไรกันแน่ ค่าตอบแทนที่สภาปี้เซวียนเรียกร้องยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสุดท้ายก็ไม่มีผู้ฝึกตนเดี่ยวคนไหนมีปัญญาจ่ายได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ม่านพลังเคลื่อนย้ายจึงกลายเป็นทรัพย์สินพิเศษเฉพาะของสภาปี้เซวียน แม้แต่ตอนนี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนเดี่ยวต้องการยืมม่านพลังเคลื่อนย้าย สภาปี้เซวียนก็จะตั้งราคาสูงเสียดฟ้าเป็นการบีบบังคับให้พวกเขาต้องสมัครใจยอมถอยไปเองเพราะพวกเขาไม่สามารถจ่ายได้
ตอนนี้เมื่อนางมีความเข้าใจแจ่มแจ้งเรื่องนี้จากข้อมูลที่นางได้รับ โม่เทียนเกอจึงวางแผนไว้สักสองสามวิธี
วิธีแรกคือเปิดเผยตัวตนของนางไปตรงๆ คาดว่าสภาปี้เซวียนน่าจะยินดีช่วยนางเพราะชื่อเสียงของโรงเรียนเสวียนชิง อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วสภาปี้เซวียนก็แตกต่างจากกลุ่มการฝึกตนของคุนอู๋ สภาพภูมิประเทศของหลินไห่นั้นพิเศษ ในหลินไห่ สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนกลุ่มเดียวที่นั่นและพวกเขาก็มักจะเป็นฝ่ายตัดสินใจสุดท้ายเสมอ ต่อให้โรงเรียนเสวียนชิงกลายเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้า สภาปี้เซวียนก็ยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร
วิธีที่สองก็เหมือนอย่างที่เหวยจื้อหมิงและคนอื่นๆ แนะนำ เมื่อสภาปี้เซวียนสังเกตเห็นว่าระดับการฝึกตนของนางค่อนข้างสูง พวกเขาน่าจะพยายามชักชวนนางเข้ากลุ่ม และในตอนนั้นหากนางกลายเป็นศิษย์ของพวกเขา นางก็จะสามารถขอใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายได้ตามปกติ ทว่าการทำเช่นนั้นจะต้องทำให้เรื่องที่เดิมควรจะง่ายกลับซับซ้อนขึ้นมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางแค่ต้องการยืมทางออกจากพวกเขา แต่นางกลับต้องหลอกพวกเขาแทน ถ้าคนจากสภาปี้เซวียนรู้เข้า นอกเหนือจากความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่ให้นางใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายแล้ว พวกเขาอาจจะพยายามฆ่านางเพราะความโกรธด้วย
ยังมีวิธีที่สามอีก คนพวกนั้นพูดว่าผู้ฝึกตนต่างถิ่นบางส่วนเคยมาที่หลินไห่โดยบังเอิญมาก่อน สถานการณ์ค่อนข้างลำบากสำหรับผู้ฝึกตนชาย แต่สำหรับผู้ฝึกตนหญิง… หากพวกนางไม่ถูกสภาปี้เซวียนเกณฑ์เข้ากลุ่มก็อาจจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อถูกส่งออกไปจากหลินไห่ นางก็อาจจะทำอย่างที่นางทำตอนก่อนหน้านี้ อ้างว่าเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวที่ยินดีจะจ่ายเงินและขอยืมทางออกไปจากสภาปี้เซวียน
หลังจากคิดมาเป็นเวลานานและยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้วิธีไหน จู่ๆ ความคิดก็แวบเข้ามาในจิตใจโม่เทียนเกอกะทันหันและนางหัวเราะขึ้นทันที
ที่จริงแล้วนี่มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ทำไมนางต้องทำให้มันซับซ้อนเกินความจำเป็นด้วยเล่า
นอกเหนือจากเหยียนรั่วซูและสหายศิษย์ของนางสองคน นางก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรอื่นกับสภาปี้เซวียนอีก และการตายของพวกนางในถ้ำเซียนของจื่อเวยก็ไม่ใช่ความผิดของนางเช่นกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีความเป็นศัตรูหรือความเคียดแค้นระหว่างนางกับสภาปี้เซวียน ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกเขาจะทำให้เรื่องต่างๆ ยากเย็นสำหรับนาง
ไม่ว่านางจะเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงหรือผู้ฝึกตนเดี่ยวก็ไม่สำคัญ สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง และจากที่เหวยจื้อหมิงและคนอื่นๆ พูด พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้โหดร้ายเกินไปกับผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่ใช่ศิษย์ของพวกเขาเช่นกัน นางแค่ต้องบอกพวกเขาไปตามจริงอย่างมั่นใจ ทำไมนางจะต้องใช้สมองมากมายแค่เพื่อคิดหาข้อแก้ตัวด้วย
