ตอนที่ 563 ถูกห้อมล้อม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าฝ่ายมารจะต้องมีแผนการชั่วร้ายอื่นซ่อนไว้ เมื่อเห็นคนชุดดำสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าและทรงพลังหลายคนจากฝ่ายมารปรากฏกายในลานจัตุรัสอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางจึงราบเรียบและไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด

หานโม่ฉือ ฉินเทียน อวิ๋นเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ยังคงสงบนิ่งใจเย็นอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของพวกเขา

เมื่อหลายคนที่ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นมองเห็นกลุ่มคนทรงพลังเหล่านี้ปรากฏตัว สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากและดูบิดเบี้ยวเหยเก

“เจ้าพวกฝ่ายมารช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวางแผนเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ต้นและจัดเตรียมยอดฝีมือขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดจำนวนมากมาที่นี่  สำหรับการท้าดวลครานี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะเตรียมการทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว !”

โม่ไป๋กล่าวอย่างเยือกเย็น แม้เขาไม่คาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ทว่าเมื่อมองเห็นกลุ่มยอดฝีมือของฝ่ายมารที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เขาก็เข้าใจได้ทันทีและเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

ความแข็งแกร่งของสมาชิกสมาคมช่างหลอมอาจจะถือว่าไม่มากนัก ทว่าสมาธิจิตใจของพวกเขาก็สงบนิ่งกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินตรงหน้า พวกเขาก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“ฮ่า ๆ ๆ สมกับที่เป็นนายน้อยของฝ่ายมารจริง ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมการทุกอย่างไว้นานแล้ว เขารู้จักข้าเป็นอย่างดีจึงเตรียมการเรื่องจดหมายท้าดวลและแนะนำให้ข้าเชิญช่างหลอมมากพรสวรรค์จากทั่วทั้งดินแดนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อจัดการกับทุกคนภายในคราวเดียว”

เฉินโหยวยิ้มอย่างเยือกเย็นทว่าน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครืออยู่เช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ศิษย์รักที่เขาดีด้วยอย่างจริงใจมาตลอดก็กลับกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของทั้งดินแดนเทพมายา

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอดีตอาจารย์ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน เฉินซินก็ขมวดคิ้วและอ้าปากเล็กน้อยทว่าไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา เขาไม่อาจสรรหาวาจาใดกล่าวออกไปได้เลย สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะทราบมาก่อนหรือไม่…ไม่ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้หรือไม่… ต่อให้เขากล่าวออกไปในตอนนี้ก็คงจะไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อ

“นายน้อยขอรับ ท่านผู้นำยังคงรอให้ท่านกลับไป เชิญท่านกลับไปก่อนเถอะขอรับ ปล่อยให้พวกเราจัดการที่นี่เอง”

ผู้อาวุโสลั่วจากฝ่ายมารกล่าวเพื่อให้เฉินซินกลับไปที่ถิ่นฐานก่อน เฉินซินใช้เวลาอยู่ที่สมาคมช่างหลอมมานานหลายปีและแน่นอนว่าต้องมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องพอสมควร เขาเพียงกังวลว่าหากขืนอยู่ที่นี่ต่อไป นายน้อยของพวกเขาอาจจะเกิดอาการใจอ่อนขึ้นมาและทำลายแผนการทั้งหมดที่พวกเขาวางไว้

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อน”

เฉินซินพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนกวาดสายตามองทุกคนในสมาคมช่างหลอม จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าและหายตัวไปตรงหน้าพวกเขาทันที

สำหรับบางสิ่งบางอย่าง…การไม่เห็นไม่รับรู้ก็ย่อมดีเสียกว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาก็รู้สึกผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งกับสมาคมช่างหลอมพอสมควร แน่นอนว่าเฉินซินไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องทนมองดูสมาคมช่างหลอมถูกกำจัดโดยฝีมือของฝ่ายมาร

เฉินโหยวและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้พยายามขัดขวางเฉินซินแต่อย่างใด พวกเขาผิดหวังในตัวอดีตศิษย์ผู้นี้อย่างที่สุดและไม่ต้องการแม้แต่จะเห็นใบหน้าของเขาอีกต่อไป

