ตอนที่ 332 วัวแก่กินหญ้าอ่อน? / ตอนที่ 333 โอกาสที่ผ่านพ้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตอนที่ 332 วัวแก่กินหญ้าอ่อน?

 

 

เนื่องเพราะร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเหตุ ทำเอาแม้แต่สมองของเขาก็พลอยมึนงงและสับสนไปด้วย

 

 

ถึงได้เห็นว่าสาวน้อยผู้นั้นมีความคล้ายคลึงกับองค์หญิงเย่วอยู่หลายส่วน ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่านางกลับมาแล้ว

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ เขาไม่เคยหลุดพ้นจากการแอบรักในครั้งนั้นเลย

 

 

ดังนั้นตลอดวันเวลาที่อาศัยอยู่ในเมืองกู่เย่วนี้ ในใจของเขาจึงคิดแต่จะล้างแค้นให้นางอยู่ตลอด

 

 

บ้านแตกสาแหรกขาด จับขังจองจำ ทั้งยังถูกทำให้เป็นมลทินอย่างน่าอับอาย

 

 

แต่ละเรื่องๆ เขาล้วนต้องการคิดบัญชีกลับไปทั้งสิ้น

 

 

ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่านางมิได้รับรู้เลยว่าในโลกนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่หลงรักนางมากถึงเพียงนี้

 

 

“องค์หญิง เหลียงป๋อมีเรื่องหนึ่งที่คิดจะบอกท่านมานานหลายปีแล้ว” เหลียงจวิ้นอ๋องกระอักเลือดอยู่ตลอด สองมือเ**่ยวย่นของเขาเหมือนดังหนอนไหมที่ตายแล้วสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด

 

 

“ขุนเขามีแมกไม้ พืชพันธุ์มีกิ่งก้าน ในใจข้ามีท่าน ไหนเลยเคยรู้[1]”

 

 

“สิบกว่าปีมานี้ ตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

 

 

เขาไม่ใช่คนอย่างปฐมฮ่องเต้ หากไม่ได้มาก็บังคับครอบครอง

 

 

ยิ่งไม่เหมือนกันตู๋กูถิง ได้รับไปแล้วก็ไม่รู้จักถนอมเอาไว้ ยังจะแต่งลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเจียงมาเป็นเมียน้อยอีก

 

 

หากว่าองค์หญิงเย่วยอมเคียงคู่อยู่ร่วมกับเขา เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ เขาจะมีนางเพียงผู้เดียว ไม่ว่าในสายตาหรือว่าในหัวใจ ก็ไม่อาจรองรับหญิงอื่นใดได้อีกแล้ว

 

 

แต่ชายทั้งสองคนนั้น….กลับทำร้ายนาง รังแกนาง!

 

 

ยิ่งคิดหัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องก็ยิ่งไม่ยอมสงบ

 

 

คำพูดเมื่อครู่ทุกคนต่างก็ได้ยินหมดแล้ว แต่ละคนล้วนต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว

 

 

“อ้ายย่าห์เจ้าข้าเอ๋ย นี่ยังไม่ใช่วัวแก่กินหญ้าอ่อนหรืออย่างไร?” ชือหลีไม่ได้เข้าใจสักนิดเลยว่าองค์หญิงที่เหลียงจวิ้นอ๋องเรียกนั้นที่จริงแล้วคือผู้ใด

 

 

นางเพียงคิดว่าเขาตกหลุมรักตู๋กูซิงหลันเข้าแล้วนั่นเอง

 

 

ก็ตู๋กูซิงหลันงดงามสคราญล้ำโลกเสียขนาดนั้น แถมตนยังเคยได้ยินมาว่า บิดาของจีเฉวียนยังตายเพราะความงามของนาง

 

 

ดังนั้นตอนนี้ที่เหลียงจวิ้นอ๋องจะเกิดความหลงใหลจนวิญญาณหลุดลอยก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อยู่

 

 

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร?” วิญญาณทมิฬหันไปตอบนาง “เกิดมารูปโฉมงดงามถือเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนึ่ง แม้แต่ไอ้เฒ่ายังหลงใหลจนหัวปักหัวปำ”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..”

