ตอนที่ 1106 แผนรับมือแบบครอบจักรวาล

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1106 แผนรับมือแบบครอบจักรวาล โดย Ink Stone_Fantasy

ณ เขตที่พักของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง แอชเชสเพิ่งจะปิดประตูห้องลง ด้านหลังเธอพลันมีเสียงกระแอมของทิลลีดังขึ้นมา

“อะแฮ่มๆ ที่โรแลนด์บอกให้ดูแล เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร?”

แอชเชสอดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เธอแสดงทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจขึ้นมา “ก็ตามนั้นไม่ใช่เหรอเพคะ…คอยอยู่ข้างกายลีฟเหมือนกับดูแลคนไข้ ร่างกายนางบาดเจ็บอยู่ คงจะทำอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไร..”

“เฮ้!”

ครั้งนี้แอชเชสหลุดขำออกมา

“ที่แท้เจ้าแกล้งหลอกข้า..”

“วางใจได้เพคะ หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร” เธอหันหน้ามองพร้อมกะพริบตามองอีกฝ่าย “ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการใช้ประสาทสัมผัสพิเศษที่ไวต่อพลังเวทมนตร์ของแม่มดอมนุษย์เพื่อให้ในการเตือนให้ลีฟรู้ล่วงหน้าเท่านั้นเพคะ ก็เหมือนกับตอนที่หม่อมฉันเจอกับพระองค์อย่างไรอย่างนั้น”

ถ้าไม่เป็นเพราะพลังแบบนี้ พระองค์ก็คงไม่มีทางมองเห็นหม่อมฉันที่ยืนล่องลอยอยู่ท่ามกลางฝูงคนเหมือนวิญญาณที่มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดหรอกเพคะ

“ข้าไม่ใช่ปีศาจซักหน่อย” ทิลลีเอามือกอดอก

“ก็แค่ยกตัวอย่างน่ะเพคะ” แอชเชสยกมือยอมแพ้ “เพราะมีแต่หม่อมฉันที่เคยสู้กับผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ใช่เหรอเพคะ?”

“แล้วหลังจากที่แจ้งเตือนแล้วล่ะ

“ก็ไปหากองหนุน ร่วมมือกันโจมตีศัตรู”

“จริงนะ?”

“หม่อมฉันไม่ใช่โลก้าที่มองเห็นคู่ต่อสู้คนไหนก็อยากจะเข้าไปสู้ทั้งหมดนะเพคะ” แอชเชสพูดยิ้มๆ “ขอเพียงไม่ได้ถูกตัดขาดพลังเวทมนตร์ ลีฟก็จะหายตัวเข้าไปในต้นไม้ได้ทันที แล้วหม่อมฉันจะยืนอยู่ที่เดิมทำไมล่ะเพคะ”

“เฮ่อ…” ทิลลีถอนใจออกมา “อย่าลืมที่เจ้าพูดซะล่ะ”

“แน่นอนอยู่แล้วเพคะ” เธอเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับสบตาเจ้าหญิงลำดับที่ห้า “หม่อมฉันยังต้องอยู่ข้างกายพระองค์อีกนานเพคะ แอนเดรียเกิดมาจากตระกูลขุนนาง นางไม่มีทางรู้ว่าต้องดูแลคนอย่างไร คิดแต่เพียงว่าสู้ได้ก็พอ แล้วหม่อมฉันจะวางใจปล่อยให้พระองค์อยู่กับนางได้อย่างไรล่ะเพคะ”

“เจ้า เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบื้อ!” ทิลลีถลึงตาใส่ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่สบอารมณ์

พอเดินไปถึงประตู จู่ๆ เธอพลันหยุดฝีเท้าแล้วพูดเสียงเบาๆ ออกมาว่า “ที่เจ้าช่วยลีฟได้ ความจริง..ข้าเองก็ดีใจอย่างมากเหมือนกัน”

แอชเชสงุนงงเล็กน้อย

“ถ้าปกป้องข้าแค่คนเดียว ข้าคิดว่ามันสิ้นเปลืองพลังของเจ้าไปหน่อย” ทิลลีหันหน้ากลับมา “ถึงแม้เจ้าจะพูดกับข้าอยู่เสมอว่าเกาะสลีปปิ้งต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเรา แต่ความจริงเจ้าเองก็ชอบที่นี่อย่างมากไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เจ้ายิ้มเยอะกว่าแต่ก่อนเสียอีก”

ใช่…เหรอ? เธอเอามือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองโดยไม่รู้ตัว

“ถึงจะอยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เจ้าเองก็ไม่ค่อยยิ้มเท่าไร เหมือนกับเจ้ารอที่จะสู้กับศัตรูอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ” ทิลลีพูดต่อ “เกรงว่าแม้แต่เจ้าก็คงไม่ทันได้สังเกต แม่มดที่มาใหม่น่ะกลัวเจ้ามากนะ มีแต่แม่มดซื่อๆ อย่างเมซี่เท่านั้นแหละที่เล่นกับเจ้าได้”

“แต่ตอนนี้ เจ้ากลับเข้ากับสโมสรแม่มดได้เป็นอย่างดี แถมข้ายังได้ยินมาว่ามีคนชื่นชมเจ้าด้วยนี่?”

“พระองค์หมายถึง…โลก้า? ไม่ นางแค่ค่อนข้างสนิทกับหม่อมฉันเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะพวกเราฝึกซ้อมด้วยกันบ่อยน่ะเพคะ…”

“แบบนั้นก็ดี” ทิลลีพูดตัดบท “ถ้าเทียบกับ ‘ผู้แก้แค้น’ เมื่อก่อนนี้แล้ว ข้าชอบตัวเจ้าในตอนนี้มากกว่า แต่ว่า!” เธอชะงักไปเล็กน้อย “นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำอะไรตามใจชอบได้นะ เข้าใจไหม!”

แอชเชสนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

“ดีมาก” ทิลลีพยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่แน่อีกไม่นานหลังจากนี้ ข้าอาจจะได้ลงไปสนามรบกับเจ้าก็ได้”

“โอ้? แผนการอัศวินอากาศมีความคืบหน้าเหรอเพคะ?”

“โรแลนด์บอกว่ากำลังลองเอาแหล่งกำเนิดพลังรุ่นใหม่ไปใส่ในเครื่องบิน ถ้าสำเร็จล่ะก็ เราก็จะได้เครื่องบินรุ่นใหม่ที่สามารถบินได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาเวนดี้แล้ว” ทิลลีพูดอย่างตื่นเต้น “แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือสร้างเครื่องบินรุ่นพิเศษให้ข้าเป็นการเฉพาะ ได้ยินว่ามันสามารถบินได้สูงกว่าเร็วกว่าอสูรสยองเสียอีก!”

ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้พระองค์ลงไปในสนามรบหรอกเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น…หม่อมฉันยังทำข้อตกลงกับฝ่าบาทแล้วด้วย แอชเชสยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา “เอาไว้พอถึงวันทดสอบการบิน หม่อมฉันจะไปดูนะเพคะ”

“อื้อ อย่างนั้นข้าไปอาบน้ำก่อนล่ะ ขับซีกัลมาทั้งวัน หลังเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย…เดี๋ยวมานะ”

“ไม่อาบด้วยกันจริงๆ เหรอเพคะ

“ฝันไปเถอะ!” ทิลลีพูดจบก็ปิดประตูดังปึ้งทันที

แอชเชสนั่งลงบนเก้าอี้ยาวในห้องรับแขก ก่อนจะมองดูฝ่ามือของตัวเอง

เธอยังจำความรู้สึกตอนที่เธอโจมตีครั้งสุดท้ายใส่ปีศาจได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้เธอเหมือนได้ก้าวเข้าไปในดินแดนแห่งใหม่ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่วินาทีเดียว แต่มันก็มากพอที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของเธอ

ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การเคลื่อนไหว หรือว่าปฏิกิริยาตอบสนองก็ล้วนแต่เหมือนกับเธอตัดขาดออกมาโลกที่อยู่รอบๆ คงเหลือแค่เพียงตัวเธอกับพลังเวทมนตร์เท่านั้น พลังเวทมนตร์อันรุนแรงที่กำลังเผาไหม้ตัวเธอ แล้วก็มอบพละกำลังอันมหาศาลให้กับเธอ

แอชเชสรู้สึกได้ว่าพลังที่ว่านั้นกำลังตอบสนองการเรียกของเธอ แล้วก็นำเธอให้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง

‘พลังเวทมนตร์ไม่เพียงแค่จะส่งผลต่อร่างกายของพวกเราเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่ออารมณ์ของพวกเราด้วย…ถ้าพวกเราปรารถนาที่จะใช้เวทมนตร์ไปทำเป้าหมายอะไรซักอย่างให้เป็นจริง มันก็จะนำเราไปยังทิศทางนั้นๆ’

‘อย่างนั้นเจ้า…กำลังสู้เพื่ออะไรอยู่?’