หลังจากเฉินซินหายตัวไป สมาชิกฝ่ายมารคนอื่น ๆ ก็ไม่รักษาท่าทีอีกต่อไป

“เหอะ ฉินอวี้โม่ ยอบรับเลยว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งจริง ๆ ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าต้องพบจุดจบในวันนี้”

ผู้อาวุโสลั่วแสยะยิ้มชั่วร้ายและแผ่จิตสังหารแรงกล้าตรงไปยังฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย

“พวกเจ้ามั่นใจกันเกินไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนกลับไปอยู่ข้างกายหานโม่ฉือ

ครานี้ฝ่ายมารมีสมาชิกจำนวนสี่สิบถึงห้าสิบคนซึ่งทุกคนล้วนมีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด เห็นได้ชัดว่าฝ่ายมารทรงพลังอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่มีจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียน นางก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย หานโม่ฉือเพียงคนเดียวก็มากพอที่จะรับมือกับจอมยุทธ์พสุธาเซียนขั้นสูงสุดจำนวนมากเหล่านี้

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นเป็นเพราะเรามีต้นทุนที่จะมั่นใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนของเราก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้”

ผู้อาวุโสฝ่ายมารแสยะยิ้มเยาะก่อนกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสว่านเจียง คนของท่านควรแสดงตัวออกมาเช่นกัน !”

เมื่อได้ยินบุรุษของฝ่ายมารที่เอ่ยเรียกชื่อว่านเจียง ทุกคนก็ชะงักไปเล็กน้อยและสับสนงุนงงไปชั่วขณะ

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยและพอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้มาก่อน

นิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายมาร ฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลายก็ตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว

การที่ฉินอวี้โม่เดินทางมาเข้าร่วมในเหตุการณ์วันนี้ได้ แน่นอนว่าขุมกำลังเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน

“จิ๊จิ๊จิ๊ ในเมื่อผู้อาวุโสลั่วประกาศอย่างชัดเจนแล้ว เราก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป”

ว่านเจียงยืนขึ้นพร้อมปรบมือเบา ๆ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะปรากฏตัวรอบลานจัตุรัสและห้อมล้อมฝูงชนทั้งหมดไว้

“พวกเจ้า…”

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของชาวนครหมื่นอสูร จอมยุทธ์มากมายในที่นี้ก็ตกตะลึงทันที

แม้เคยได้ยินข่าวลือหนาหูมาก่อนแล้วว่าขุมกำลังขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามมีความเชื่อมโยงกับขุมกำลังมารร้าย พวกเขาก็ยังตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยืนยันข่าวลือดังกล่าวด้วยตาของตัวเอง

“วันนี้พวกเราจะกวาดล้างพวกเจ้าทุกคนในที่แห่งนี้ และดินแดนเทพมายาจะต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่”

ว่านเจียงแสยะยิ้มชั่วร้ายและกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผู้ใดยอมแพ้และยอมจำนนต่อฝ่ายมาร พวกข้าก็อาจพิจารณาไว้ชีวิตพวกเจ้า”

ในเวลานี้ลานจัตุรัสของเมืองซิ่งหัวเต็มไปด้วยตัวแทนของขุมกำลังทั่วดินแดนไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังเล็กหรือใหญ่ การสังหารพวกเขามิใช่เรื่องยากนัก ทว่ามันก็ไม่ราบรื่นง่ายดายเช่นกัน หากสามารถควบคุมขุมกำลังบางแห่งได้ ไม่เพียงแต่มันจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกเขาเท่านั้นทว่ามันก็จะทำลายความปรองดองของคนในดินแดนเทพมายาซึ่งเป็นสิ่งที่ว่านเจียงและพวกต้องการให้เกิดขึ้น

“ฝันไปเถอะ ! ต่อให้ต้องตาย พวกข้าก็ไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับพวกเจ้า อย่าว่าแต่ยอมก้มหัวให้คนชั่วอย่างฝ่ายมารเลย !”