ท้ายที่สุดก็มาจบลงที่ความจริงว่านางได้เผชิญกับอุปสรรคมามาก ดังนั้นนางจึงอยากจะเลี่ยงภัยอันตรายเสมอ ทำให้นางคิดมากกับปัญหาไม่สำคัญอยู่ร่ำไป ในโลกนี้จะมีอะไรแน่นอนได้อย่างไรกัน ตอนนี้นางยังเป็นมนุษย์อยู่ ยังไม่ใช่เซียนที่แท้จริง นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสูงด้วยซ้ำ และนางก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงโชคชะตา แถมนางยังไม่ฉลาดพอจะคิดใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ทุกทาง นางแค่ต้องระมัดระวังในสิ่งที่นางควรต้องระวังเอาไว้ก็เท่านั้น การเลี่ยงทุกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ด้วยความคิดเช่นนี้ในใจ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ตัดสินใจได้ ในเมื่อนางต้องผ่านทางสภาปี้เซวียน นางคิดว่านางควรขอความช่วยเหลือจากพวกเขาตามตรง
นอกจากนี้ ตอนที่นางอยู่ในถ้ำเซียนของจื่อเวย นางและนักพรตฟางเจิ้งได้แบ่งทรัพย์สินของผู้ตายกันระหว่างสองคน รวมถึงทรัพย์สินของเหยียนรั่วซูและสหายศิษย์ของนางด้วย ดังนั้นนางจึงควรจะซ่อนมันไว้เมื่อนางไปที่สภาปี้เซวียน ยิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดีกว่า นางไม่สามารถอธิบายรายละเอียดการผจญภัยด้วยกันของพวกเขาได้ ดังนั้นนางจึงน่าจะไม่พูดอะไรเลยดีกว่า
นางพักอยู่หนึ่งวันในเรือนเมฆคราม ในวันถัดมา โม่เทียนเกอทำตามคำแนะนำของเถ้าแก่ร้านเรือนเมฆครามและไปที่ร้านค้าของสภาปี้เซวียนในเมืองหลินไห่ที่ชื่อว่าหอวารีสีฟ้า
ขณะที่โม่เทียนเกอเดินเข้าไปในร้านที่ดูเหมือนกับร้านของมนุษย์ทั่วไปไม่มีผิด นางยังได้สำรวจสภาพรอบตัวอย่างเร็วอีกด้วย
ร้านนี้ไม่ใหญ่นัก มีเพียงห้องแสดงสินค้าสองห้อง อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเรียบง่ายแต่ก็มีสินค้าแน่น ทั้งวิชาการฝึกตน ยาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณและวัตถุดิบต่างๆ แต่ละอย่างถูกวางขายอยู่บนโต๊ะคนละตัว แม้แต่ที่รับสินค้าที่นั่นก็มีให้
มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับต่ำในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณกำลังคุมโต๊ะสินค้าที่นั่น โม่เทียนเกอยังสังเกตเห็นอีกว่า… พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนชาย
ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่เฝ้าร้านดูค่อนข้างตกตะลึงเมื่อพวกเขาเห็นนางเข้ามา แต่พวกเขาก็ดึงสติจากความงุนงงทันทีและรีบเข้ามาต้อนรับนาง “นี่… ศิษย์พี่”
ตอนนี้โม่เทียนเกออำพรางระดับการฝึกตนของนางจนแสดงออกมาว่าอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ท้ายที่สุดแล้วขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็ถือว่าเป็นระดับการฝึกตนที่สูงมากที่นี่ สภาปี้เซวียนเองมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังรวมทั้งหมดสามคน ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานอาจจะดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพวกเขาได้ ส่วนระดับการฝึกตนในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณนั้นต่ำเกินไปซึ่งอาจทำให้นางโดนดูถูกได้
ถึงแม้คนผู้นั้นจะเรียกนางว่าศิษย์พี่ แต่เขาก็ไม่กล้ามั่นใจมากและดูค่อนข้างงุนงง ในหลินไห่ นอกเหนือจากพวกผู้หญิงที่รากวิญญาณย่ำแย่มากหรือไม่มีรากฐานใดเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงทุกคนที่มีพื้นฐานการฝึกตนอยู่บ้างมักเป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียน ตามหลักเหตุผลแล้วผู้ฝึกตนหญิงในระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นต่อหน้าพวกเขาควรจะเป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียน แต่บนร่างกายของนางไม่มีสัญลักษณ์ใดของสภาปี้เซวียน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่รู้จักเครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิงด้วย