คำพูดของฟิลลิสในตอนที่ออกไปทำภารกิจในแผ่นดินรกร้างครั้งแรกดังขึ้นมาในหูของเธออีกครั้ง

‘ทำไมเจ้าต้องมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย?’

‘เพราะว่าเจ้าเป็นแม่มดอมนุษย์ เป็นผู้ที่มีพลังแฝงอย่างที่ยากจะจินตการได้มาแต่กำเนิดยังไงล่ะ แต่ถ้าอยากจะก้าวข้ามด่านที่ว่านั้นไปให้ได้จริงๆ มันก็จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและจิตใจที่แน่วแน่’

‘สุดยอดอมนุษย์ที่สมาพันธ์มีการบันทึกเอาไว้ล้วนแต่ยกระดับขึ้นในการต่อสู้ทั้งหมด ส่วนคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดที่ว่าไปได้ก็ล้วนแต่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของปีศาจ ข้าอยากจะให้ท่านเป็นอย่างแรกมากกว่า’

“สุดยอดอมนุษย์….ผู้นำทั้งสามของสมาพันธ์เองก็ต้องตัดสินใจเลือกแบบนี้เหมือนกันเหรอ…”

แอชแชสกำมือแน่น

ตอนนี้เธอเหมือนจะรู้คำตอบแล้ว

…..

โรแลนด์กลับมายังห้องทำงาน ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ต่อสายไปยังสำนักบริหาร

“เรียกบารอฟมารับสายหน่อย”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

ไม่นานเสียงหัวหน้าสำนักบริหารก็ดังขึ้นมาโทรศัพท์ “ฝ่าบาททรงมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“การสอบของการศึกษาขั้นพื้นฐานครั้งต่อไปจะมีขึ้นเมื่อไร?”

“กระหม่อมขอตรวจดูก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ…ตามแผนคืออีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ มีผู้เข้าสอบทั้งหมด 2,650 คนพ่ะย่ะค่ะ”

ดูเหมือนจะได้เวลาพอดี โรแลนด์คิดคำนวณในใจอยู่ครู่ “ทำแผนจ้างงานมาหน่อย ข้าต้องการคัดเลือกคนมาซัก 500 คนสำหรับโครงการใหม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์กลายเป็นเป็นเหมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ที่เอาคนจากที่ต่างๆ ของอาณาจักรใส่ลงไป หลังเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานก็จะถูกส่งไปประจำยังหน่วยงานต่างๆ ทันที ส่วนในสายการผลิต ผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ก็สามารถรับเอาพนักงานใหม่เหล่านี้เข้าไปทำงานได้โดยไม่มีปัญหา หลังรูปแบบการผลิตขนาดเล็กด้วยมือถูกทำลาย เทคโนโลยีก็เปลี่ยนจากประสบการณ์ส่วนบุคคลมาเป็นระบบเทคโนโลยี คนงานเก่าช่วยสอนคนงานใหม่จึงกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และหลังจากที่คนงานใหม่จำนวนมากเริ่มชำนาญในการทำงานแล้ว การผลิตก็จะขยายขนาดและสามารถรองรับแรงงานใหม่ได้มากขึ้น

พื้นฐานที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์สะสมมาเป็นเวลาหลายปีได้สร้างระบบหมุนเวียนนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวมันเองแล้ว ในตอนที่แรงงานคนและทรัพยากรที่ใส่เข้าไปในเตาหลอมนี้เพิ่มไปถึงระดับหนึ่ง เศรษฐกิจอุตสาหกรรมก็จะหลายเป็นขุมกำลังที่ไม่มีอะไรจะมาเทียบได้

หลังวางสาย โรแลนด์หยิบเอาแปลนออกแบบปึกหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก

นับตั้งแต่ที่สถานีหมายเลขหนึ่งถูกลอบโจมตี เขาก็เริ่มเตรียม ‘แผนรับมือแบบครอบจักรวาล’ ขึ้นมา แนวคิดการออกแบบจำนวนมากล้วนแต่รวบรวมมาจากโลกแห่งความฝัน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือปรับเปลี่ยนมันให้เขากับสถานการณ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในขณะเดียว และในนี้ก็มีอาวุธอยู่ชนิดหนึ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้มาก

“มีแผนใหม่อีกแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลปรากฎตัวออกมาจากหมอกมายา

“อืม ใช่…” โรแลนด์พลิกแปลนดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าๆ หนึ่ง “เจ้านี่แหละ”

………………………………………………………………