ตอนที่ 29 ProjectZyphon
เสียงพึมพำงั้นหรือ ใช่แล้ว เพราะตัวผมเองขนาดมีสติเต็มร้อย ยังฟังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย อันฮยอนก็ต้องได้ยินเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์เช่นเดียวกันกับผม
ผมจึงส่งสัญญาณบอกไปว่ารับทราบ หลังจากนั้นจึงยกดาบขึ้นมาเทียบบริเวณริมฝีปาก อันฮยอนเห็นดังนั้น จึงรีบหุบปากฉับทันที
[หนี…บอกให้หนีไปไงเล่า! ในป่ามันมี…อะไร…!]
[พวกนาย…กำลัง…โดนหลอก… ในเต๊นท์… มี…]
เป็นแบบนี้นี่เองหรือ
ประโยคที่ผมได้ยินเป็นลำดับสุดท้ายนั้น ทำให้ผมพอจะเข้าใจว่าพวกวิญญาณต้องการจะสื่อสารอะไร จึงค่อยๆ วางดาบในมือลงอย่างช้าๆ
“…”
แล้วจึงหันกลับไปมองเต๊นท์ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ หันหน้ากลับมา แล้วประสานสายตากับพวกวิญญาณร้ายเหล่านั้นอีกครั้ง
แล้วผมก็ได้สบตาเข้ากับอันฮยอนที่ยืนอยู่ แล้วจึงเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบาว่า
“อย่ากังวลไปเลย พักผ่อนเถอะ”
“ครับ? พักผ่อนเหรอครับ”
ผมพยักหน้าตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ ก่อนที่จะปรายตามองรอบด้าน ทันใดนั้นจึงรู้สึกได้จิตใจที่กระสับกระส่าย
[อย่ากังวล…?]
[ทุก…เงี…ยบ!]
และแล้วในที่สุด ดูเหมือนเจ้าพวกวิญญาณจะพอรู้ตัวขึ้นมาบ้างแล้ว จู่ๆ พวกมันก็เงียบปากเงียบคำไปในทันที พอผมได้รู้แน่ชัดว่าพวกมันเงียบไปแล้ว จึงได้พูดต่อออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า
และแน่นอนว่าสายตาของผมก็ยังจับจ้องไปที่อันฮยอนเหมือนเดิม
“ฉันรู้แล้วล่ะ ว่าเจ้าพวกนี้คือวิญญาณร้ายที่ไม่มีที่ให้พึ่งพิง”
“ครับ?”
“ทนหนาวหน่อยนะ ถ้าพวกมันไปแล้ว…เดี๋ยวก็จะดีขึ้นมาเองล่ะ เพราะฉะนั้นก็รออยู่เงียบๆ เฉยๆ ดีกว่า อย่าตอบโต้อะไรออกไปเลย”
“…?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมให้คำตอบเขาผิดประเด็นไปหรือไม่ จึงทำให้อันฮยอนได้แต่เอียงคอ ทำหน้าสงสัยอยู่เหมือนเดิม แต่แล้วเจ้าพวกวิญญาณร้ายก็ปฏิบัติตามที่ผมพูดเป็นอย่างดี ราวกับว่าพวกมันเข้าใจในคำพูดของผม
[…ได้ งั้น…ทุก…]
[ขอบ…คุ…ณ…]
เหล่าคลื่นพลังงานบางอย่างหายไปในพริบตา พวกมันเผยตัวให้เห็นในช่วงเวลาสั้นๆ และหายตัวไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่แสดงตัวในตอนแรก
เวลาผ่านเลยไปสักระยะหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างก็เงียบสงัดอีกครั้ง
“พี่ครับ ที่พูดมาเมื่อนี้ พี่พูดกับผมใช่หรือเปล่าครับ”
“ก็ใช่ มีอยู่บางส่วนที่ฉันพูดกับนาย”
“ไม่สิครับ มันหมายความว่าอะไร…”
“นี่ ฉันพูดอะไรออกไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่นายกลับคิดอะไรซะใหญ่โตเลยนะ”