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มบางๆ จากนั้นจึงพูดกับคนผู้นั้นว่า “ขอประทานโทษ ที่นี่คือร้านค้าของสภาปี้เซวียนใช่หรือไม่”
เมื่อพนักงานร้านได้ยินคำถามของนาง เขาพยักหน้าทันทีและถามกลับ “ขออภัยที่ต้องถามขอรับ แต่ศิษย์พี่ ท่านคือ…”
ใบหน้าโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่ง “ข้าเป็นผู้ฝึกตนจากคุนอู๋ที่มาที่นี่โดยบังเอิญ ข้ามาขอพบกับเถ้าแก่ร้านของสภาปี้เซวียน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด พนักงานขายทุกคนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ไปตามๆ กันและหันเหสายตามามองนาง เป็นเวลานานมากแล้วตั้งแต่ที่มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นมาที่หลินไห่ และยิ่งไปกว่านั้น คนที่มาคุยกับพวกเขายังจัดว่าเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานระดับสูงอีกด้วย
พนักงานคนที่ต้อนรับนางรีบพูดว่า “เป็นเช่นนั้นเอง! ศิษย์พี่ กรุณาสักครู่ขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเถ้าแก่ให้ออกมาพบท่าน”
โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณที่ลำบาก”
บางทีอาจจะเพราะระดับการฝึกตนของนางสูงมากพอ หรือบางทีอาจจะเพราะทัศนคติของนางเป็นที่น่าพ่อใจ พนักงานคนนั้นจึงรีบเข้าไปที่โถงหลังร้านทันทีหลังจากเขาเชิญให้นางนั่งลง ในไม่ช้า ชายวัยกลางคนในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณระดับเก้าก็เดินตามหลังพนักงานออกมาอย่างร้อนใจ
ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นโม่เทียนเกออยู่ในที่นั่งแขก เขาเดินเข้ามาหาในทันทีและพูดอย่างนอบน้อม “ขอคารวะศิษย์พี่ ข้าคือลั่วเชียนซาน เถ้าแก่ของหอวารีสีฟ้า”
โม่เทียนเกอยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพเขากลับ “เถ้าแก่ลั่วไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก ข้านามว่าคือเยี่ยเสี่ยวเทียน เป็นผู้ฝึกตนจากคุนอู๋ที่มาที่นี่โดยบังเอิญ ข้าได้ยินว่าสภาปี้เซวียนมีม่านพลังเคลื่อนย้ายเพื่อใช้ออกจากบริเวณนี้ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจมาขอพบท่าน”
เถ้าแก่ลั่วได้ยินสาเหตุการแวะมาของนางจากพนักงานเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว ถึงแม้หลินไห่จะอยู่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอก แต่ก็มักจะมีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่โผล่มาโดยบังเอิญบ้างบางครั้งผ่านแทบทุกวิธีและเขาก็แค่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ไปที่กลุ่ม ส่วนผู้ฝึกตนคนนั้นจะสามารถออกไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มยินดีจะยอมให้พวกเขาใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายหรือไม่ แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนเป็นผู้ฝึกตนหญิงและยังเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วย ในสถานที่เล็กๆ อย่างหลินไห่นี้ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานคือผู้ฝึกตนระดับสูง เขาจึงไม่กล้าจะเพิกเฉยต่อนาง
“ศิษย์พี่เยี่ยนี่เอง” ทัศนคติของเถ้าแก่ลั่วยังคงมีความเคารพและสุภาพ “เรื่องนี้สำคัญมาก ข้าน้อยจะรายงานกลับไปยังศิษย์พี่ในกลุ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างแน่นอน ศิษย์พี่เยี่ย เชิญเข้ามาข้างในและนั่งรอสักครู่ขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ได้สิ ขอโทษที่รบกวน”
ทั้งทัศนคติและลักษณะของนางทั้งอบอุ่นและสุภาพ ดังนั้นลั่วเชียนซานจึงมีความประทับใจที่ดีต่อนาง เขาเชิญนางเข้ามาในห้องด้านในทันทีและเสนอชาให้นาง