 

 

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เองก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ พระองค์ชักพระหัตถ์ที่ถูกหอกทำร้ายจนเนื้อแหลกเละกลับมา ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง ดวงเนตรหงส์ทั้งสองจับจ้องไปที่เหลียงจวิ้นอ๋องด้วยความเย็นชา

 

 

 “เจ้าจำคนผิดแล้ว”

 

 

คนในดวงใจโดดเด่นเกินไป คนที่หลงใหลมีเป็นร้อยเป็นพันแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา แม้แต่ไอ้แก่อย่างเหลียงป๋อยังกล้ามาแย่งชิงกับเขา?

 

 

ถึงกับกล้าสารภาพรักออกมาต่อหน้าเขา เพราะไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ

 

 

“ข้าไม่ใช่องค์หญิง” ตู๋กูซิงหลันเองก็พยักหน้า ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆนางถึงได้รู้สึกว่าเหลียงจวิ้นอ๋องผู้นี้ช่างน่าเห็นใจ

 

 

องค์หญิงที่เขาเรียกหา….ทำให้นางคาดเดาออกบางประการ

 

 

“ไม่ใช่หรือ….” เหลียงจวิ้นอ๋องประคองลมหายใจเอาไว้จดจ้องมองนาง

 

 

เมื่อครู่เขาสับสนไปแล้ว ตอนนี้พอมองดูให้ละเอียด…..ก็ไม่เหมือนกันจริงๆ

 

 

เพียงแต่ว่ามีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน….

 

 

องค์หญิงเย่วดูอ่อนโยนกว่า แม้แต่สายตาก็เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้คน มิได้เหมือนดวงตาดอกท้อคู่นี้ ที่ดูลึกล้ำจนไร้ก้นบึ้ง

 

 

แต่พวกนางก็คล้ายคลึงกันมาก….เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

 

 

ตอนนั้นที่องค์หญิงสุดท้ายก็เลือกที่จะอยู่กับตู๋กูถิง

 

 

ได้ยินมาว่าองค์หญิงมีหลานสาวแท้ๆอยู่ผู้หนึ่ง มีนามว่าตู๋กูซิงหลัน ซึ่งก็คือไทเฮาในปัจจุบัน

 

 

สาวน้อยผู้นี้…..

 

 

มีความใกล้ชิดกับจีเฉวียน…..

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องพลันคิดไปถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง

 

 

‘นางมาร’ ที่เขาเรียกหาจนติดปาก คงจะเป็นไทเฮาน้อยแล้วกระมัง?

 

 

เช่นนี้ ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าทำไมนางถึงได้มีส่วนคล้ายคลึงกับองค์หญิงเย่ว

 

 

“อะเฮอะ อะเฮอะ….” เหลียงจวิ้นอ๋องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ทำไมข้าถึงได้คิดไม่ถึง ว่าเจ้าเป็นหลานสาวของนางน่ะเอง…..”

 

 

หัวเราะไป น้ำตาของเขาก็รินไหลลงมาด้วยความชอกช้ำปนลงไปกับเลือด

 

 

“หากเจ้าเปิดเผยฐานะแต่แรก ข้าไหนเลยจะทำให้เจ้าต้องลำบาก….”

