อยู่ไกลขนาดนั้น จางจื่ออันไม่กังวลว่าเสียงตะโกนของตัวเองจะถูกคนอื่นได้ยิน และเสียงคลื่นทะเลก็พอจะกลบเสียงของเขาได้
เซฮวารอจนทนไม่ไหวแล้ว จึงว่ายน้ำไปทางอ่าวนั้นกับฝูงวาฬ
อ่าวเล็กรูปร่างเหมือนกีบม้า ทางเหนือและใต้มีแหลมยื่นออกมาในทะเลสองแหลม แหลมทางฝั่งทิศใต้ก็คือแหลมที่จางจื่ออันอยู่ ส่วนประภาคารตั้งอยู่บนแหลมทางทิศเหนือ
นอกจากอ่าวพื้นที่ค่อนข้างเล็กซึ่งเป็นข้อเสียแล้ว ก็นับเป็นอ่าวใต้ลมโดยธรรมชาติ
จางจื่ออันเปลี่ยนไปใช้กล้องส่องวัตถุในเวลากลางคืน ทุกอย่างเป็นสีเขียวพร่างพราว เขามองเห็นพวกเซฮวากำลังว่ายเข้าไปใกล้ทางเข้าอ่าวตามแผน จากนั้น…เธอก็เริ่มร้องเพลง
ถูกต้อง เธอกำลังร้องเพลง
เสียงของเซฮวาเดินทางได้ไกลกว่ามนุษย์มาก กระทั่งส่งคลื่นเสียงอัตราโซนิคและคลื่นเสียงอินฟราโซนิคที่คนไม่ได้ยินออกมาได้ด้วย จางจื่ออันเคยขอคำแนะนำที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง แต่เธอเกือบจะทำกระจกร้านค้าทั้งถนนสั่นแตก
แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ใช้คลื่นเสียงอัตราโซนิคและคลื่นเสียงอินฟราโซนิค แต่เสียงแหลมสูงแทงเข้าไปในแก้วหูเหมือนเข็มแท่งหนึ่ง แหลมเล็กเหมือนเอาเล็บข่วนกระจก เสียงกรีดร้องแหลมเล็กเหมือนนางเอกภาพยนตร์สยองขวัญ…มีแรงทะลุทะลวงอย่างยิ่ง ตัวต้นคิดแผนการร้ายอย่างจางจื่ออันฟังแล้วก็ขนแขนลุกซู่
เซฮวาใช้เสียงแหลมเล็กและภาษาที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่องค่อยๆ ร้องบทเพลงท่วงทำนองธรรมชาติที่ไม่รู้ความหมาย
บทเพลงถูกลมทะเลพัดไปยังแผ่นดิน ลอยไปเหนือทุ่งนาและบ้านไม้
ถ้าเป็นหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ในยุคปัจจุบันสักแห่ง คนส่วนใหญ่ที่กำลังทำงานบ้าน ไถโทรศัพท์มือถือ ดูละครน้ำเน่า เปลี่ยนผ้าอ้อม โกยอึ และเล่นจ้ำจี้กัน อาจจะมีไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงเพลงข้างนอก ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนแอโรบิกในสวนที่เปิดลำโพงเบสหนัก…แต่สำหรับหมู่บ้านโบราณที่เหมือนอยู่ในยุคกลางแห่งนี้ ทุกคนกำลังหลับตาอธิษฐานอย่างสงบ เสียงเพลงแหลมเล็กเข้าไปในหูของทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
เสียงนี้…เหมือนเสียงผีสาวร้องไห้
ไม่รู้ว่าเซฮวาไปเรียนมาจากไหน อาจจะเรียนมาจากแอพพลิเคชันไลฟ์สดละมั้ง ถึงอย่างไรในนั้นก็มีไลฟ์สดทุกประเภท คงมีคนไลฟ์ดูภาพยนตร์สยองขวัญของจีนด้วย แต่แบบนี้ตัวเองไม่กลัวเหรอ?