หลังจากพูดประโยคนั้นจบ ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วจ้องมองไปยังกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง มีหม้อสตูเนื้อที่กินเหลือจากมื้อเย็นวางอยู่ด้วย
ผมค่อยๆ ยกหม้อใบนั้นขึ้นมา ก่อนที่จะปรายตาไปมองอันฮยอน เจ้าหมอนี่ยืนเหม่อมองผม พลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“สักถ้วยไหม”
สงสัยจะหิวน่าดู อันฮยอนจึงรีบพยักหน้าตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ผมก้มมองหาถ้วยเปล่า ก่อนที่จะตักใส่ถ้วยแบ่งให้เขา แล้วจึงเงยหน้ามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
รอวันพรุ่งนี้ไม่ไหวเสียแล้วสิ
เช้าวันต่อมา
ยามเช้าแห่งป่าน้ำแข็งยังคงเหมือนเดิม กลางฟากฟ้ามีดวงอาทิตย์ลอยเด่นเป็นสง่า ส่องประกายแสงแดดเจิดจ้าลงมาก็จริง ทว่าแสงแดดที่สาดส่องลงมานั้น กลับถูกเจ้าน้ำแข็งป้องกันไว้เสียได้ จึงไม่มีลำแสงใดส่องทะลุลงมายังผืนดินนี้ได้เลย
ยิ่งเดินเข้าไปยังใจกลางมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศโดยรอบก็ยิ่งทวีคูณความหนาวเหน็บมากขึ้นเท่านั้น พวกเราได้แต่เดินขบวนกันพลางถูมือไปมา หาความอบอุ่นให้กับตัวเอง
ในการเดินขบวนคราวนี้ ผมไม่ได้เดินนำหน้าอยู่หัวแถว แต่คนที่เดินนำขบวนในครั้งนี้จะเป็นผู้ชี้นำทางอย่างซงซึงกยูและนักธนูหญิง อิมฮันนา ส่วนผมและอันฮยอนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างแถวคอยคุ้มกันคลาสระยะไกลอยู่ไม่ห่าง
กรอบแกรบ กรอบแกรบ!
กรอบแกรบ กรอบแกรบ!
ทุกครั้งที่ผมเหยียบย่ำผืนดินที่แข็งเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ ก็มักจะได้ยินเสียงใบไม้อันมีน้ำแข็งเกาะแตกดังกรอบแกรบอยู่เนืองๆ
“ฟู่ว หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ในระหว่างที่เรากำลังเลาะเข้าไปในป่านั้น วิเวียนก็เข้ามากอดตัวผมไว้แน่น พลางบ่นกระปอดกระแปด ขนาดหล่อนใส่เสื้อคลุมเวทกันหนาวตั้งสองชั้นแล้วแท้ๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยป้องกันความหนาวเหน็บของป่าน้ำแข็งแห่งนี้ได้เลย
“นั่นน่ะสิ เมื่อวานก็หนาวมากเหมือนกัน ผมนอนแทบไม่ได้เลยล่ะ ได้แต่นั่งผิงไฟให้ตัวอุ่นๆ”
“อือๆ ใช่ไหมล่ะ”
ผมค่อยๆ เป่าลมใส่เรียวมือขาวๆ ให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่าย ก่อนที่จะตอบเห็นด้วยกับเรื่องที่วิเวียนบ่นไปครู่ก่อน แล้วจึงหันไปมองชินแจรยงที่เดินตามอยู่ข้างๆ พลางพูดออกไปว่า
“คุณแจรยงใส่แบบนั้น ไม่หนาวแย่หรือครับ เหมือนเมื่อวานคุณก็ใส่แต่ชุดนักบวชอยู่ชุดเดียวเลยนี่นา”
ชินแจรยงเบิกตาโพลงขึ้นมากะทันหัน คงจะตกใจที่ตัวเองถูกพูดถึง เขาส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ แล้วตอบกลับมาว่า