 

 

 

 

——

 

 

[1] 山有木兮木有枝,心悦汝兮汝不知

 

 

“ขุนเขามีแมกไม้ พืชพันธุ์มีกิ่งก้าน ในใจข้ามีท่าน ไหนเลยเคยรู้”

 

 

= บนภูเขามีต้นไม้ ต้นไม้แตกกิ่งก้านใบ (ความสมบูรณ์ สำเร็จงดงาม) ใจของข้าแอบหลงรักท่าน แต่ท่านกลับไม่เคยรู้เลย

 

 

กลอนบทนี้มาจากเพลงเรือของชาวเย่ว (หรือชาวจ้วง) (越人歌;  Yuèrén Gē) ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งองค์ชายเออร์(鄂)เสด็จประพาสทางเรือ คนพายเรือผู้นี้ได้มีโอกาสพายเรือถวาย จึงร้องเพลงด้วยภาษาเย่วพึ่งบ่งบอกความในใจ แน่นอนว่าเจ้าชายที่มาจากต่างถิ่นฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็เกิดความประทับใจในท่วงทำนอง เมื่อกลับไปจึงให้เสาะหาคนมาแปลให้ฟัง พอเจ้าชายทราบว่าคนพายเรือแอบชอบพระองค์ ก็ให้คนมารับไปอยู่ด้วยกัน กลายเป็นตำนานรักของชายกับชายที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเลยจ้า

 

 

ไรท์: อยากฟังเพลง? ตามไปดูYOUTUBE ฉากการแสดงที่ใส่หน้ากากสีขาวในหนังเรื่อง THE BANQUET 「夜宴」ได้เลยจ้า ค้นหาด้วย “夜宴 越人歌” อันนี้เลย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 333 โอกาสที่ผ่านพ้น

 

 

เขาแอบหลงรักองค์หญิงเย่วมานานปี หากรู้ว่าเป็นหลานสาวของนาง เขามีรึจะทำร้ายนางได้ลง?

 

 

มีแต่จะรักถนอมนางเฉกเช่นเดียวกับเซิงเซิงต่างหาก?

 

 

เห็นอยู่ว่าเหลียงจวิ้นอ๋องกระอักเลือดไม่ยอมหยุด เหล่าลูกน้องของเขาก็ร้อนใจขึ้นมา

 

 

“ท่านอ๋อง!”

 

 

ผู้คนพากันรายล้อมเข้าไป ค่อยๆ ประคับประคองเขาออกมาอย่างระมัดระวัง

 

 

ใครจะไปคิดว่า เหลียงจวิ้นอ๋องผู้เก่งกล้าองอาจหนึ่งในห้าแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าโจว พอถูกฮ่องเต้ซัดหอกเข้าใส่ครั้งหนึ่งก็จะมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้?

 

 

สภาพของเหลียงจวิ้นอ๋องในตอนนี้ ทำให้เหล่าทหารทั้งหลายหมดความคิดจะตอบโต้อีกต่อไป เดิมทีก็เสียเปรียบอยู่แล้ว มาตอนนี้ทั้งหมดยิ่งเท่ากับว่าถูกมัดมือมัดเท้าจำต้องยอมแพ้

 

 

ตอนนี้ความหวังที่จะชนะได้จบสิ้นไปแล้ว

 

 

หากเปรียบเทียบกับฮ่องเต้แล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ปลายแขนที่ไม่มีทางยิ่งใหญ่ได้เท่าต้นขา

 

 

ตอนนี้หัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องทั้งดวงจดจ่ออยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น พอเขาถูกพวกลูกน้องประคองออกมา ก็ก้าวไปข้างหน้าอีกหลายก้าว

 

 

หลงเซียวรีบถลันเข้ามาใช้กระบี่น้ำแข็งในมือสกัดขวางเขาเอาไว้

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ปล่อยให้เหลียงจวิ้นอ๋องเข้าใกล้ฝ่าบาทได้….เป็นความตั้งใจของเขาเอง ภรรยาของหมอหลวงซุนได้สั่งสอนเอาไว้ ในช่วงเวลาที่สำคัญจะต้องสร้างโอกาสให้ฝ่าบาทได้เป็นผู้กล้าพิทักษ์หญิงงาม

 

 

เช่นนี้ ก็จะสามารถได้หัวใจของหญิงงามมาครอบครอง

 

 

ดังนั้นในตอนที่เหลียงจวิ้นอ๋องกระโดดโผขึ้นไปนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้รั้งตัวเอาไว้ ซ้ำยังถอยให้อีกก้าวเล็กๆ

