บทที่ 910 เดิมพันที่ใหญ่กว่า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 910 เดิมพันที่ใหญ่กว่า

เมื่อหลินหมิงเดินออกจากด้านหลังเทียนเสีย

ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่เขาพร้อมกับแววตาอัดแน่นด้วยความสงสัยและหวาดเกรง

หนึ่งเดือนก่อนคงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อหลินหมิง แต่ในวันนี้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของเขากลับเทียบได้กับจอมยุทธ์ชั้นนำที่นี่เลยทีเดียว

นั่นเป็นเพราะในบรรดาคนที่ต่อสู้กับเขา นอกเหนือจากจินไถหลิวหลีแล้ว ทุกคนสูญเสียความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่และกลายเป็นคนพิการไปเลย

เผชิญกับความโหดเหี้ยมนี้ ตอนนี้เขาถือเป็นคนที่เหล่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วหวาดกลัวที่สุดแล้ว

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจชัดเจนว่าหากพวกเขาไร้สมรรถภาพในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ สถานะของพวกเขาในสำนักก็จะดิ่งลง ผลลัพธ์นี้น่ากลัวนัก

ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นหลินหมิงก้าวออกมา เปลือกตาก็กระตุกถี่

ภายใต้สายตาหวาดกลัวปนโกรธแค้นของทุกคน หลินหมิงก็มายืนอยู่ข้างเทียนเสีย เขามองซิวหลัวก่อนที่จะยิ้มบาง “ผู้บัญชาการซิวหลัว ข้ากลัวว่าผลลัพธ์จากคำพูดที่โหดร้ายนี้จะทำให้พวกเราทั้งคู่บาดเจ็บล้มตาย เพราะผลที่ตามมาเจ้าคงแบกรับไม่ไหวเช่นกัน”

แววตาของซิวหลัววาบด้วยไอเย็นเยือก ขณะที่มองหลินหมิงอย่างไม่แยแส

“พวกเจ้าไหวพริบดีกับสถานการณ์ตอนนี้ที่สามารถดึงยอดเขาหมื่นเทพและแดนปีศาจมายืนอยู่ข้างเดียวกันได้และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้อมกรอบอาณาเขตกงเวทสวรรค์อีกต่อไป”

หลินหมิงเอี้ยวศีรษะ สายตาเป็นพิษสาดไปยังมู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังซิวหลัว เขาสะบัดแขนเสื้อรัศมีจั้นยี่ก็พวยพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าจากกองทัพเบื้องหลัง ก่อร่างเป็นโซ่ผูกร่างร่างหนึ่งไว้ตรงกลาง

เมื่อมองเข้าไปใกล้ร่างนี้ก็คือปิงเหอที่หมดสติ

“แต่ถ้าพวกเจ้าต้องการช่วยเขา นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้พวกเจ้ามีความสามารถหรือไม่!”

ซิวหลัวมองหลินหมิงอย่างเย็นชาตอบว่า “หากพวกเจ้าต้องการประกาศสงคราม อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสู้ด้วยจนถึงสุดท้าย!”

หลินหมิงหลุบตาลงขณะพูดต่อ “ข้าพูดไปแล้ว ดังนั้นอย่าขู่ข้าด้วยการต่อสู้ ตอนนี้ผู้บัญชาการปิงเหออยู่ในมือข้า ง่ายมากที่จะฆ่าเขา”

“หลังจากฆ่าแล้ว ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยากเริ่มสงคราม จวนยมโลกก็ไม่ใช่สำนักอ่อนแอที่พวกแกจะบดขยี้ได้ ถึงเวลานั้นมาดูกันสิว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย”

หลินหมิงเป็นคนเด็ดขาด เขารู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องจ่ายราคาแสนสาหัสหากสงครามเกิดขึ้นและอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงยังไม่ใจเด็ดพอที่จะจ่ายราคาแบบนั้นให้กับปิงเหอเพียงคนเดียวหรอก

แววสังหารเพิ่มขึ้นในดวงตาของซิวหลัว สายตาของเขาที่มองหลินหมิง ราวกับต้องการที่จะแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ความครอบงำที่น่ากลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแผ่ซ่านออกมาช้าๆ

