เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นจะต้องขอร้องให้มาแน่นอน รยูฮากลืนความโศกเศร้าลงไปพลางโค้งตัวคำนับอย่างอ่อนน้อม และสิ่งที่นางเห็นในขณะที่เงยหน้าขึ้นนั้นคือหมอหลวงซึ่งตามหลังฮอนเข้ามา ถึงแม้ว่าการเป็นหมันของรยูฮาจะถูกเผยแพร่กันไปปากต่อปาก จนกลายเป็นความลับที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพาหมอหลวงมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ 

 

 

“ได้ยินมาว่าพระมเหสีทรงประชวร แล้วย่าคนนี้จะไม่มาหาได้อย่างไรเล่า นั่งลงเถอะ เพราะเดี๋ยวจะต้องตรวจชีพจรด้วย” 

 

 

“ตอนนี้หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ ไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร…” 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

พระพันปีมักจะตวาดใส่ทั้งเหล่าเสนาบดีและข้าราชบริพารในท้องพระโรง ไม่เว้นแม้แต่พระราชา แต่กลับส่งความสดใสให้แก่รยูฮาเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อพระพันปีดุให้รีบนั่ง รยูฮาจึงไม่มีทางเลือกอื่น พอนางนั่งลงบนขอบเตียงแต่โดยดี ดังนั้นจึงเกิดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นที่ใบหน้าฮอนราวกับสะใจ โดยที่ไม่รู้ว่ารยูฮากำลังลับมีดอยู่ในใจ 

 

 

“ตรวจชีพจรซะ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี กระหม่อมขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถ้าหากหมอหลวงพูดออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะ ถ้าเกิดเขาพูดออกมาว่าพระมเหสีทรงเป็นหมันพ่ะย่ะค่ะล่ะ เสด็จย่าน่าจะยังไม่ทราบ ดังนั้นคงจะเจ็บปวดใจน่าดู รยูฮาผู้ซึ่งไม่รู้ว่าฮอนสั่งให้ปิดปากเงียบไว้แล้วก่อนที่จะเข้ามาพยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงสงบลงด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่งมือให้หมอหลวง 

 

 

“เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัย แต่กระหม่อมขอพบนางในสักครู่ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จู่ๆ หมอหลวงก็เรียกหานางในหลังจากตรวจชีพจรเสร็จ ยางจินที่เฝ้าดูอย่างระทึกอยู่ข้างๆ จึงก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วออกไปจากห้องกับหมอหลวงพลางกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างด้วยกันข้างนอก เดาจากเงาที่แวบไปแวบมาและเสียงที่ได้ยินรางๆ แล้ว หมอหลวงน่าจะเป็นคนถามเสียส่วนใหญ่ ส่วนยางจินก็เป็นคนตอบ หลังจากนั้นไม่นานหมอหลวงก็พยักหน้าอย่างแรงหนึ่งครั้งก่อนจะกลับเข้ามาข้างใน 

 

 

“กระหม่อมจะขอวัดชีพจรอีกหนึ่งรอบพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 

 

 

“ได้สิ” 

 

 

จำเป็นต้องละเอียดขนาดนี้เลยหรือ รยูฮากัดริมฝีปากเบาๆ พลางยื่นมือให้หมอหลวงอีกครั้ง การตรวจชีพจรในครั้งนี้ไม่นานเท่ารอบแรก หลังจากค่อยๆ วางข้อมือลงอย่างระมัดระวัง หมอหลวงก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้ฮอน 

 

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! กระหม่อมจับได้ชีพจรของหญิงตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เชือกแห่งความกังวลที่บีบคั้นทุกคนขาดดังฉึบ บรรยากาศภายในห้องจึงชื่นมื่นไปด้วยความปีติยินดี และคำพูดต่อมาของหมอหลวงก็ทำให้ดอกไม้ไฟระเบิดตูมตามราวกับพลุที่จุดในวันเทศกาล 

 

 

“ชีพจรนั้นมีสองชีพจรพ่ะย่ะค่ะ เห็นทีว่าจะเป็นฝาแฝดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“รยูฮา!” 

 

 

ฮอนลุกพรวดขึ้นไปกอดรยูฮาโดยลืมไปแล้วว่าอยู่ตรงหน้าพระพันปีและข้าราชบริพารจำนวนมาก ทั้งยังเรียกชื่อพระมเหสีตามอำเภอใจอีก หากเป็นปกติก็คงจะโดนเอ็ดแล้ว แต่เพราะว่าพระพันปีกำลังกดเบ้าตาที่รู้สึกปวดตื้อๆ อยู่จึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เหล่าซังกุงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับรยูฮาตั้งแต่สมัยอยู่ที่วังซึงกอนก็ร้องห่มร้องไห้โดยลืมไปเลยว่ามีพวกนางในเด็กๆ กำลังมองอยู่ หากยอนฮวายังอยู่ละก็ นางคงจะทรุดตัวลงไปร้องห่มร้องไห้อย่างแน่นอน 

 

 

“เรื่องนั้น ข้า…ได้อย่างไรกัน” 

 

 

ทั้งที่หมอหลวงซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดในแทซากุกตรวจชีพจรถึงสองครั้งแต่รยูฮาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วจู่ๆ ภายในหัวของนางซึ่งได้แต่มึนงงและกะพริบตาปริบๆ ก็นึกถึงเรื่องวุ่นวายเมื่อประมาณสองเดือนก่อนขึ้นมา ที่กินยาสมุนไพรแล้วอ้วกก้อนเลือดสีแดงออกมาหลายรอบ หลังจากวันนั้นนางก็หยุดดื่มยาสมุนไพรที่เคยดื่มสามถึงสี่ครั้งต่อวัน 

 

 

“ยอดเยี่ยมเลยพระมเหสี ยอดเยี่ยมมากๆ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องมาเข้าเฝ้าย่าแล้วนะ หากคิดถึงพระมเหสี เดี๋ยวย่าคนนี้จะมาหาด้วยตัวเองเลย” 

 

 

เมื่อพระพันปีเข้ามาตบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยนและน้ำตาคลอไปด้วย ในที่สุดนางจึงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้คือเรื่องจริง กับการที่นางตั้งครรภ์รัชทายาทและไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีถึงสอง ควรจะต้องดีใจและแสดงความยินดีไปด้วยกัน แต่คำพูดที่ดังออกมาจากปากของรยูฮากลับแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่แม้ว่าเจ้าตัวซึ่งเป็นคนพูดเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้น 

 

 

“หม่อมฉัน อยากกินดูรึบเพคะ” 

 

 

ประโยคนั้นทำให้ทั้งแทซากุกตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินในทันที แม้ว่าทหารจำนวนมากจะฝ่าหิมะที่สูงเท่าเข่าไปค้นหาทั่วทั้งภูเขาและไร่นาแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของดูรึบเลย ในขณะเดียวกันรยูฮาก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับบอกว่ากินอาหารไม่ลง ส่วนฮอนก็รู้สึกเป็นห่วงรยูฮาจนแทบจะละมือจากกิจการบ้านเมือง กว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงและต้นอ่อนจะขึ้นก็ต้องรอไปอีกสองสามเดือน สถานที่ที่ฮอนรีบตรงไปหลังจากออกว่าราชการเสร็จอย่างไม่ค่อยมีสมาธิคือซออุนกวาน[1]ไม่ใช่วังจานยอง 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ!” 

 

 

นอกจากซออุนกวานซึ่งทำหน้าที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อากาศและดาราศาสตร์จะมีแต่พวกคนบ้าๆ บอๆ แล้ว ยังไม่มีวันที่พระราชาจะเสด็จมาอีกด้วยแม้ว่าจะทำงานไปตลอดชีวิตก็ตาม เหล่าบัณฑิตที่จมอยู่ในกองเอกสารด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเหมือนปกติไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองพร้อมกับหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ในไม่ช้าพระราชาก็เดินดุ่มๆ เข้ามาข้างในและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจการแต่งกายของพวกเขาหรือบรรยากาศที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยซ้ำ 

 

 

“ปีนี้อากาศจะอุ่นขึ้นเมื่อไหร่” 

 

 

“ทรงหมายถึง…ฤดูใบไม้ผลิใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้าจะถามว่าเมื่อไหร่ดูรึบจะขึ้นต่างหาก” 

 

 

“ประมาณปลายเดือนสามถึงต้นเดือนสี่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

เสด็จมาถึงที่นี่เพื่อถามเรื่องที่รู้คำตอบอยู่แล้วน่ะหรือ แม้จะตอบคำถามไปแล้ว แต่เหล่าบัณฑิตก็ยังไม่หยุดสงสัย 

 

 

“ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นเร็วกว่านี้เลยใช่หรือไม่” 

 

 

“ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหน สายลมอบอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิก็ต้องพัดผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งหากอากาศหนาว ต้นอ่อนของดูรึบก็จะขึ้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะฉะนั้น…” 

 

 

ถ้าอากาศหนาว…คำพูดของบัณฑิตทะลุเข้าไปในหัวของฮอนอย่างแรง 

 

 

“แสดงว่าถ้าอบอุ่น ต้นอ่อนก็จะขึ้นมาใช่ไหม ถ้าอากาศอุ่นขึ้นแล้วจะใช้เวลานานขนาดไหน” 

 

 

“หลังจากอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ต้นอ่อนจะขึ้นอย่างน้อยภายในเจ็ดวันพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก” 

 

 