 

 

เป็นไง…..ฝ่าบาททรงเป็นผู้กล้าช่วยเหลือหญิงงามได้สำเร็จสวยงามเห็นไหมเล่า

 

 

เพียงแต่ว่าเรื่องเช่นนี้มีหนึ่งแต่ไม่อาจมีได้เป็นครั้งที่สอง รอบนี้ตนไม่อาจแกล้งเผลอปล่อยเขาเข้าไปได้อีกแล้ว

 

 

พอพึ่งจะขวางคนเอาไว้ ก็เห็นจีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันเหาะลงมาจากหลังเมียเมียพอดี

 

 

พระองค์ใช้พระหัตถ์ข้างเดียวโอบเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แล้วก็ลอยลงมาอย่างช้าๆ ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายจนถึงเบื้องหน้าเหลียงจวิ้นอ๋อง

 

 

ทันทีที่ถึงพื้นดิน ไม่รู้ว่าเหล่าองครักษ์ลับไปหาบัลลังค์มังกรมาจากที่ใด วางเอาไว้ด้านหลังของพระองค์อย่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี

 

 

ฮ่องเต้ทรงโอบกอดหญิงงามเอาไว้ กวาดพระชงฆ์ทั้งสองออกกว้างประทับนั่งลงบนบัลลังก์

 

 

ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันถูกพระองค์อุ้มเอาไว้ จับให้นั่งบนพระเพลา

 

 

ที่ด้านหลังยังมีแสงเพลิงลุกโชน แสงสะท้อนมายังคนทั้งสองที่ดูคล้ายดั่งทรราชและนางสนมปีศาจ

 

 

“เหลียงป๋อ ก่อกบฏ ลอบปลงพระชนม์ มิว่าจะเป็นความผิดข้อใดก็เพียงพอจะให้เราประหารเจ้าเก้าชั่วโคตรได้แล้ว” พระหัตถ์ของจีเฉวียนวางลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน ช่วยทัดปอยผมให้กับนาง สายพระเนตรเหลือบมองดูเหลียงจวิ้นอ๋องอย่างเย็นชา

 

 

จากนั้นก็เห็นมุมพระโอษฐ์บางขยับยกน้อยๆ เย้ยหยันอย่างเย็นชา “เราเห็นแก่ความดีความชอบที่เจ้าร่วมติดตามปฐมฮ่องเต้ก่อตั้งประเทศ จะเมตตาให้เจ้าได้มีศพที่ครบถ้วน เจ้ายังมีเรื่องใดจะสั่งเสียอีกหรือไม่?”

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องตกตะลึงไปเล็กน้อย ในเมื่อเรื่องนี้ล้มเหลวแล้ว ย่อมต้องรู้ว่าตนเองไม่มีหนทางที่จะหลบหนี

 

 

จีเฉวียนใช้เพียงแค่หอกเดียวก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บหนัก เขาไหนเลยยังจะสามารถเป็นคู่มือของคนรุ่นหลังผู้นี้อีก?

 

 

ทั้งใบหน้าและทั่วทั้งร่างกายของเขามีแต่เลือดไหลท่วม ในร่างยังมีหอกคู่กายของเขาคาอยู่อีกเล่มหนึ่ง

 

 

“ข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรจะพูด”

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องพูดจบ ก็กำหอกเล่มนั้นเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงเค้นกำลังดึงหอกเล่มนั้นออกมา

 

 

เลือดสดๆ ไหลรินออกจากช่องท้อง หยดเลือดไหลลงไปบนพื้นตรงหน้า

 

 

หน้าผากของเหลียงจวิ้นอ๋องมีแต่เม็ดเหงื่อเย็นๆ เต็มไปหมด แต่เขากลับทำเหมือนไร้ซึ่งความเจ็บปวด เพียงเงยหน้าขึ้นมามองดูตู๋กูซิงหลัน สายตานั้นพอกวาดมองขึ้นไปก็เหมือนว่าได้มองเห็นองค์หญิงเย่วในตอนนั้นอีกครั้ง

