เล่มที่ 20 ตอนที่ 27

Memorize

ตอนที่ 27 ProjectZyphon

…หลังจากที่มีคำสั่งให้สลายตัวอย่างเป็นทางการ พวกเราจึงรีบเดินทางกลับไปยังตัวเมืองทันทีครับ พอภายในตัวเมืองได้รับการบำรุงฟื้นฟูเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจึงออกเดินทางสำรวจทันที ใจจริงแล้วผมอยากจะรีบๆ เดินทางให้ถึงที่หมายโดยไว เพราะพอวงล้อมสลายตัวไปหมดแล้ว ผมกลัวว่าจะมีใครมาตามล่าหาตัวผมอีก จึงอยากรีบเดินทางไปให้ถึงภายในวันนั้นเลย

ใช่ครับ และในที่สุด สองอาทิตย์หลังจากนั้น พวกเราก็เดินทางมาถึงเจดีย์น้ำแข็งที่อยู่ตรงใจกลางป่าน้ำแข็งได้สำเร็จ เจดีย์นั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาจากน้ำแข็งหรอกนะครับ แต่เป็นเจดีย์เก่าแก่โบราณที่โดนน้ำแข็งเข้าปกคลุมต่างหาก ผู้คนถึงได้เรียกกันแบบนั้น

…สภาพก็ไม่ใช่ว่าจะดูดีเสียเท่าไหร่หรอกนะครับ หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าผนังที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งนั้นมีรอยสนิมขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ เป็นตัวบ่งบอกที่ดีเลยล่ะว่า สถานที่แห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมามาก ขนาดก็ใหญ่มากเลยครับ กว้างมาก และสูงมากๆ ด้วย ความสูงน่าจะประมาณตึกสิบห้าชั้นได้เลยล่ะมั้งครับ

ถึงพวกเราจะไม่ได้ฝันหวาน อยากจะเข้าไปในสถานที่แห่งนี้เสียเท่าไหร่ แต่….คุณก็รู้ใช่ไหมครับ ว่าโบราณสถานทั้งหลายที่ความหมายอะไรต่อเหล่าผู้เล่นเช่นเราๆ บ้าง พวกเราต่างตื่นเต้นและดีใจมากๆ ที่จะได้เข้าไปสำรวจสถานที่แห่งนี้ และหวังว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง จึงรีบเดินหน้าเข้าไปข้างในทันทีเลยครับ

ชั้นหนึ่งไม่ค่อยมีอะไรแปลกหูแปลกตาเท่าไหร่ คือยิ่งเดินขึ้นไปเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรวิเศษวิโสเตะตาขนาดนั้นเลย อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติล้ำค่าเลยครับ สัตว์ประหลาดสักตัวเดียว ผมก็ยังไม่เห็นมันเลย

ผมกับเหล่าเพื่อนร่วมคาราวานผิดหวังกับที่แห่งนี้มากๆ แต่ด้วยความที่มันยังเหลือชั้นอื่นๆ ให้เดินต่อไปอีก ผมจึงค่อยๆ ดุนหลังให้เพื่อนร่วมคาราวานเดินขึ้นไปด้วยกัน ผมบอกให้พวกเขาลองขึ้นไปอีกสักหน่อยเถอะ ยังเหลือที่ให้เราเดินสำรวจอยู่เลย ลองเดินขึ้นไปดูจนสุดทางด้วยกันเถอะนะ ผมว่าแบบนั้นไปครับ

…ในตอนนั้นผมเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยครับ ว่าคำพูดของผม ณ ตอนนั้นจะกลายมาเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมดไปเสียได้

ผมจำไม่ได้แล้วล่ะครับ ว่าเกิดเรื่องที่ชั้นไหน แต่เมื่อผมเปิดประตู เดินขึ้นไปเรื่อยๆ มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่า ชั้นนี้มันมีอะไรที่แตกต่างไปจากชั้นอื่นๆ ที่เดินผ่านมา