ทุกคนในดินแดนเทพมายาล้วนเกลียดชังคนชั่วช้าใจหยาบ ความบาดหมางระหว่างพวกเขาและฝ่ายมารจะไม่มีวันสิ้นสุดและพวกเขาไม่มีทางยอมศิโรราบอย่างแน่นอน ว่านเจียงและพวกเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับขุมกำลังมารร้ายซึ่งเป็นการกระทำที่จุดชนวนโทสะคุกรุ่นสำหรับทุกคนในดินแดน หากเรื่องในวันนี้ผ่านพ้นไป ชื่อเสียงเกียรติยศของนครหมื่นอสูรและขุมกำลังพันธมิตรจะต้องป่นปี้ไปและตกเป็นเป้าความเกลียดชังจากผู้คนทั่วทั้งดินแดนอย่างแน่นอน

ทุกคนในลานจัตุรัสลังเลเล็กน้อยกับสถานการณ์ตรงหน้า เว้นเพียงแต่ไม่กี่คนที่แสดงสีหน้าบ่งบอกทัศนคติอย่างรวดเร็ว แม้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลัง พวกเขาก็ล้วนกล้าหาญที่จะต่อสู้โดยไม่หวาดกลัวหรือหวั่นใจแม้แต่น้อย

“หากเป็นเช่นนั้น อย่าหาว่าพวกข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน !”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังและความรังเกียจ เหล่าผู้อาวุโสของฝ่ายมารและว่านเจียงก็แสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจและแววตาฉายชัดถึงความชั่วร้าย หากควบคุมคนเหล่านี้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก ไม่ว่าอย่างไรคนเหล่านี้ก็จะต้องตายอยู่ที่นี่และมันจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อทั้งดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน

“ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย สมาคมช่างหลอมของเราต้องขออภัยทุกท่านกับเรื่องในวันนี้ด้วย เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องความปลอดภัยของทุกคน หากมีโอกาส พวกท่านจงหลบหนีออกไปก่อนเถอะ ! ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา !”

* 留得青山在不愁没柴烧 , 留得青山在,不怕没柴烧 ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา ความหมายคือ ตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง

เฉินโหยวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่มุ่งมั่น วันนี้ต่อให้สมาคมช่างหลอมของพวกเขาต้องถูกทำลายไปอย่างสิ้นซาก พวกเขาก็ตั้งใจที่จะปกป้องยอดฝีมือมากพรสวรรค์ทุกคนให้หลบหนีไปได้สำเร็จ ยอดฝีมือเหล่านี้คือความหวังของดินแดนในขณะที่พวกเขาเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว ต่อให้ต้องตายในวันนี้พวกเขาก็ไม่นึกเสียดาย

“ท่านประธานเฉิน อย่าคิดในแง่ลบไปเลย ถึงแม้พวกเขาจะมียอดฝีมือเป็นจำนวนมาก พวกเราก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เราจะได้เห็นกันว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

สีหน้าของฉินอวี้โม่ยังคงเรียบเฉยและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

เมื่อได้ยินวาจามั่นใจและไม่หวาดหวั่นของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสลั่วและว่านเจียงก็เริ่มเกิดความกังวลเล็ก ๆ ทว่าแววตาความรู้สึกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

‘ไม่มีทางเสียหรอก พวกเราที่พายอดฝีมือมาเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ไม่มีทางที่พวกเราจะเพลี่ยงพล้ำไปได้’

“ผู้อาวุโสว่านเจียง ดูเหมือนว่าความจำของท่านจะไม่ดีนัก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวออกไป นางตั้งใจที่จะใช้โอกาสนี้เปิดเผยตัวตนต่อหน้าทุกคน ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วและตัวตนของนางจะเป็นที่ยอมรับของทุกคนในดินแดนอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในตอนนี้จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงเกียรติยศและดึงดูดผู้คนให้มาเข้าร่วมกับนางมากขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ว่านเจียงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

“ผู้อาวุโสว่านเจียง ไม่คิดรึว่าชื่อฉินอวี้โม่ของข้าฟังดูคุ้นหู ?”