จู่ๆ พระราชาก็เสด็จมาหาและถามคำถามแปลกๆ ก่อนจะหายตัวไป ซออุนกวานจึงตกอยู่ในความเงียบสงบและโล่งใจไปพักหนึ่ง ที่โล่งใจก็เพราะไม่ถูกตำหนิเรื่องหนวดเคราที่รุงรังและชุดขุนนางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหมึกสีดำ แต่โล่งใจได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกพระราชาเรียกให้ไปเข้าเฝ้าในวันต่อมา พวกเขาจึงต้องมายื่นมือไปที่กระบอกไม้ไผ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดแบบนี้ 

 

 

“ผู้ใดที่จับได้ป้ายสีดำจะต้องไปนะขอรับ” 

 

 

โดยปกติแล้วการที่ได้ไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างสูง แต่มีแค่บัณฑิตเหล่านี้เท่านั้นที่ไม่ค่อยรู้สึกยินดีนัก ด้วยเหตุนั้นแล้วใบหน้าของพวกเขาที่ล้อมรอบกระบอกไม้ไผ่จึงมีเค้าของสงครามอยู่ตลอดเวลา หลังจากจับป้ายสีดำเสร็จ พวกเขาก็ผลัดกันดูพลางพึมพำกับตัวเองราวกับไม่อยากจะเชื่อ แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ความจริงก็คือความจริง จากนั้นบัณฑิตสองคนจึงไปหามีดโกนหนวดที่ไม่ค่อยคมมาแล้วเล็มหนวดออกพอประมาณ ก่อนจะก้าวเท้าที่ไม่ค่อยสมัครใจนักตรงไปยังวังกอนชองด้วยสภาพที่สุภาพเรียบร้อยมากที่สุด 

 

 

“ฝ่าบาท บัณฑิตแห่งซออุนกวานมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ใบหน้าของจูฮวานที่กำลังรอคอยอย่างร้อนอกร้อนใจจึงสดใสขึ้นและรีบวิ่งไปหาฮอนทันที ถ้าพวกเขามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวมีหวังได้ถูกเตะก้นอย่างแน่นอน สีหน้าอันห่อเ**่ยวของเหล่าบัณฑิตจึงต่างกับสีหน้าดีใจของจูฮวานเป็นอย่างมาก 

 

 

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

“อ่อ มากันแล้วสินะ ข้าจะเลือกหมายเลขให้และให้พวกเจ้าปลูกสิ่งนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งข้าจะให้เวลาสิบวัน จงทำให้มันขึ้นภายในเวลานี้เสีย” 

 

 

สวนที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเขาทำให้เหล่าบัณฑิตลืมสิ่งที่จะพูดไปในทันที เพราะสวนหลังวังที่ควรจะต้องใหญ่โตและเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกขุดตรงนู้นตรงนี้ไปทั่วตลอดทั้งคืนและมีสิ่งที่คล้ายกับกระท่อมซึ่งไม่เหลือเค้าเดิมตั้งอยู่ตรงกลางนั้น 

 

 

โครงทำมาจากไม้ไผ่ ส่วนกำแพงและหลังคาทำมาจากกระดาษชุบน้ำมัน ดังนั้นจะเรียกว่าบ้านก็ไม่น่าใช่ แต่หากจะไม่เรียกว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะมีทั้งกำแพงและที่กั้นซึ่งใช้กันหิมะ แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือเจ้าของกระท่อมนั้นก็คือต้นดูรึบสามสี่ต้นนั่นเอง 

 

 

“ฝ่าบาท กลางฤดูหนาวแบบนี้ทำไม…” 

 

 

“ก็เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าถ้าอุ่นขึ้น ต้นอ่อนก็จะงอกขึ้นมา” 

 

 

นี่คือผลงานที่ทหารแห่งพระราชวังทั้งหมดรวมตัวกันทำตลอดทั้งคืน ยกเว้นแต่ทหารรักษาการณ์ที่มีน้อยที่สุด แม้ว่าใต้ตาของฮอนที่ไม่ได้นอนและคอยสั่งการพวกเขาจะกลายเป็นสีดำคล้ำแต่สีหน้าของเขาก็ยังคงสดใสอยู่ มีทั้งเรื่องดูรึบบ้านั่น ไปจนถึงเรื่องที่รยูฮาตั้งท้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้ หลังจากผ่านการพัฒนาปรับปรุงหลายต่อหลายครั้ง ในอนาคตอันห่างไกลนั้น การเริ่มต้นของการเพาะปลูกในห้องเพาะชำซึ่งมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการฟื้นฟูแทซากุกนั้นก็เริ่มต้นมาจากดูรึบของพระราชานั่นเอง  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ซออุนกวาน หน่วยงานราชการของเกาหลีสมัยโบราณที่ดูแลและรับผิดชอบเรื่องสภาพอากาศ