พอจางจื่ออันให้เซฮวาร้องเพลง เธอก็เสนอว่าจะร้องเลียนแบบผีสาวราวกับคนโง่อวดฉลาด จากนั้นก็ตกลงร่วมมือกัน
แต่เขาหมอบตั้งใจฟังอยู่บนแหลม เสียงเพลงคงดูเป็นความเศร้าสร้อยของผีสาวสำหรับเธอ แต่ความรู้สึกของเขาจริงๆ เหมือนกับ…เสียงที่ใช้เครื่องดัดแปลงใต้น้ำบันทึกมาจากใต้ทะเลมากกว่า ยาวเหยียดและไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับคนคนหนึ่งหลับตาตกลงสู่เหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหว ในความมืดมิดที่มองไม่เห็น ในน้ำทะเลหนาวเย็นทะลุไปถึงกระดูก มีเงาตัวใหญ่และน่าเกลียดจ้องมองคุณนับไม่ถ้วน…ที่จริงนี่น่ากลัวว่าผีสาวร้องไห้ในตอนกลางคืนเสียอีก ความจริงแล้วเป็นการร้องเพลงหมู่ของสัตว์ในทะเลลึก
จางจื่ออันใช้แค่เครื่องดัดแปลงเสียงใต้น้ำบันทึกเสียงในทะเลใกล้ฝั่งไว้เล็กน้อย ตอนตั้งใจฟังดีๆ ก็รู้สึกขนหัวลุก ยากจะจินตนาการได้ว่าเสียงในทะเลลึกน่ากลัวแค่ไหน
ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมหรือผู้คนที่กำลังอธิษฐาน ต่างก็ได้ยินเสียงเพลงของเธออย่างเห็นได้ชัด ทีแรกพวกเขายังพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปสนใจ แต่เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ จู่โจมจิตใจของพวกเขาเรื่อยๆ
ในที่สุดพวกเขาก็หวาดกลัวจนต้องหยุดอธิษฐาน หันหน้าไปมองความมืดนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หวังว่าจะมีคนก้าวออกมาปลอบใจพวกเขา ยังมีบางคนอธิษฐานต่อหน้ารูปวาดของหลี่ผีเท่ออย่างสุดชีวิต แต่ไม่ได้รับการตอบรับและการสนับสนุนตามที่พวกเขาคาดหวัง
พวกผู้คุมได้ยินเสียงเพลงชวนขนลุกก็พากันกลัวไปไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นสมุนที่หลี่ผีเท่อหามา มีกระทั่งนักโทษที่ลักลอบหลบหนีมานาน พวกนี้จะกล้ากว่าคนธรรมดาเล็กน้อย
มีหัวหน้าผู้คุมยกไฟฉายขึ้นมา ทั่วไปแล้วพวกเขาจะหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านแบบนี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ผิดปกติ พวกเขาจึงไม่สนอะไรมากแล้ว
พวกผู้คุมรู้ว่าเสียงเพลงลอยมาจากทางชายฝั่งทะเล มีคนไปรายงานเบื้องบน ส่วนคนที่เหลือเดินทางลัดไปยังชายทะเลด้วยคำสั่งของหัวโจกกลุ่ม ทุกคนควักปืนเทเซอร์ออกมาเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว
พวกเขาอยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง จึงคิดไปมีคนกำลังเล่นพิเรนทร์ แต่ในที่ห่างไกลแบบนี้ จะมีใครมาเล่นพิเรนทร์กันล่ะ
พวกผู้ชายหน้าตาดุร้ายร่างกายบึกบึนพวกนี้มาถึงชายฝั่งทะเลกันเป็นกลุ่ม ก่อนจะพุ่งไปยังท่าเรืออย่างรวดเร็ว แสงไฟฉายหลายสายสาดส่องไปทั่วชายหาด ด้วยหวังว่าจะหาเจ้าของเสียงเจอ