ตลอดหลายปีผ่านมานี้ ว่านเจียงและคนอื่น ๆ อาจลืมเลือนเหตุการณ์เก่า ๆ ไปบ้าง ทว่าตราบใดที่นางย้ำเตือนความทรงจำ นางเชื่อว่าเขาจะต้องจำได้อย่างแน่นอน

หลังจากค่อย ๆ ถอดหน้ากากสีเงินที่บดบังใบหน้าของตนออก ฉินอวี้โม่ก็ถอดหน้ากากของหานโม่ฉือออกเช่นกัน

ใบหน้าที่สง่างามดุจเทพเซียนของทั้งสองปรากฏต่อหน้าทุกคนจนทั่วทั้งลานจัตุรัสตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบางขณะถอดที่คาดเพื่อปล่อยเส้นผมเงางามสยาย นางยกยิ้มมุมปากอีกครั้งซึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มงดงามจนทุกคนต้องตกตะลึง

“สวรรค์ ! ที่จริงแล้วจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่เป็นโฉมนารีที่งดงามถึงเพียงนี้เลยรึ ?!”

ใครคนหนึ่งอุทานออกไปและแววตาบ่งบอกถึงความตกใจอย่างที่สุด ฉินอวี้โม่ผู้มากพรสวรรค์แท้จริงแล้วคือสตรีงามที่สะเทือนทั้งใต้หล้า นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนัก

“บุรุษข้างกายนางก็หล่อเหลาปานเทพบุตรเช่นกัน !”

สตรีนางหนึ่งมองหานโม่ฉือด้วยแววตาหลงใหลและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความริษยาเล็กน้อย หากได้ตบแต่งครองรักกับบุรุษเช่นหานโม่ฉือ ต่อให้ต้องตายไป นางก็ไม่นึกเสียดายชีวิต

“เมื่อใดกันที่หนุ่มสาวโดดเด่นสง่างามเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในดินแดนเทพมายาของเรา ? นี่มันน่าอัศจรรย์จริง ๆ !”

ใครคนหนึ่งกล่าวก่อนทอดถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสองคนนี้มาก่อนและยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองนัก

“ผู้นำดินแดนทางเหนือช่างงดงามยิ่งนัก หากข้าได้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนทางเหนือก็คงดีไม่น้อย !”

บุรุษอีกคนกล่าวแสดงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปเข้าร่วมดินแดนทางเหนือ เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตราบใดที่รอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าร่วมกับดินแดนทางเหนืออย่างแน่นอน

“เป็นเจ้านั่นเอง !”

เมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ผู้ที่ตกใจมากที่สุดก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นว่านเจียงนั่นเอง

ฉินอวี้โม่เพียงย้ำเตือนให้เขานึกขึ้นได้ว่าชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ ฟังดูคุ้นหูอย่างแท้จริง เพียงแต่เขายังนึกไม่ออกก็เท่านั้น

บัดนี้เมื่อเห็นใบหน้าของนาง นอกจากความตกตะลึงแล้วเขาก็ยังรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ในตอนแรกที่ได้เห็นใบหน้าของหานโม่ฉือนั้น เขาก็พอจะยืนยันตัวตนของฉินอวี้โม่ได้และยิ่งตกใจมากขึ้น ไม่คิดเลยว่าบุคคลที่พวกเขาพยายามตามหามานานจะปรากฏกายตรงหน้าเช่นนี้

“ฉินอวี้โม่ ฉินอวี้โม่ ข้าก็นึกว่าเหตุใดชื่อนี้จึงฟังดูคุ้นหูนัก ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”

เขากัดฟันกรอดและจ้องหน้าคนทั้งสองด้วยแววตาแสดงถึงจิตสังหารแรงกล้า

“ผู้อาวุโสว่านเจียง คนผู้นี้คือใครหรือ ?”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของว่านเจียง ผู้อาวุโสลั่วก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที

“ผู้อาวุโสลั่ว คนผู้นี้คือคนที่พวกท่านพยายามตามหามานาน ฉินอวี้โม่—เทพมายาคนใหม่ !”

ว่านเจียงกล่าวเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่โดยตรง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใครบางคนก็อุทานด้วยความตกใจก่อนที่ทั้งลานจัตุรัสจะตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด..