ส่วนที่ 4 ตอนที่ 243 อิจฉา

ความลับแห่งจินเหลียน

สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เริ่มมีคนเสนอราคาแก่งแย่งสินค้ากันแล้ว ซักถามฉินเฮ่าว่าเขายินดีที่จะขายหรือเปล่า ฉินเฮ่ามองไปที่อวิ๋นเจีย เพราะเวลานี้เขาไม่มีสิทธ์ตัดสินใจ ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจทำไมฉินเฮ่าต้องทำแบบนี้

 

“ถ้าราคาเหมาะสม พวกเราก็ต้องขายอยู่แล้วค่ะ” อวิ๋นเจียพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

 

สถานที่แห่งนี้คนส่วนใหญ่ฟังภาษาจีนกลางรู้เรื่อง ดังนั้นเมื่ออวิ๋นเจียจึงปริปากยินยอมขาย นักธุรกิจจึงถือโอกาสต่อรองราคาทันที สุดท้ายหยกสีเขียวอ่อนเนื้อน้ำแข็งที่ถูกตัดออกขายไปด้วยราคาแปดพันยูโร อวิ๋นเจียได้กำไรมาหน่อย ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ขมวดคิ้วไม่คลาย หากอวิ๋นเจียสัมผัสได้ถึงพื้นผิวภายในของหยก เธอคงไม่มีทางให้ฉินเฮ่าเป็นคนตัดแน่

 

จากที่สังเกตดู เกรงว่าลักษณะโดยรวมของหินหยกก้อนนี้คงไม่น่าจะเป็นที่พอใจเท่าไหร่ อย่างน้อยไม่คุ้มกับแปดพันยูโร

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ และเมื่อสักครู่ที่ได้ดูฉินเฮ่าเปิดเปลือกหิน ได้ยินคนที่มามุงพูดภาษาจีนว่าถนนเดิมพันหินหยกของพม่าเล็กเกินไป ทางมัณฑะเลย์ต่างหากที่ยิ่งใหญ่

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังแล้วใจเต้นแรง สำหรับเธอถนนเดิมพันหินที่นี่ดูไม่มีอะไรจริงๆ แต่มันก็สร้างความทรงจำที่สวยงามให้กับเธอได้ แต่มัณฑะเลย์ยิ่งใหญ่กว่าอย่างนั้นเหรอ? รอให้งานประมูลใต้ดินทราบข้อมูลแน่ชัด ไม่แน่เธออาจจะต้องไปมัณฑะเลย์ดูเสียหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องตีโพยตีพายโทษตัวเองที่มาพม่าเสียเปล่า อีกเดี๋ยวค่อยลองถามจ่านป๋ายว่าเขาทำวีซ่าอยู่พม่าได้นานเท่าไหร่ เธอสะเพร่าขนาดที่แม้แต่ปัญหาสำคัญขนาดนี้ยังคิดไม่ถึงเชียวหรือ หากเวลาไม่เอื้อมันจะยุ่งยากขนาดไหนกัน?

 

“คุณซีเหมิน คุณไม่ลองเสี่ยงโชคดูสักก้อนเหรอคะ?” อวิ๋นเจียยิ้มดีใจ เพราะแค่พลิกมือเดียวเธอก็กอบโกยกำไรไปหลายหมื่น เป็นใครก็ดีใจทั้งนั้น

 

“เสี่ยวป๋ายกำลังเลือกอยู่ค่ะ ฉันไม่เข้าไปวุ่นวายดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม

 

“คุณจ่าน?” ฉินเฮ่าถามอย่างสงสัย “เขาเดิมพันหินเป็นเหรอ”

 

“ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด “พวกคุณลองดูสิ นั่นเขากำลังเลือกหินหยกหรือว่าเลือกแตงโมอยู่กันแน่?” พูดจบเธอก็ชี้ไปทางจ่านป๋าย

 

แม้ว่าจ่านป๋ายจะถือไฟฉายและแว่นขยายไว้ในมือ แต่ท่าทางของเขาดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนในวงการนี้ ข้างๆ มีนักธุรกิจหยกคนจีนได้ยินที่ซีเหมินจินเหลียนพูด เผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

 

ฉินเฮ่าเห็นแล้วยิ้มขมขื่น “คุณก็ปล่อยให้เขาเล่นไปเนี่ยนะ”

 

“ให้เขาเล่นสักรอบเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณไม่สนใจจะเดิมพันสักหน่อยเหรอ?”