 

 

ใช่นางนั่นเอง…..ช่างดีเหลือเกิน

 

 

เขาขยับมือออกไป ในฝ่ามือมีแต่เลือดเปรอะเปื้อน สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันนั้นแสนจะอ่อนโยน

 

 

“ก่อนตายข้ามีคำขอประการหนึ่ง มิทราบว่าแม่นางจะยินดีช่วยให้ข้าสมประสงค์ได้หรือไม่?” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าทั้งยังแฝงแววขอร้องอยู่หลายส่วน

 

 

คนเราจะยังมีความเป็นอริศัตรูหรือไม่ แค่ดูจากบรรยากาศรอบตัวของเขาก็สามารถบอกได้แล้ว

 

 

“ท่านบอกมาเถอะ” นางขยับปลายนิ้ว พอสิ้นเสียงก็เห็นเหลียงจวิ้นอ๋องขยับเข้ามาใกล้นางอีกเล็กน้อย

 

 

“ข้ารู้ฐานะของแม่นางแล้ว ใบหน้านี้ของเจ้าบ่งบอกทุกสิ่งออกมา” พอห่างจากตู๋กูซิงหลันเพียงก้าวเดียว เหลียงจวิ้นอ๋องก็หยุดเท้าลง

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ตื่นตระหนก นางหรี่ตาลงมองดูเขา ก็เห็นถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ของเหลียงจวิ้นอ๋อง

 

 

เขาพยายามคุกเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าของนาง ยื่นฝ่ามือที่มีแต่เลือดชโลมอยู่ออกมาอีกครั้ง “แม่นางพอจะกรุณา….จับมือของข้าได้หรือไม่ ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของคนที่กำลังจะตาย”

 

 

ไม่มีใครเข้าใจความหมายในการกระทำของเหลียงจวิ้นอ๋อง ก่อนจะตายแท้ๆ กลับไม่กล่าวอะไรถึงเซิงเซิงที่เป็นหลานสาวของตนเองสักคำ คิดแต่จะให้เด็กสาวคนหนึ่งจับมือของเขา?

 

 

นี่เป็นเพราะแค่ว่าสาวน้อยคนนั้นหน้าตางดงาม? พอจวิ้นอ๋องท่านได้เห็นก็ตกหลุมรักขึ้นมาจริงๆ?

 

 

“เราไม่อนุญาต” จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา คิดจะแตะต้องซิงซิงต่อหน้าต่อตาพระองค์เนี่ยนะ?

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องคงจะเบื่อที่มีชีวิตอยู่นานไปแล้วจริงๆ

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทอดพระเนตรไปทางเหลียงจวิ้นอ๋องครั้งหนึ่ง ขณะที่เงียบงันกันอยู่นั้น ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไป

 

 

“เห็นแก่ที่เจ้ามีผลงานร่วมก่อสร้างแคว้น เราจะให้เจ้ากุมเอาไว้”

 

 

อย่าได้มาพูดว่าฮ่องเต้เช่นพระองค์ไม่มีน้ำจิตน้ำใจ กับคนที่ก่อกบฏสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง ก่อนตายยังได้รับการตอบรับคำขอถึงเพียงนี้ ต้องถือว่าเป็นพระกรุณาอย่างที่สุดแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะคุกเข่าให้กับพระองค์บ้างแล้ว ก็แค่จับมือไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย….

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางก็อยากจะรู้เรื่องราวบางอย่างจากเหลียงจวิ้นอ๋องอีกด้วย

 

 

ขณะที่จีเฉวียนทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปนั้น ตู๋กูซิงหลันก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ฝ่ามือเล็กๆ ที่ทั้งขาวและละเอียดนุ่มถูกส่งออกไป

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องคว้าเอาไว้แน่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

 

นี่เป็นมือที่อบอุ่นเหลือเกิน

 

 

ความอบอุ่นสายหนึ่งซึมซาบสู่ก้นบึ้งหัวใจของเขา

 

 

ชั่วขณะนั้นเอง ในสมองของเขาก็ย้อนกลับไปหาภาพมากมายเมื่อหลายสิบปีก่อน

 

 

สายตาของเขาพร่าเลือนอยู่บ้าง นี่มันผ่านมานานกี่ปีแล้วนะ?

