บทที่ 719 ขึ้นครองราชย์

บัลลังก์พญาหงส์

ผ่านเดือนหนึ่งไป หลี่เย่ก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา 

 

 

 

 

 

คำนินทาและความสงบทั้งหลายที่ปิดภายนอกไว้ก็ปะทุขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ตอนที่เฉินฟู่และถาวจิ้งผิงเข้าวังหลวงมา ล้วนมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและจนปัญญา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันนั่งฟังคำรายงานของทั้งสองคนอย่างนิ่งสงบ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า พูดอย่างมีเมตตา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำสุดความสามารถแล้ว เรื่องนี้โทษพวกเจ้าไม่ได้ ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์” 

 

 

 

 

 

ตอนแรกนางคิดว่าหลี่เย่จะฟื้นขึ้นมาได้ก่อนวันที่สองเดือนสอง แม้แต่หมอหลวงก็คิดเช่นนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา 

 

 

 

 

 

และก่อนหน้านี้ที่นางให้คนปิดบังเรื่องหลี่เย่ค่อยๆ หายดีขึ้นก็แพร่งพรายออกไป ก็เพราะอยากเห็นว่าจะมีคนมักใหญ่ใฝ่สูงหรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คืออยากลองเชิงความจงรักภักดีของคนในราชสำนักเท่านั้น 

 

 

 

 

 

ตอนนี้ปะทุออกมาแล้ว นางเองก็ไม่แปลกใจ อย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก หลี่เย่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา คนอื่นจะสั่นคลอนก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เป็นการลองเชิง ตอนนี้เป็นเพียงผลลัพธ์แท้จริงที่จำต้องยอมรับเท่านั้นเอง 

 

 

 

 

 

ส่วนคำร้องที่บรรดาขุนนางใหญ่เสนอให้นางไปปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แม้นางเป็นสตรีวังหลังห้ามข้องเกี่ยวกับราชการ แต่ตอนนี้หลี่เย่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ซวนเอ๋อร์ก็ยังเด็กเกินกว่าจะรับมือกับภาระหนักได้ คนที่ตัดสินได้ก็เหมือนจะมีนางคนเดียวเท่านั้น ไม่หานางแล้วจะหาใคร? 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตอบตกลงด้วยสายตาไม่เห็นด้วยของเฉินฟู่และถาวจิ้งผิง 

 

 

 

 

 

เฉินฟู่ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายก็เอ่ยกล่อมว่า “ชายารัชทายาทคิดอีกหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เกรงว่าหลังจากนี้ต่อให้องค์รัชทายาทฟื้นขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องถูกคนเอามาพูดถึงให้สนุกปากเป็นแน่ แม้แต่ชื่อเสียงของท่านเองก็…” 

 

 

 

 

 

“ปากของคนอื่นก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไป ข้าขอแค่ข้าสบายใจเท่านั้นก็พอแล้ว อีกอย่างนี่ก็ไม่ได้ถือว่าเข้าไปยุ่งกับราชสำนัก คนหนึ่งเป็นสามีของข้า คนหนึ่งเป็นลูกชายของข้า ข้าจะไปฟังบ้าง แสดงความเห็นของข้าบ้างก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่” ถาวจวินหลันอมยิ้มพลางสะบัดมือไปมา “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังมีพวกเจ้าเป็นที่พึ่ง จะกลัวอะไรเล่า?” 

 

 

 

 

 

“ทางตระกูลหวัง…” ถาวจิ้งผิงพูดเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเอาม้วนกระดาษลับจากหยวนฉงหวาส่งให้ถาวจิ้งผิงและเฉินฟู่ พูดว่า “พรุ่งนี้ ข้าจะทำให้ตระกูลหวังล่มสลายอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่น่ากลัวอะไรอีก คนที่ออกมาพูดแทนตระกูลหวังก็จัดการทั้งหมด พวกเจ้าทำได้หรือไม่?” 