 

ฉินเฮ่าคิดๆ ดูแล้วพยักหน้าพูด “ผมก็ไปเสี่ยงดวงดูสักก้อนดีกว่า”

 

ข้างๆ กันนั้นมีนักธุรกิจหยกคนหนึ่งพูดอย่างหวังดีว่า “พ่อหนุ่ม ฉันขอแนะนำว่าให้พอเถอะ ถ้าไม่รู้เรื่อง ถึงจะมีมรดกที่บ้านสักกี่พันกี่หมื่นก็ไม่พอล้มละลาย ชนะเดิมพันมารอบหนึ่งก็ถือว่าดีแล้ว คนเราจะมีโชคชะตามากมายมาจากไหนกัน?”

 

ฉินเฮ่ายิ้ม เดิมพันเล่นๆ สักก้อนสองก้อน เขาก็แพ้ไหวอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่ใช่หินหยกลักษณะดี ราคาสิบล้านถึงจะแพ้เดิมพันก็ไม่มีทางสะกิดผิวเขาได้สักนิด

 

ดังนั้นฉินเฮ่าทำได้แค่ยิ้มกับนักธุรกิจหยกคนนั้น ก่อนจะเดินไปทางหินหยกกองนั้นและเริ่มเลือกหินหยกดิบ

 

นักธุรกิจหยกคนนั้นทำได้แค่เอียงศีรษะ หนุ่มสาวสมัยนี้ก็เหมือนกบในกะลา ไม่เคยล้มมาก่อนจะไปรู้ถึงความเสี่ยงในการเดิมพันหินได้อย่างไร?

 

“คุณซีเหมิน พวกเรามาเดิมพันเล่นๆ กันหน่อยไหมคะ?” อวิ๋นเจียยิ้มทันที

 

ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอึ้งไป เดิมพันเล่นๆ เหรอ? เดิมพันหิน หรืออย่างอื่น?

 

“คุณอยากจะเดิมพันอะไรล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “เดิมพันหิน เดิมพันทรัพย์สินในบ้าน หรือเดิมพันพวกเขาทั้งสองคน?” พูดจบเธอก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองไปทางจ่านป๋ายกับฉินเฮ่า ทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อน เวลานี้ตีหน้าจริงจังเริ่มพูดคุยถึงการเดิมพันหิน น่าเสียดายที่ทั้งคู่เป็นคนนอกวงการ…ฉินเฮ่าถือว่าดีกว่าจ่านป๋ายหน่อย จ่านป๋ายเปิดหินหยกชั้นดีมาไม่น้อยเลย แต่ให้เขามาเดิมพันหินมันก็ดูตลกแปลกๆ

 

“ฉันเดิมพันทรัพย์สินไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าเป็นเดิมพันหิน เดี๋ยวอีกไม่กี่วันพวกเราจะไปมัณฑะเลย์ สินทรัพย์ของฉันก็สู้พี่ซีเหมินไม่ได้ ดังนั้นพวกเราแค่เดิมพันพวกเขาสองคนก็พอค่ะ ว่าคืนนี้ใครจะมีโอกาสชนะมากกว่า เป็นอย่างไรคะ?” อวิ๋นเจียยิ้ม

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “คุณอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งนะ ฉันเองก็จะไม่ดูเหมือนกัน”

 

“แน่นอนค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ใช่คู่แข่งของพี่ซีเหมินหรอกค่ะ” อวิ๋นเจียยิ้มเบา ดวงตากลมโตลุกวาวภายใต้แสงไฟเปล่งประกาย

 

ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอึ้งไป แม้วาจาของอวิ๋นเจียจะยั่วยุอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงชอบส่งรอยยิ้มหวาน อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เสนอเดิมพันที่ผิดแปลก

 

“เดิมพันเท่าไหร่ล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“หนึ่งหมื่นยูโร เล่นขำๆ พอค่ะ ฉันบอกแล้วฉันไม่เดิมพันทรัพย์สินในบ้าน และฉันก็ไม่มีสิทธ์ตัดสินอะไรในครอบครัว” พูดถึงเท่านี้ คิ้วยาวสวยของอวิ๋นเจียขมวดขึ้นมาเล็กน้อย

 

“โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ไม่มีปัญหา”

 

หลังจากที่ทั้งสองเจรจาตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ฉินเฮ่ากับจ่านป๋ายซื้อหินหยกทั้งสองก้อน จากนั้นเปิดหินต่อหน้าผู้คน ดูว่ามูลค่าราคาของใครสูงกว่ากัน คนคนนั้นก็เป็นผู้ชนะ