แสงไฟฉายมากมายสาดผ่านมายังแหลมที่จางจื่ออันอยู่บางครั้ง เขาจึงหมอบลงต่ำอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแค่ดวงตาที่อยู่ข้างหลังกล้องส่องวัตถุในที่มืดข้างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ถูกจับได้
แต่พวกเขาความรู้สึกไวมาก รู้ว่าเสียงเพลงไม่ได้มาจากชายหาด แต่เป็นที่ไกลกว่านั้น…ทะเล
แต่ก็มองอะไรบนผิวน้ำทะเลอันมืดมิดไม่เห็น ราวกับน้ำหมึกดำมิด มีเพียงคลื่นทะเลที่ซัดฟองสีขาวเทาไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงใช้แสงไฟฉายของพวกเขาส่องไปยังต้นเสียง แต่ก็ยังไกลไม่พอ ความมืดมิดกลืนกินแสงไฟฉายของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย
พูดขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มช่วยได้มากจริงๆ ถ้าท้องฟ้าสดใสด้วยแสงจันทร์และดวงดาว แผนการก็คงไม่ได้ราบรื่นขนาดนี้
ตอนนี้ได้ยินเสียงเพลงบนชายหาดชัดเจนขึ้นกว่าเดิมแล้ว
พวกผู้คุมมองหน้ากัน ฝ่ามือที่ถือไฟฉายเอาไว้มีเหงื่อเย็นๆ เกลี้ยงเกลาผุดออกมาแล้ว
พวกเขามีสีผิวแตกต่างกัน มาจากคนละประเทศ แม้อยู่ที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษกันหมด แต่เวลาโกรธก็ชินกับการใช้ภาษาแม่ด่าคน พวกเขาที่อยู่ในประเทศสหประชาชาติเล็กๆ เหมือนกัน กลับไม่มีใครฟังออกว่าเพลงนี้ร้องด้วยภาษาอะไร
พวกเขารู้สึกได้ว่าเสียงเพลงแฝงบางอย่างเอาไว้ คล้ายกับความน่ากลัวของทะเลลึกและคลื่นมืดมิด พาให้พวกเขาเสียวสันหลังวาบ
ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ขี้กลัวคนไหนพูดขึ้นด้วยเสียงสั่น “คง…คงไม่ใช่ผู้หญิงที่จมน้ำตายวันนี้ใช่ไหม”
ไร้สาระ! คนจมน้ำตายแล้วจะ…”
หัวโจกยังไม่ทันด่าเสร็จก็สำลักทันที
พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า
ในเมื่อเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเชื่อว่าบนโลกนี้มีคนสูงส่งอยู่ในความมืด พวกเข้าเชื่อว่าในร่างกายมนุษย์ นอกจากเลือด เนื้อ กระดูก และหนังแล้ว ยังมีจิตวิญญาณอยู่ด้วย
พวกเขาเห็นหลี่ผีเท่อและคนอื่นๆ เป็นเทพ อย่างน้อยก็เป็นทูตของเทพ ในเมื่อมีเทพ ย่อมมีด้านตรงข้ามกับเทพ นั่นก็คือวิญญาณ หรือผี
ตอนที่พวกหลี่ผีเท่อเผยแพร่ศาสนาให้พวกเขา ก็หัวเราะเยาะเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันว่าเหมือนการยั่วยวนของผี แล้วกล่าวหาคนที่ไม่ยอมเข้าร่วมศาสนาว่าถูกปิศาจสิงร่าง ไม่ต่างกับเรื่องจริงที่ว่ามีผีอยู่
แม้แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจ ข้างใต้อ่าวทะเลเล็กๆ แห่งนี้ ความจริงแล้วมีวิญญาณได้รับความไม่เป็นธรรมวนเวียนอยู่เท่าไร
ปกติพวกเขาไม่สนใจ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ในค่ำคืนมืดมิดที่ไม่เห็นแม้แต่นิ้วทั้งห้า หรือว่าวิญญาณอาฆาตพวกนั้นกำลังรวมตัวกันร้องขอชีวิตคืน?