 

 

 

 

 

หลังจากเฉินฟู่กับถาวจิ้งผิงอ่านเนื้อหาในม้วนกระดาษลับนั่นแล้ว ก็เลิกคิ้วพลางหัวเราะออกมา พูดว่า “มีม้วนกระดาษลับนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจิ้งผิงท่าทางดีใจ “มีม้วนกระดาษนี้ พวกเราตระกูลถาวก็แก้แค้นได้แล้ว! ท่านพี่ ข้าไม่ต้องการชีวิตของคนทั้งตระกูลหวัง ขอแค่ชีวิตสายเลือดหลักของพวกเขาก็พอแล้ว อีกอย่าง พวกเขาสมควรต้องลิ้มรสความลำบากที่พวกเราเคยสัมผัสบ้างแล้ว” 

 

 

 

 

 

พอเผชิญหน้ากับท่าทีบิดเบี้ยวของถาวจิ้งผิง ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจออกมา เขานั้นก็เหมือนสัมผัสความแค้นมาด้วยตนเอง อีกทั้งนางเองก็คิดเช่นนี้ นางกับจิ้งผิงถือว่าความเห็นตรงกันโดยไม่ทันได้ปรึกษา 

 

 

 

 

 

อย่างไรแค้นที่บิดาถูกฆ่าตาย แค้นที่บ้านแตกสาแหรกขาก แล้วยังมีความทุกข์ทนลำบากที่ต้องประสบพบเจอ ไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้โดยง่าย ความเจ็บปวดเหล่านี้ทำได้แค่เอาเลือดมาแลกคืน เอาชีวิตมาแลกไปถึงจะเท่าเทียมกัน 

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์ออกว่าราชการ หากมีเพียงสตรีอย่างนางไปคนเดียวย่อมไม่เหมาะสม พาซวนเอ๋อร์ไปด้วยกลับดูสมเหตุสมผลกว่ามากนัก อีกทั้งเรื่องนี้เองก็เกี่ยวกับตัวซวนเอ๋อร์เองด้วย 

 

 

 

 

 

หากหลี่เย่ไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นไปได้สูงว่าซวนเอ๋อร์จะถูกดันขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตั้งใจสวมชุดพิธีของชายารัชทายาทสีเหลืองอ่อน เพื่อแสดงถึงความจริงจังของตนเอง แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ต้องสวมชุดจริงจังมากเช่นเดียวกัน 

 

 

 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ถาวจวินหลันต้องปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้ คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน 

 

 

 

 

 

พูดตามจริงแล้วต่อให้รู้สึกตื่นเต้น แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่กลับยืดหลังตรงจูงซวนเอ๋อร์เดินตรงไปข้างหน้า  

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์เองก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงเดินยืดอกเชิดหน้าเป็นพิเศษ ท่าทางหยิ่งทะนงองอาจ ไม่ได้ทำให้ความทรงอำนาจและรัศมีของเชื้อราชวงศ์ต้องเสียหายเลยแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันภูมิใจและพอใจมาก แอบตีมือของซวนเอ๋อร์เบาๆ พอเขาเงยหน้าขึ้นมามอง ก็ก้มลงไปส่งยิ้มให้กำลังเขา 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์ได้รับกำลังใจก็รู้สึกยินดีน้อย ในขณะเดียวกันก็วางท่ามากยิ่งขึ้น ท่าทีเช่นนี้ดูไม่เหมือนเด็กที่ยังไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์เดินตรงไปยังตำแหน่งสูงที่สุดตรงกลาง ก่อนอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นไปข้างบน ส่วนตนเองนั่งลงท่ามกลางสายตาไม่คิดเชื่อของขุนนางทุกคน 

 

 

 

 

 

มีคนเหมือนต้องการพูดอะไรออกมา แต่ก็ถูกคนข้างๆ ดึงชายเสื้อเอาไว้ หรืออาจจะรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเปิดประเด็นได้ อย่างไรสุดท้ายก็ต้องเงียบปากไปอย่างขลาดกลัว เลือกที่จะมองข้ามปัญหานี้ไป ตำแหน่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถาวจวินหลันสตรีนางหนึ่งสมควรนั่ง 

 

 

 

 

 

บางทีหากไม่ใช่ซวนเอ๋อร์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น บรรดาขุนนางก็คงจะเอ่ยปากแล้ว แต่ตอนนี้ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงกลาง ถาวจวินหลันเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ ดูไปแล้วก็เหมือนไม่ได้ขัดหูขัดตามิใช่หรือ? 