เขาเรียกว่าอะไรกันนะ…เขาวงกตหรือเปล่า ใช่แล้ว เขาวงกตครับ ทั่วทั้งสี่ทิศรอบกายผมมีแต่น้ำแข็งปกคลุม เส้นทางในเขาวงกตก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งน้อยใหญ่ ดูแล้วสับสนมากครับ

พวกเราจึงเดินเข้าไปในเขาวงกตเพื่อที่จะหาบันไดเดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป เพราะคิดว่าอาจจะได้เจอกับประตูไปสู่ปลายทางของเขาวงกตนี้ก็ได้ และในตอนนั้นจึงได้รู้ว่า

มีเพื่อนของผมคนหนึ่งได้หายตัวไปอย่างลึกลับ

ตอนแรกพวกเราก็นึกว่าเขาคงจะหลงทาง จึงได้เดินย้อนกลับไปหาอีกครั้ง แต่กลับไม่พบร่องรอยของเพื่อนเลยแม้แต่น้อยครับ ร่องรอยก็ไม่เจอ มิหนำซ้ำพวกเรายังหลงทางวนอยู่แต่ในเขาวงกตนี้อีก

ผมรู้สึกสับสนมากๆ เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และในตอนที่รู้ว่าตัวเองหลงทางเข้าให้แล้ว เพื่อนของผมอีกสองคนก็ดันหายตัวไปอีก

ครับ คาราวานของผมมีทั้งหมดสิบเอ็ดคน รวมทหารรับจ้างเข้าไปด้วย แต่แล้วจู่ๆ กลับลดเหลือเพียงแค่แปดคนเท่านั้น พอยิ่งเดินทางไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงๆ สุดท้ายจำนวนคนก็ลดเหลือเพียงแค่ห้าคน ในตอนนั้นผมจึงรู้ได้ทันทีเลยว่า เรื่องนี้มันผิดปกติอย่างไรชอบกล

คนในคาราวานบอกให้พวกเรายอมถอยออกไปเสียก่อน ผมจึงได้ตัดสินใจว่าจะยอมถอนกำลังออกไปทันที แต่กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามดั่งใจหวังครับ เพราะเจ้าพวกนั้น… คือพวกเราถูกขังอยู่ในเขาวงกตเสียแล้วล่ะครับ ถึงจะหาอย่างไร เราก็ไม่เจอทางออกเลยแม้แต่ทางเดียว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น

แต่แล้วสุดท้ายเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูได้อีกครั้งครับ ประตูบานนั้นเป็นประตูที่ใช้สำหรับเดินขึ้นไปยังชั้นต่อไปที่เราค้นพบเมื่อกี้ และเมื่อเราได้เห็นประตูบานนั้นอีกครั้ง พวกเราก็กลายเป็นน้ำแข็งไปครับ

ทำไมน่ะหรือครับ เพราะที่ประตูมีข้อความอะไรบางอย่างสลักไว้อยู่น่ะครับ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่มีเลยสักข้อความเดียว โชคดีที่เพื่อนร่วมคาราวานหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ภาษาโบราณ เขาจึงช่วยวิเคราะห์ข้อความนั้นออกมาได้ครับ

[กำลังหาทางออกไปสินะ

ถ้างั้นก็เปิดประตูบานนี้สิ]

ผมกังวลอยู่พักหนึ่ง และแล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูบานนั้นในที่สุดครับ บางคนก็ห้ามผมแล้ว แต่ผมคิดว่าพวกเราควรจะเดินต่อไปเรื่อยๆ เผื่อจะได้เจอกับอะไรสักอย่างกับเขาบ้าง ดังนั้นหลังจากจัดการอะไรเสร็จสรรพ ผมก็เปิดประตูเข้าไปทันทีครับ

…ในห้องมืดมาก ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้ามันก็แตกต่างไปจากที่อื่นๆ ด้วย ผมรู้สึกว่ามันก็แค่ห้องธรรมดาๆ ที่ทั้งมืดและกว้างเฉยๆ รู้สึกแค่นั้นครับ

แล้วพวกเราก็เดินต่อไปอีกเท่าไหร่ไม่รู้

สุดท้ายพวกเราก็หยุดการเคลื่อนไหวอยู่หน้าผนังกั้นอีกครั้งเข้าจนได้ครับ ซึ่งบนผนังมืดๆ นั้น มีข้อความยาวๆ สลักอยู่ด้วยครับ