 

 ทางด้านฉินเฮ่ากับจ่านป๋ายเมื่อได้ยินว่าซีเหมินจินเหลียนกับอวิ๋นเจียเดิมพันกันไว้อยู่ จ่านป๋ายนั้นอย่างไรก็ได้ แต่ใบหน้าของฉินเฮ่ามีความไม่พอใจ อวิ๋นเจียจุ๊ปากแกล้งทำเป็นไม่เห็นได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

 

“คุณอวิ๋นมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“ฉันอิจฉาพี่สาวจังเลยค่ะ” อวิ๋นเจียลูบนิ้วเรียวขาวของตัวเองไปมาและถอนหายใจ

 

“อิจฉาฉันทำไมเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด “สิ่งที่ฉันมี คุณก็ครอบครองทั้งหมดแล้ว สิ่งที่ฉันไม่มีคุณก็ได้ครอบครองแล้ว”

 

“บางครั้งการครอบครองก็เป็นหน้าที่บางอย่าง” อวิ๋นเจียถอนหายใจอีกรอบ “ฉันอิจฉาพี่สาวที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน แถมยังมีคุณจ่านผู้ชายที่คอยหลงใหลดูแลพี่สาวอยู่ทั้งคน แต่ฉัน…” พูดเท่านี้เธอก็ขมวดคิ้วเป็นปมมองไปทางฉินเฮ่า

 

“พี่ฉินเป็นคนดีนะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบปลอบใจ

 

“เขาเป็นคนดี แต่หัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ฉัน” อวิ๋นเจียส่ายหน้า

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ เรื่องนี้เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้ยินที่จ่านป๋ายพูดว่าอวิ๋นเจียมีปัญหาทางสมอง และยังโรคจิตอ่อนๆ…หากพูดอะไรผิดพลั้งไป ไม่แน่ว่าอาจจะกระทบกระทั่งตัวเธอ แต่ดูจากการกระทำและคำพูดของเธอแล้ว ก็ไม่เหมือนกับผู้ป่วยทางจิตเลยนี่? และเธอยังคงไม่เข้าใจมาตลอด ทำไมอวิ๋นอวิ้นต้องผลักดันอวิ๋นเจียด้วย? ก็ไม่ใช่ว่าตระกูลอวิ๋นจะไม่มีผู้สืบทอดโดยตรงนี่นา

 

“จินเหลียน จินเหลียน ผมเลือกเสร็จแล้วครับ สองก้อน ห้าพันยูโร…” ในระหว่างที่จ่านป๋ายพูดก็เดินไปข้างๆ ซีเหมินจินเหลียน

 

ซีเหมินจินเหลียนบ่นอุบอิบในใจ สองก้อนห้าพันยูโร นี่ก็ไม่ถูกเลย ขอให้ได้ทุนคืนด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์

 

“คุณจะลองดูไหม?” จ่านป๋ายเห็นเธอไม่พูดไม่จาจึงรีบทักถาม

 

“ฉันไม่ดูหรอก ฉันกำลังเดิมพันกับคุณอวิ๋นอยู่” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด ซื้อก็ซื้อแล้วจะดูไปทำไมอีก? หรือพอดูแล้วไม่สวยจะคืนสินค้ากับเถ้าแก่เหรอ? ปากพูดไปแบบนั้นแต่เธอก็เหลือบมองไปแวบหนึ่ง หินหยกทั้งสองก้อน มีก้อนหนึ่งหนักห้าถึงหกกิโลกรัม ผิวสีเทาแกมน้ำตาล ส่วนอื่นๆ ดูไม่ออก

 

ส่วนอีกก้อนเป็นผิวสีเทาขาว ใหญ่กว่าก้อนนั้นหน่อย แต่ไม่ใหญ่ขนาดนั้น น่าจะหนักมากสุดสักสิบกว่ากิโลกรัม เพราะเป็นเวลาตอนกลางคืน บวกกับตำแหน่งที่เธอยืนยังคงห่างไกลอยู่หลายก้าว แน่นอนว่าทำให้เธอมองเห็นเส้นลายหยกกับจุดหยกไม่ชัด…

 

จะว่าไปแล้วจ่านป๋ายก็รู้ว่าอะไรคือจุดหยกหรือเส้นลายหยกด้วยหรือ? อืม…หรือว่าหินหยกที่ขายในถนนเดิมพันหินจะมีจุดหยกหรือเส้นลายหยกด้วย?