 

 

 

 

 

อย่างไรไม่สนว่าจะชัดเจนหรือไม่ สุดท้ายก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยปากก่อนว่า “ขุนนางทุกท่านเชิญข้ามา ไม่ทราบว่าอยากถามข้าเรื่องอะไรหรือ?” 

 

 

 

 

 

เห็นชัดว่านางตรงไปตรงมา ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย อีกทั้งในขณะเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน ไม่ให้พวกเขาจมดิ่งกับความคิดที่ว่านางนั่งตำแหน่งที่ไม่ควรนั่ง มาในสถานที่ที่ไม่ควรมา 

 

 

 

 

 

ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาก่อน ถาวจวินหลันเองก็ไม่รู้จัก เขาถามว่า “อาการขององค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันคิดอยู่ก่อนแล้วว่าบรรดาขุนนางต้องถามถึงเรื่องนี้ จึงตอบออกมาตรงๆ “องค์รัชทายาทยังสลบอยู่ ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร หมอหลวงเองก็จนปัญญา บอกว่าต้องดูลิขิตฟ้า” 

 

 

 

 

 

คำตอบนี้ทำให้ทั่วทั้งตำหนักใหญ่เงียบไปชั่วขณะ 

 

 

 

 

 

“ขอถามชายารัชทายาท องค์รัชทายาทจะฟื้นขึ้นมาก่อนงานพิธีแต่งตั้งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มีคนเอ่ยถามเช่นนี้อีก นี่ก็ใกล้เคียงกับเรื่องหลักที่จะต้องปรึกษากันในวันนี้แล้ว 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เรื่องนี้ใครจะกล้ารับประกัน? ใครก็ไม่กล้ารับประกันทั้งนั้น องค์รัชทายาทจะฟื้นขึ้นมาทันหรือไม่ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ แต่ข้าคิดว่าคงไม่ทันงานพิธีขึ้นครองราชย์แล้ว” 

 

 

 

 

 

พรุ่งนี้ก็จะงานพิธีแล้ว ความเป็นไปได้ที่หลี่เย่จะตื่นขึ้นมานั้นไม่ได้มากนัก ดังนั้นนางจึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ 

 

 

 

 

 

“ชายารัชทายาทคิดว่าควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” ขุนนางใหญ่คนนั้นโยนปัญหายากมาให้ถาวจวินหลัน ไม่ได้มีท่าทีอยากรับผิดชอบเองเลยแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มองขุนนางคนนั้นวูบหนึ่ง ไม่ตอบแต่กลับเอ่ยถามออกมาว่า “ข้าเป็นเพียงสตรีไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น และไม่รู้จะออกความคิดอะไร ไม่รู้ว่าใต้เท้าทุกท่านมีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่?” 

 

 

 

 

 

“หมอหลวงไม่มีวิธีสักนิดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” มีอีกคนถามขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยังคงส่ายหน้า “หากหมอหลวงมีวิธี ข้าจะไม่ให้หมอหลวงจัดการได้อย่างไร? เหตุใดต้องถ่วงเวลานานขนาดนี้? ไม่ปิดบังพวกเจ้า องค์รัชทายาทสลบไปนานขนาดนี้ ใจของข้าก็เหมือนอยู่บนเตาไฟ ทุกวันนี้เสียใจมากเพียงใด ข้าก็อยากเห็นหมอหลวงมีวิธีรักษา ต่อให้ต้องเฉือนเนื้อข้า ข้าก็ยินยอม แต่หมอหลวงไม่มีวิธี แล้วข้าจะไปทำอะไรได้?” 

 

 

 

 

 

‘คงไม่อาจสั่งฆ่าหมอหลวงกระมัง?’ ถาวจวินหลันไม่ได้พูดออกมา แต่กลับแสดงนัยชัดเจน 

 

 

 

 

 

บรรดาขุนนางเองก็ทำได้แค่ถอนหายใจจนปัญญา จากนั้นก็ไปถกเถียงปรึกษากันเสียงเบาอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

พอเห็นบรรดาขุนนางทำเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ร้อนใจหรือตื่นเต้น กลับคิดถึงตอนที่อยู่หน่วยซักล้าง เวลาว่างก็จับกลุ่มกันพูดคุยฆ่าเวลา นั่งฟังอยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้มากนัก 

 

 

 

 

 