“…หนาวสุดๆ เลยครับ”
“ถ้างั้นทำไมถึง…”
“เวลาผมเดินสำรวจ ผมต้องใส่แบบนี้อยู่แล้วน่ะครับ จะได้มีสมาธิขึ้นมาบ้าง ตอนสงครามก็ทำแบบนี้ แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้นเร้าใจเลย ผมก็แอบเสียใจลึกๆ อยู่เหมือนกัน ป่าน้ำแข็งแห่งนี้ชักจะไม่สมราคาคุยเสียแล้วสิ”
“ผมด้วย ถ้ามีสัตว์ประหลาดออกมาบ้าง อย่างน้อยก็คงได้เคลื่อนไหวร่างกายเสียหน่อย ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำแข็งเกาะตามตัว ลามไปถึงข้อต่ออย่างไรไม่รู้สิครับ”
อันฮยอนเริ่มบ่นตามมาติดๆ กัน ก็จริงอย่างที่เขาว่า นานทีปีหนกว่าจะได้ออกเดินทางสำรวจแบบนี้ ฟังแล้วเขาคงจะคาดหวังที่จะได้เจอกับเรื่องน่าตื่นเต้นไม่ใช่น้อย แต่แล้วการเดินสำรวจในครั้งนี้กลับธรรมดา ไม่ได้ตื่นเต้น และราบรื่นมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก เห็นทีว่าเขาคงจะเริ่มเบื่อเต็มทนแล้วล่ะ
“พระอาทิตย์ลอยโด่เด่อยู่แบบนั้นแท้ๆ… แต่ที่นี่ก็ไม่ละลายลงไปเลยแฮะ”
วินาทีนั้น อันฮยอนก็ทำหน้าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบวิ่งมาหาผม
“ว่าแต่พี่ครับ จู่ๆ ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาน่ะ ทำไมที่นี่ถึงชื่อป่าน้ำแข็งล่ะครับ แล้วทำไมน้ำแข็งมันไม่เห็นละลายเลยสักนิดล่ะ”
“…ฉันเองก็ไม่ได้รู้ไปเสียทุกเรื่องหรอกนะ”
“อ้าว…ก็พี่ชอบหมกตัวอยู่แต่ห้องสมุดก่อนออกเดินทางสำรวจทุกครั้งนี่นา ผมก็เลยนึกว่าพี่รู้เสียอีก…”
“คราวนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาไปหาข้อมูลสักเท่าไหร่น่ะ”
ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็พอรู้ในสิ่งที่อันฮยอนต้องการจะทราบอยู่แล้วล่ะ เมื่อครั้งที่ผมได้ไปสถาบันวิจัยและเมืองเวทมนตร์มาเจีย ผมเคยอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟังอยู่หลายเรื่อง สงสัยคราวนี้เขาคงจะเริ่มอยากรู้อยากเห็นอะไรขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ
ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มเบื่อๆ กันแล้ว ผมจึงรู้สึกได้ถึงสายตาของสมาชิกเผ่าทุกคนที่มุ่งหวังจะให้ผมเล่าเรื่องราว แม้แต่อิมฮันนาที่เดินอยู่หน้าสุด ก็ยังแอบหันมาส่งยิ้มให้ด้วย
เรื่องเล่าพวกนั้น ไอ้เราก็จำได้ไม่ค่อยละเอียดด้วยสิ…โอ๊ย
ผมลูบลำคอตัวเองป้อยๆ ก่อนที่จะใช้สายตาจดจ้องไปที่แผ่นหลังของซงซึงกยู แล้วจึงค่อยๆ ปริปากพูดออกมาว่า
“ฉันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเท่าไหร่หรอก ว่าแต่…เมื่อวานเห็นวิญญาณร้ายแล้วใช่ไหม”
“ครับ? เห็นครับผม”