 

 

ตอนนั้นทั้งเขา ปฐมฮ่องเต้ และตู๋กูถิงยังคงหนุ่มแน่นเหมือนดั่งจีเฉวียนในยามนี้

 

 

เขาและตู๋กูถิงต่างก็เป็นแม่ทัพคู่ใจของปฐมฮ่องเต้

 

 

ปฐมฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ที่มีพระทัยทะเยอทะยานมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ก็หมายมั่นปั้นมือในสมบัติล้ำค่าของแคว้นกู่เย่วอยู่แล้ว

 

 

ภายใต้การวางแผนยุทธการณ์อย่างรอบคอบ ในช่วงที่ดอกไห่ถางกำลังผลิบานนั้น พวกเขาได้ลอบเข้าไปในแคว้นกู่เย่ว

 

 

น่าเสียดายที่โชคชะตาทำร้ายผู้คน สถานการณ์ในเมืองกู่เย่วกลับซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้มากมาย

 

 

ทุกสิ่งในที่นี่อยู่เหนือความคาดหมาย เพียงแค่ในป่าก็มีสัตว์อสูรภูติผีปีศาจนับไม่ถ้วน

 

 

ท่ามกลางการต่อสู้ที่ชุลมุน พวกเขาพลัดหลงกับปฐมฮ่องเต้ที่บาดเจ็บสาหัส

 

 

และเพราะการบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้ ทำให้ปฐมฮ่องเต้ทรงได้พบกับองค์หญิงเย่ว

 

 

ภายหลังจากนั้น กว่าที่เขาและตู๋กูถิงตามหาปฐมฮ่องเต้พบ พระองค์ก็อยู่ข้างกายองค์หญิงเย่วแล้ว

 

 

เขายังจำได้ วันนั้นมีฝนตกเบาๆ นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีดำทั้งชุด แต่ว่ากลับดูงดงามดึงดูดสายตาอย่างที่สุด

 

 

ตั้งแต่พริบตานั้น ก็รั้งเขาเอาไว้จนชั่วชีวิต

 

 

………………..

 

 

ตอนนี้ ดวงตาของเหลียงจวิ้นอ๋องเกลื่อนไปด้วยประกายน้ำตา เขาเกาะกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น สำลักหายใจอย่างยากลำบาก

 

 

“องค์หญิง………ผ่านมานานหลายปีแล้ว …….ในที่สุดข้าก็จะได้ไปพบท่านที่ปรโลกเสียที”

 

 

คนที่จะตาย แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายก็ยังยื้อเอาไว้ไม่ได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันปล่อยให้เขายึดเอาไว้

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องผ่อนลมหายใจ พยายามฝืนรวบรวมกำลังอย่างที่สุดเพื่อส่งลูกแก้วบนคอของเขาให้ตู๋กูซิงหลัน “นี้เป็นขององค์หญิงเย่ว ข้าคิดว่า ควรมอบให้เจ้า”

 

 

ว่าแล้ว เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำโต

 

 

แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของตู๋กูซิงหลัน เขามองไปที่จีเฉวียน “ฝ่าบาท ขอทรงเห็นแก่ที่กระหม่อมติดตามปฐมฮ่องเต้ไปทุกที่ ทั้งยังไม่เคยกระทำเรื่องให้เกิดผลร้ายต่อแคว้นต้าโจว เมื่อกระหม่อมตายแล้ว โปรดละเว้นทางรอดให้แก่เซิงเซิง”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “ภักดีต่อฝ่าบาทจนตัวตาย”