ทว่าก่อนที่ความโกรธของซิวหลัวจะปะทุขึ้น เขาก็ถูกมู่เฉินหยุดเอาไว้ ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ซิวหลัวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะระงับความโกรธในใจลง ขณะที่มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า

เมื่อมู่เฉินก้าวขึ้นไป ทุกสายตาก็จ้องมองไปที่เขาพลางกระซิบกระซาบกัน

“นั่นคือผู้บัญชาการมู่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รึ? เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น ปลายแถวชัดๆ”

“ตลก เจ้าไม่รู้หรือในซากอารยธรรมความตาย มู่เฉินเป็นผู้นำอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่เขาจะทำลายแขนของเซียวเทียนจากตำหนักสุดนภา แม้แต่จินไถหลิวหลีที่มีชื่อเสียงก็ยังเสียเปรียบในมือเขา”

“ว่ากันว่ามู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเช่นกัน…แต่ไม่รู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างเขากับหลินหมิง”

“…”

บทสนทนากระจายออกไป ทำให้ใบหน้าของเซียวเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำ โดยเฉพาะสายตาที่จ้องมองมู่เฉิน ราวกับว่าเขาต้องการฉีกอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ

ตรงกันข้ามจินไถหลิวหลีกลับแสดงออกอย่างเรียบเฉยขณะมองไปที่มู่เฉิน นางรู้สึกคลุมเครือเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งแรก มู่เฉินดูเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาเช่นกัน

“หลินหมิงได้รับมรดกจากจั้นเจิ้นซือและวิธีการฝึกฝนก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ช่วงนี้คลื่นจิตของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นศัตรูตัวฉกาจ ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะมีโอกาสชนะมากแค่ไหนเมื่อเผชิญกับเขา” แววตาของจินไถหลิวหลีวูบไหว ครั้งหนึ่งนางเคยต่อสู้กับหลินหมิง ดังนั้นนางจึงรู้ถึงความทรงพลังของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ถ้าตอนนั้นนางไม่ได้รับมรดกสมบูรณ์แบบจากจักรพรรดิเทียนเจิ้น ก็เป็นไปได้ยากสำหรับนางที่จะสู้กับหลินหมิงจนถึงจุดเสมอกันได้

ที่สำคัญที่สุดคือยิ่งหลินหมิงหาอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่เป็นเป้าหมายได้มากเท่าไร คลื่นจิตของเขาก็จะเติบโตขึ้นมากเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ทำให้จินไถหลิวหลีรู้สึกหวาดกลัว

ภายใต้บทสนทนา หลินหมิงก็หรี่ตาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มแขวนอยู่บนริมฝีปาก “เจ้าคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์…มู่เฉินใช่ไหม?”

เผชิญหน้ากับจ้องมองที่น่าขนลุกของหลินหมิง มู่เฉินก็ยังยิ้มเรียบเฉย “พูดสิ่งที่ต้องการมา แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะกลัวสำหรับราคาการทำสงคราม แต่นั่นก็เหมือนกับพวกเจ้าเช่นกัน ซึ่งบางทีเจ้าหรือแม้กระทั่งเทียนเสียก็ไม่สามารถรับผลที่เกิดขึ้นได้”

หลินหมิงยิ้มอ่อน “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ…ข้าได้ยินมาว่าในซากอารยธรรมความตาย เจ้าดักจับกองทัพหมู่ตึกเทวะเอาไว้ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องจ่ายไปหลายเพื่อไถ่ตัวเลยใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่าย ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งแสงเย็นเยือก หลินหมิงร้ายนักคิดจะให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ใช้ยาหยุ่นลั้วเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกัน เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ทำเพื่อฉีกหน้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่อหน้าทุกคน

ฝั่งหมู่ตึกเทวะเมื่อฟังยี่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น สายตาน่าขนลุกก็จ้องมองไปที่มู่เฉิน ขณะที่พูดอย่างสะใจพลางเค้นเสียงขึ้นจมูก “มู่เฉิน เจ้าก็มีวันที่ถูกปล้น…”