“ศิษย์พี่เยี่ย” หลังจากสั่งลูกน้องของเขาให้รายงานกลับไปที่กลุ่ม ลั่วเชียนซานนั่งลงด้านข้าง “เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ที่มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นมาถึงหลินไห่ของเรา ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่มาลงเอยในหลินไห่ได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอยิ้ม เห็นได้ชัดว่าลั่วเชียนซานคนนี้ต้องการจะถามถึงที่มาของนาง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หลินไห่เป็นอาณาเขตของสภาปี้เซวียน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ฝึกตนต่างถิ่นปรากฏตัวขึ้นกะทันหันและขอยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายของพวกเขา พวกเขาก็ต้องสอบถามเกี่ยวกับผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นธรรมดา
“เกี่ยวกับเรื่องนี้… พูดตามตรง ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน” นางคิดมานานแล้วว่าจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร “ในตอนแรกข้าไปที่สถานที่ลับแห่งหนึ่งเพื่อตามหาชะตาลิขิตบางอย่าง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่สถานที่ลับนั้นได้พังทลายลงอย่างกะทันหัน ในตอนหลังข้ารู้ตัวว่าข้าถูกส่งมาที่หลินไห่”
“ข้าเข้าใจ…” ลั่วเชียนซานไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นจริงหรือหลอก เขาสังเกตเห็นเพียงว่าโม่เทียนเกอดูสงบนิ่งและนางดูไม่มีอะไรน่าสงสัย “จากกิริยาท่าทางของศิษย์พี่เยี่ย ศิษย์พี่เยี่ยดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนเดี่ยว ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่ากลุ่มการฝึกตนในคุนอู๋กลุ่มใดที่ท่านเป็นศิษย์อยู่”
“จริงสิ” โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ข้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงในคุนอู๋ตะวันตก”
“โรงเรียนเสวียนชิงหรือ” ลั่วเชียนซานตกตะลึง เขาไม่ใช่หนึ่งในผู้ฝึกตนตัวจ้อยจากตระกูลผู้ฝึกตน ในฐานะเถ้าแก่ร้านค้าของสภาปี้เซวียน เขาได้ติดต่อกับธุระต่างๆ ของสภาปี้เซวียนอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงรู้มากกว่าที่พวกเขารู้
โรงเรียนเสวียนชิง… นั่นคือกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้า! ถึงแม้อำนาจของสภาปี้เซวียนในหลินไห่จะยิ่งใหญ่มาก แต่ก็จัดว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนขนาดเล็กในคุนอู๋เท่านั้น เทียบไม่ได้กับกลุ่มในคุนอู๋ด้วยซ้ำไป
สายตาลั่วเชียนซานเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาได้ยินนางพูดว่านางเป็นศิษย์จากโรงเรียนเสวียนชิง เขาพูดอย่างค่อนข้างหวาดกลัว “ที่จริงแล้วศิษย์พี่เยี่ยเป็นศิษย์พี่จากโรงเรียนเสวียนชิง! ข้าทำตัวหยาบคายเสียจริง หยาบคายเกินไป”
“ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอก” โม่เทียนเกอโบกมือ “ข้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาในโรงเรียนเสวียนชิง ข้าจึงไม่คู่ควรกับความสุภาพมากมายจากเถ้าแก่ลั่วนัก”
ทั้งๆ ที่โม่เทียนเกอพูดเช่นนั้น ลั่วเชียนซานก็ยังคงไม่กล้าดูหมิ่นนาง เขาพูดอย่างสุภาพและทัศนคติของเขาก็นอบน้อม เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พยายามจะเก็บพื้นเพของนางเป็นความลับและตอบทุกอย่างที่เขาถาม เขาจึงหายสงสัยไปจนหมดสิ้น
ไม่นานหลังจากนั้น พนักงานที่เขาส่งไปที่กลุ่มเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นก็กลับมา เป็นดังที่นางคาด เจ้าหน้าที่ของสภาปี้เซวียนต้องการพบนาง
โม่เทียนเกอแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้น นางหวังว่าเจ้าหน้าที่ของสภาปี้เซวียนจะสามารถให้นางยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายได้อย่างราบรื่น