พอคิดเช่นนี้นางก็รู้สึกขบขันขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ผ่านไปนาน บรรดาขุนนางถึงค่อยๆ สงบลง มีคนเอ่ยถามขึ้นมาก่อนว่า “พิธีขึ้นครองราชย์ได้เตรียมไว้แล้ว อีกทั้งแคว้นจะขาดกษัตริย์ไม่ได้ และไม่อาจล่าช้าได้อีก ชายารัชทายาทคิดว่าเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง” 

 

 

 

 

 

“องค์รัชทายาทเป็นเช่นนี้ พวกกระหม่อมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หากนึกถึงแคว้นเป็นเรื่องสำคัญ คงไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้” คนคนนั้นพูดต่อไปอย่างระมัดระวัง อากาศหนาวขนาดนี้แต่หน้าผากของเขากลับมีเหงื่อผุดออกมา 

 

 

 

 

 

ริมฝีปากของถาวจวินหลันกระตุกแค่นยิ้ม แต่นางนั่งอยู่สูง อีกทั้งมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าบงจ้องเขม็งมองสตรีเช่นนาง ดังนั้นจึงไม่มีคนมองเห็นรอยยิ้มเย็นนั้น 

 

 

 

 

 

แม้นถาวจวินหลันแค่นยิ้ม แต่เสียงก็ยังถือว่าสงบนิ่ง “ควรจะต้องถือแคว้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่วิธีที่จะถือแคว้นเป็นสิ่งสำคัญต้องทำอย่างไร? งานพิธีขึ้นครองราชย์ไม่อาจเลื่อนได้แล้ว ข้าคิดว่าคงทำได้เพียงให้ซวนเอ๋อร์กราบไหว้ฟ้าดินแทนที่บิดาของเขา และประกาศให้ใต้หล้าทราบก่อน เรื่องด่วนเกี่ยวกับอำนาจก็ทำได้เพียงเท่านี้ ความคิดของพวกเจ้าเล่า?” 

 

 

 

 

 

“นี่…” พริบตาเดียว ขุนนางทุกคนก็หันหน้ามองกัน แต่ไม่มีใครพูดเห็นด้วย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันนั่งอยู่บนที่สูง ย่อมต้องเห็นความลังเลในสีหน้าของคนเหล่านี้ทุกอย่าง ส่วนคนเหล่านี้ลังเลอะไร แน่นอนว่านางก็รู้อย่างดี 

 

 

 

 

 

พูดง่ายๆ พวกเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

ผ่านไปนานก็มีคนพูดอีกว่า “เช่นนั้นงานราชสำนักใครจะจัดการพ่ะย่ะค่ะ? องค์รัชทายาทเป็นเช่นนั้น แม้จะขึ้นครองราชย์แต่ก็ไม่อาจจัดการราชสำนักได้” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเขม็งมองคนนั้นอยู่นาน แล้วถึงพูดเรียบๆ ว่า “ในอดีตก็เคยมีให้เห็นไม่น้อย ถึงซวนเอ๋อร์อายุน้อยจัดการงานราชสำนักไม่ได้ แต่ขุนนางทุกท่านหรือจะเป็นคนอายุน้อยไร้ความรู้ไปด้วย? หากเรื่องเหล่านี้ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นก็ถอดชุดขุนนางของพวกเจ้าออกมาได้เลย!” 

 

 

 

 

 

“แล้วนั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร?” มีคนทนการวางอำนาจเช่นนี้ของถาวจวินหลันไม่ไหว ถึงได้เอ่ยแย้งหน้าดำหน้าแดง “เรื่องใหญ่หน่อยพวกเราจะกล้าตัดสินใจเองได้อย่างไร? อีกอย่างผู้นำอายุน้อยก็มีขุนนางคอยช่วยเหลือ ตอนนี้รัชสมัยของพวกเราไม่มีขุนนางใหญ่คอยช่วยเหลือ” 

 

 

 

 

 

“พูดเช่นนี้หมายความว่าพวกเจ้าไม่สนับสนุนให้ซวนเอ๋อร์เป็นตัวแทนองค์รัชทายาท ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินขึ้นครองราชย์แทนก่อน แล้วค่อยเป็นตัวแทนจัดการราชการอย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันขี้เกียจพูดเปลืองน้ำลาย จึงพูกออกมาตรงประเด็น