“งั้นฟังนะ ปกติแล้วเวลาเราไปสุสาน หรือพวกบ้านผีสิง เราก็มักจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้เรียกชื่อมันก็คงจะเป็น… ใช่แล้วล่ะ การหนาวสะท้านยังไงล่ะ ถ้าจะให้ฉันนิยามคำว่าการหนาวสะท้านล่ะก็ มันไม่ได้หมายถึงน้ำแข็งที่เป็นน้ำแข็งธรรมดาทั่วไปที่อยู่ตามป่าหรอก แต่มันหมายถึงอาการชนิดหนึ่ง หรือจะมองว่าเป็นผลึกที่มีเหล่าวิญญาณร้ายรวมตัวกันอยู่ก็ได้”
“ผลึกเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นกลุ่มน้ำแข็งพวกนี้ก็คือสิ่งที่พวกวิญญาณร้ายปลดปล่อยความหนาวสะท้านออกมาใช่ไหมครับ”
อันฮยอนเข้าใจคำพูดของผมได้ในทันที ผมจึงรีบพยักหน้าตอบรับไป
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ ป่าแห่งนี้ถึงได้มีแต่น้ำแข็งเกาะอยู่เต็มไปหมด สมกับที่ได้ชื่อว่าป่าน้ำแข็งยังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
อันฮยอนเตรียมถามกลับมาอีก ผมจึงพยักหน้าให้อีกครั้ง
“ก็ต้องเป็นหนึ่งในสองอยู่แล้วน่ะสิ ที่แห่งนี้คงจะมีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่จนทำให้เกิดความหนาวสะท้านปกคลุมไปทั่วทั้งป่า หรือไม่เช่นนั้น ก็คงมีวิญญาณร้ายอยู่ที่ป่าผืนนี้กันเยอะมาก เยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหวเลยก็ได้”
หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นทั้งสองเลยก็ได้ ผมไม่ได้พูดเช่นนั้นออกไปตรงๆ แต่กลับรีบพูดตัดบท แล้วจึงค่อยๆ ลอบสังเกตปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าสมาชิกเผ่าที่เป็นผู้หญิง โดยเฉพาะจองฮายอน ไหล่ของหล่อนกำลังสั่นไหวอยู่
ในตอนนั้นเอง
กรอบแกรบ กรอบแกรบ! ตึก!
เสียงดังขึ้นมาจากพื้น การเดินขบวนของพวกเราจึงหยุดลงทันที
ด้านซงซึงกยูที่ยืนอยู่หน้าสุดก็หยุดการเคลื่อนไหวไปอย่างกะทันหันเช่นเดียวกัน
แล้วซงซึงกยูก็พูดออกมา โดยที่ไม่หันมามองข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
“ถึงแล้วครับ”
ซงซึงกยูพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ ชี้นิ้วไปยังสถานที่ที่อยู่ตรงหน้า ผมเห็นว่ายังเหลือระยะทางอีกเล็กน้อยกว่าที่จะไปถึงที่แห่งนั้น แต่แล้วก็ได้เห็นเจดีย์หนึ่งที่สูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่
“สถานที่แห่งนั้นคือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเราครับ”
“เห็นชัดเจนขึ้นแล้วล่ะครับ ใช่แน่ๆ”
“…จะทำยังไงต่อไปครับ พักสักหน่อยไหม หรือเข้าไปเลย?”
“เข้าไปเลยสิครับ”
ผมตอบกลับไปทันที เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นจึงรีบจัดท่าทางของตัวเองให้เรียบร้อย สีหน้าของพวกเขาดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด
อิมฮันนาปรายตามองซงซึงกยูรอให้อีกฝ่ายเริ่มเดินออกไปก่อน หลังจากนั้นพวกเราจึงได้เริ่มเดินขบวนกันอีกครั้ง
กรอบแกรบ กรอบแกรบ!
กรอบแกรบ, กรอบแกรบ!