[เปิดประตูมาจริงๆ งั้นหรือ

ขอบใจ]

วินาทีที่ผมฟังคำนั้น ผมก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจทำเรื่องผิดพลาดไปเสียแล้ว และในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งกรีดร้องดังลั่น พลางวิ่งหนีไปทางประตู ในตอนนั้นผมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ขณะที่ผมกำลังกังวลใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปนั้นเอง

เพื่อนที่ช่วยวิเคราะห์ภาษาโบราณคนนั้น ก็ได้เปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

‘เอาล่ะ ตอนนี้ห้ามหันหลังกลับไปดูเด็ดขาด’

ตอนแรกผมก็งง ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แต่วินาทีนั้น ผมที่เป็นนักธนูก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างครับ

มีอะไรบางอย่างเข้ามาจากนอกประตูที่เราเดินล่วงเข้ามาครับ ผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วเลยล่ะ ส่วนที่เพื่อนคนนั้นบอกว่า ห้ามหันหลังกลับไปมอง แท้จริงแล้ว เขากำลังอ่านข้อความที่สลักอยู่บนผนังครับ

ในตอนนั้นครับ

เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ได้ยิน ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเสียงของเพื่อนคนหนึ่งที่วิ่งหนีออกนอกประตูไป และในเวลาเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ประตูที่ถูกปิดสนิทก็เปิดกว้างออกมาอย่างไม่มีสาเหตุครับ

* * *

“…แล้วเป็นอย่างไรต่อไปครับ”

ผมถามกลับไปเช่นนั้น แต่แล้วซงซึงกยูกลับส่ายหน้าเป็นพัลวัน พลางใช้มือทั้งสองข้างกอบกุมใบหน้าตัวเองเสียมิด แล้วผมก็ได้ยินน้ำเสียงอันแสนแหบแห้งดังออกมาจากอีกฝ่าย

“ไม่รู้ครับ เพราะในตอนที่ผมเห็นประตูเปิดกว้างออกอีกครั้งนั้น จู่ๆ ภาพตรงหน้าผมก็กลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดเลยครับ ผมจำได้แค่ว่า ผมหนีอะไรบางอย่างที่ตัวเองสัมผัสไม่ได้ ได้แต่วิ่งวนไปวนมาอยู่ในห้องเหมือนกับคนบ้า แล้วก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะออกไปจากห้องนี้ให้ได้ครับ”

 “แล้วไงต่อครับ”

“แล้วก็…ไม่รู้ครับ จำได้รางๆ ว่าตัวเองเอาแต่วิ่งหนีอยู่ท่าเดียว วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองหนีรอดออกมาได้อย่างไร พอผมได้สติกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่นอกเจดีย์เรียบร้อยแล้วครับ”

“อย่างนี้นี่เอง”

ผมเฝ้ามองท่าทีของเขา โดยไม่มองหน้าของเขาเช่นเคย ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับท่าทีเป็นนั่งไขว่ห้าง

หลังจากนั้น เขาจึงค่อยๆ ผละมือออกจากใบหน้า แล้วจึงพูดต่อออกมาด้วยแววตาวิบวับ

“ขอร้องล่ะครับ ถึงผมจะไม่คิดว่าพวกเขารอดก็เถอะ แต่…พวกเขาก็เป็นเพื่อนของผม พวกเราอยู่ด้วยกัน ผ่านอะไรด้วยกันมานานหลายปีแล้ว ผมก็แค่อยากจะยืนยันว่าเขาเป็นหรือเขาตายก็เท่านั้นครับ”

“ยืนยัน… คุณพูดเหมือนกับว่าจะขอร้องให้ผมไปช่วยชีวิตเลยนะครับเนี่ย”

ผมตั้งใจจะพูดว่า เขาขอร้องเพราะอยากยืนยันความเป็นความตายของเพื่อน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปพูดว่าเป็นการช่วยชีวิตเพื่อนเขาเสียแทน