“ไม่ว่ายังไงปิงเหอก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ถ้างั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็น่าจะแลกเขาด้วยยาหยุ่นลั้วสักสองแสนเม็ดดีไหม?” หลินหมิงหรี่ตายิ้ม

“รนหาที่ตาย!” พวกเลี่ยซันเบิกตากว้างขณะที่แผดเสียงลั่น

ซิวหลัวสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองหลินหมิง ถ้าไม่ใช่หลินหมิงมีเทียนเสียซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกันสนับสนุนอยู่ละก็ เขาคงทะยานเข้าไปฆ่าหลินหมิงนานแล้ว

ยามนี้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้นขณะมองไปที่จวนยมโลก ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องจ่ายราคายาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดจริงๆ ความพยายามตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ถือว่าสูญเปล่าไปเลย

“จวนยมโลกคงไม่คิดที่จะยอม พวกเขาพยายามทำลายชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถช่วยหมู่ตึกเทวะล้างความอัปยศในซากอารยธรรมความตาย ซ้ำยังระรานอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ ขณะที่สร้างความสัมพันธ์อันดีกับหมู่ตึกเทวะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ผู้นำกองทัพอื่นถอนหายใจ

แดนปีศาจและยอดเขาหมื่นเทพไม่ได้พูดอะไร พูดตามตรงพวกเขาไม่ได้เป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เหตุผลที่พวกเขาก้าวเข้ามาเพื่อสนับสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพราะความไม่พอใจ นอกจากนี้พวกเขาไม่ต้องการเห็นหมู่ตึกเทวะและจวนยมโลกที่พวกเขาไม่พอใจทำลายล้างอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างง่ายดาย ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะเป็นเป้าหมายต่อไปแน่นอน

ดังนั้นพวกเขายินดีที่จะช่วยเหลืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากไม่ต้องจ่ายราคาแพงมาก แต่ถ้าเกินขีดจำกัดพวกเขาก็ได้แต่หลบไปอยู่ด้านข้างเท่านั้นเอง

“ฮ่าๆ พวกเจ้าคิดยังไงกับเงินค่าไถ่นี้? หากพวกเจ้าไม่ต้องการจ่ายก็ไสหัวไปได้เลย แต่เมื่อไรที่หันกลับมาวิญญาณของปิงเหอก็หลุดลอยไปยมโลกแล้ว” หลินหมิงหัวเราะเบาๆ ขณะจ้องมู่เฉิน รอยยิ้มน่าขนลุกผุดบนริมฝีปากบาง

แน่นอนเช่นเดียวกับความคิดของผู้นำกองทัพอื่นๆ คาดไว้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะจ่ายเงินค่าไถ่ที่แพงเช่นนี้ แต่ถ้าพวกเขาหันตัวกลับจริงๆ หลินหมิงก็มีวิธีมากที่จะทำให้ชื่อของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหม็นบูดขึ้นมา

ม่านตาดำของมู่เฉินเย็นชาลงขณะที่เหลือบมองหลินหมิงก่อนจะถอนสายตา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ส่งเสียงสอดแทรกคลื่นหลิงไปยังผู้บัญชาการคนอื่น

ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขามาถึงเทือกเขากู่ไห พวกเขาก็อยู่ในกับดักของจวนยมโลกแล้ว หากพวกเขาหันหลังกลับไปตอนนี้จะเป็นการย่ำยีชื่อเสียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใหญ่หลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่จวนยมโลกยินดีที่จะเห็น

พวกเขาตกอยู่ในความเสียเปรียบตั้งแต่ปิงเหอถูกจับไป นี่เป็นการสูญเสียตั้งแต่เริ่มคิด ดังนั้นไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะคว่ำโต๊ะ

ด้านหลังมู่เฉิน เมื่อพรรคพวกได้ยินเสียงมู่เฉินใบหน้าที่โกรธแค้นก็สงบลง แต่ยังมีความกังวลเคลือบอยู่บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะการตัดสินใจของมู่เฉินค่อนข้างอันตราย

แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะไปทางไหนก็ตกอยู่ในหลุมดักของอีกฝ่าย

ดวงตาของซิวหลัวกะพริบก่อนที่จะพยักหน้า “มู่เฉินตราบใดที่มั่นใจก็จัดการเรื่องนี้ได้เลย!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะประสานมือให้ “ข้าจะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”

เขาหันหลังกลับสายตาคมกล้าจ้องเขม็งไปที่หลินหมิง เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็ยกคิ้วเบาๆ ขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย “ทำไม? อภิปรายกันจบยัง? ช่วยบอกหน่อยว่าตัดสินใจยังไง? จะจ่ายค่าไถ่หรือไสหัวไปล่ะ?”

มู่เฉินมองหลินหมิงเผยยิ้มบาง “ยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดรึ? แน่นอนว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะจ่าย!”

ฮือฮา!

เมื่อพูดออกมา ทุกกองทัพที่อยู่ที่นี่ก็ต้องตกตะลึง หมู่ตึกเทวะ แดนปีศาจ ตำหนักสุดนภาและกองทัพอื่นถึงกับอ้าปากตาค้าง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยอมจ่ายยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดเพื่อแลกกับตัวปิงเหอ พวกเขาไม่ทราบถึงความสำคัญของเม็ดยานี้เหรอ? ถ้าขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเปิดออกแล้วมีเม็ดยาไม่เพียงพอที่จะทำลายผนึกแล้วประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะให้อภัยพวกเขารึ?

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่หลินหมิงก็ยังม่านตาหดเกร็งก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข “กล้าหาญดี ถ้างั้นช่วยส่งมอบยาหยุ่นลั้วมาหน่อย!”

“ข้าจะมอบยาหยุ่นลั้วให้แน่นอน…”

มู่เฉินมองหลินหมิงด้วยมุมปากโค้งขึ้น “แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากเล่นนัก ทำไมเราไม่เล่นอะไรที่ใหญ่กว่านี้ล่ะ? หรือว่าจวนยมโลกเป็นแค่สวะที่รู้แค่วิธีแยกย่อยแบบพวกลูกหนู ไม่มีความกล้าพอเลย?”

แม้ว่าคำพูดของมู่เฉินจะฟังดูนิ่งเฉย แต่ก็เดือดดาลราวกับฟ้าร้อง ทำให้จอมยุทธ์จวนยมโลกปะทุความโกรธขึ้นมา ใบหน้าของหลินหมิงบิดเบี้ยว นั่นเพราะสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนที่เรียกเขาว่าเป็นคนไร้ชื่อ แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่ก็เป็นเพราะเขายืนหยัดจนก้าวขึ้นเป็นจั้นเจิ้นซือ เพื่อวันนี้เขาต้องกล้ำกลืนความอัปยศอดสู ดังนั้นหลังจากที่เขาเป็นจั้นเจิ้นซือ เขาไม่มีทางอดทนต่อความอัปยศดังกล่าวได้อีก!

หลินหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะมองมู่เฉิน รอยยิ้มที่มุมปากเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม “ไม่ว่าแกจะเล่นอะไร จวนยมโลกของข้าจะเล่นกับแกด้วย!”

มาถึงจุดนี้ก็เท่ากับมู่เฉินตัดเส้นทางการถอยไปของจวนยมโลก หากพวกเขาไม่เห็นด้วยแล้ว คนที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาในวันนี้ก็คือพวกเขาเอง!

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของหลินหมิง แววตาก็คมกล้าขึ้นขณะเงยหน้าชี้ไปที่หลินหมิง ทุกคำพูดดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของทุกคน

“เจ้ากับข้าสู้กัน คนแพ้จะต้องจ่ายยาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ด!”

ทันทีที่เขาพูด จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนก็สูดอากาศเย็นเข้าปาก

มู่เฉินใจเด็ดอย่างแท้จริงที่จะผลักดันให้ทั้งสองไม่มีทางถอย

คราวนี้จวนยมโลกเตะแผ่นโลหะของจริงเข้าแล้ว!