 

จากที่ซีเหมินจินเหลียนรู้มาทั้งหมด เหมืองหยกในพม่า เมื่อขุดเจอหินหยกต้องผ่านการเลือกสรรรอบแรก หินหยกลักษณะดีแน่นอนว่าเจ้าของเหมืองต้องเก็บไว้เอง เพื่อรอให้ลูกค้าที่มีเงินมาซื้อถึงที่ หรือส่งเข้าไปร่วมในงานประมูลหยก

 

 เนื้อหยกเกรดรองลงมานำไปขายให้กับนักธุรกิจหยกหลากหลายพื้นที่ และนักธุรกิจค้าหยกพวกนี้กลับบ้านไปและดูจากลักษณะหินหยกที่ปรากฏ แบ่งเป็นเกรดต่างๆ แยกออกไป

 

ขายตามสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่สินค้าเกรดดีอะไร

 

ไม่นานฉินเฮ่าก็เลือกหินหยกได้สองก้อน แต่เมื่อก่อนฉินเฮ่าเคยทำธุรกิจค้าขายของโบราณ ความสามารถในการต่อรองราคาแน่นอนต้องช่ำชองกว่าจ่านป๋าย ดังนั้นหินหยกทั้งสองก้อนที่ใหญ่กว่าของจ่านป๋ายได้มาในราคาแค่สามพันยูโร

 

จ่านป๋ายปัดมือยิ้ม “ผมก็เสียเปรียบแล้ว”

 

“ชนะเดิมพันก็พอแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดปลอบ

 

“ผมมีโอกาสเดิมพันชนะไหมครับ” จ่านป๋ายยิ้ม

 

อวิ๋นเจียที่อยู่ข้างๆ ยิ้มออกมา “คุณจ่านคงไม่ได้โดนเอาเปรียบซื้อของแพงมาใช่ไหมคะ?”

 

“สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องเดิมพันหินทุกอย่าง คุณอวิ๋น คุณว่ามีโอกาสความเป็นไปได้ไหมครับ?” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด “หรือคุณหวังจะให้คุณฉินชนะเดิมพัน?”

 

“คุณอย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เขามั่นใจมาก!” อวิ๋นเจียส่ายหน้าพูด ยกมุมปากเชิดขึ้นยิ้มขื่น

 

ไม่รู้ว่าเถ้าแก่คนนั้นขี้งก หรือมีแค่เครื่องตัดหินแบบเก่าจริงๆ จ่านป๋ายกับฉินเฮ่าก็ใช้เครื่องตัดหินพร้อมกันไม่ได้ และเพราะฉินเฮ่าเดิมพันชนะไปก้อนหนึ่งแล้ว จ่านป๋ายจำต้องยอมถอยให้เขาใช้เครื่องตัดหินก่อน

 

ฉินเฮ่าเปิดหินอย่างระมัดระวัง เริ่มตัดผิวหินจากด้านบนไปประมาณหนึ่งเซนติเมตร จากนั้นค่อยทำการอ่านหยก แต่ดวงของเขาไม่ดี หินหยกสองก้อนไม่มีสักก้อนเลยที่ตัดออกมามีสีเขียว สุดท้ายทั้งสองก้อนถูกตัดจนดูไม่ได้ และถูกเถ้าแก่ซื้อกลับไปด้วยราคาเพียงแค่สามสิบยูโร แพ้อย่างราบคาบ

 

ถัดมาเป็นตาของจ่านป๋าย เขารีบวางหินหยกดิบและจัดตำแหน่งบนเครื่องตัดหินอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นตัดจากตรงกลางลงไป เขาไม่เพียงแต่เลือกหินหยกเหมือนเลือกแตงโม แต่การตัดหินยังเหมือนผ่าแตงโมเช่นกัน

 

หินหยกก้อนแรกถูกตัดเป็นสี่ส่วน หินยังไงก็ยังเป็นหิน ไม่เผยสีเขียว!

 

หินหยกก้อนที่สองขนาดใหญ่หน่อยหนักราวๆ สิบกิโลกรัม ผิวสีเทาขาวถูกจ่านป๋ายนำไปวางไว้บนเครื่องตัดหินและวาดเส้นกำกับ กดปุ่มสวิตซ์ทำงาน จ่านป๋ายถือมือจับของเครื่องตัด ใบมีดกระทบกับหินส่งเสียงดังครืดคราดขึ้น…