วินาทีนั้น ผมก็คิดขึ้นมาว่าเรื่องของเขามันแปลกๆ อย่างไรชอบกล

เท่าที่ผมจำได้นั้น ป่าน้ำแข็งถือเป็นโบราณสถานก็จริง ทว่าสถานที่แห่งนี้ผมก็ไม่ได้วางแผนว่าจะเข้าไปสำรวจแต่อย่างใด เพราะสถานที่แห่งนี้ คือสถานที่ที่อีสตันเทลลอว์จะทำการสำรวจในภายหลังนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ผมจึงวางแผนไว้ว่าจะรออยู่ตรงนี้เฉยๆ รอรับฟังจากพวกเขาก็พอ ดีกว่าเสี่ยงเข้าไปสำรวจเองเป็นไหนๆ

ฮันโซยองคงรู้สึกได้ถึงสายตาของผม หล่อนจึงปริปากพูดออกมาว่า

“เดิมทีแล้ว เป็นฝั่งพวกเราต่างหากค่ะที่จะต้องจัดการกับเรื่องนี้ แต่…ตอนนี้อีสตันเทลลอว์กำลังทุ่มเทพลังในการฟื้นฟูเมืองอยู่น่ะค่ะ จึงเกรงว่าความสามารถที่มีอยู่ตอนนี้ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับภารกิจนี้ พวกเราจึงอยากมาขอความช่วยเหลือจากเมอร์เซนต์นารี่น่ะค่ะ”

ทักษะการพูดของเจ้าหล่อนยังดีอยู่เหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อถือในคำพูดของฮันโซยองร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ที่บอกว่าช่วงนี้กำลังยุ่งๆ เรื่องนั้นมันก็จริง แต่ยังมีอีกหลายเผ่าไม่ใช่เหรอที่อยู่ใต้อาณัติของหล่อน เพราะฉะนั้นหล่อนจะไปฝากฝังเรื่องนี้กับเผ่าสักเผ่าก็ได้แล้ว แต่หล่อนกลับวิ่งโร่มาหาผม เหตุผลที่แท้จริงนั้น…

ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเห็นธงประดับหรอก คงได้รับรู้ข้อมูลมาก่อนหน้านั้นอยู่พอสมควรแล้วสิไม่ว่า ก็เลยมาเพื่อขอคำยืนยัน หากไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคิด ก็คงจะมาเรียกร้องอะไรจากพวกเราแน่

ผมหยุดคิดไว้เพียงเท่านั้น ทันใดนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา อย่างน้อยผมก็ยังพอเห็นความปรารถนาดีอยู่ลึกๆ ถึงตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังไม่ได้เชื่อใจกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อยู่ในระดับที่มากพอควรแล้ว

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ผมจึงก้มหน้าลงไปมอง และก็ได้เห็นเจ้ายูนิคอร์นน้อยที่กำลังกินขนมที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย ผมเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจน้อยๆ ก่อนที่จะพยักหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งครั้ง

“รับทราบครับ พวกเราเผ่าเมอร์เซนต์นารี่จะรับคำขอร้องของคุณในครั้งนี้ไว้เองครับ”

ซงซึงกยูก้มหน้างุดจนมองไม่เห็นหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะตะโกนออกมาเสียงดังลั่นว่า

“ขอบคุณครับ!”

อาจเป็นเพราะเสียงนั้นดังลั่นห้อง จึงทำให้เจ้ายูนิคอร์นน้อยที่กำลังกินขนมนมเนยอย่างมูมมามเงยหน้าขึ้นมาทันควัน แล้วจ้องไปที่เขาผู้นั้น

ฮี้ ฮี้!

แล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยก็วิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นงกๆ อยู่ตลอดเวลา เหมือนกับตกใจอะไรบางอย่าง

“…”

แล้วผมก็นั่งมองฟันขาวๆ ที่เผยออกมา และสะท้อนอยู่บนโต๊ะ แล้วจึงยิ้มตอบกลับไป

“อะไรเล่า ก็เขาขอร้องมานี่นา”

ที่แห่งนี้คงมีอะไรให้เรากอบโกยกลับมาเยอะแน่