มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 614
สวีเฟิงถือกระบี่ฟ้าเอาไว้ด้วยสีหน้าหมองหม่น ในฐานะที่เขาเป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เคยถูกใครดูถูกแบบนี้

“ข้ายังมีอีกแต่มีพลังมากเกินไป หากข้านำออกมาใช้ เจ้าอาจจะถึงแก่ความตายได้ เจ้ากล้ารับมือหรือไม่” สวีเฟิงกล่าวเสียงแข็งกระด้าง

ระหว่างที่พูด เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะฟังหลัวซิวตอบเพราะเขาได้ดึงกระบี่ฟ้าออกมาแล้ว มือทั้งสองวาดเศษเงาและบีบตราประทับ

เวทีประลองยุทธ์สั่นสะเทือน พลังฟ้าดินระเบิดพวยพุ่งออกมาแล้วเข้ามาหลอมรวมอยู่ที่กระบี่ฟ้า

“รวมพลังฟ้าดิน!”

สวีเฟิงแผดเสียงลั่น กระบี่ฟ้าระเบิดประกายแสงสว่างโชติช่วง ราวเสาที่เปล่งแสงสว่าง แล้วเคลื่อนที่เข้าไปโจมตีหลัวซิวทันที

พลังอันน่าหวาดหวั่นของการโจมตีนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้น 9ขนลุกขนพองได้

“ทำได้ดี!”

หลัวซิวเงยหน้าผิวปากแล้วเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อโคจรวิชาสังหารไท่เสวียนแล้วโบกฝ่ามือออกไปอย่างไร้เทคนิค

ตู้ม!

ฝ่ามือของหลัวซิวราวกับโคมไฟที่แตกกระจาย ทะลุผ่านเสาไฟที่เปล่งประกายอยู่กลิ้งไปกับพื้น

ลำแสงสีเขียวค่อยๆ มืดหม่นลงเรื่อยๆ ส่วนเปลวไฟสีดำที่ห้อมล้อมร่างของเขาเอาไว้กลับยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น

จากนั้นจึงเกิดเสียงดังแก๊ง กระบี่ฟ้าพุ่งทะยานพลางส่งเสียงสะอื้น สวีเฟิงได้รับบาดเจ็บที่หัวใจจนโลหิตไหลทะลักก่อนจะกระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้ง หลังจากที่เขาทรุดลงกับพื้นแล้วเขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเอาไว้บนพื้น พลางหายใจถี่ เลือดทะลักออกมาจากริมฝีปากของเขา

“พลังโจมตีน่ากลัวนัก!”

ในขณะที่ร่างของเขากระเด็นออกมานั้น สวีเฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองคล้ายจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ การโจมตีที่น่าหวาดผวาเช่นนี้ ไม่แปลกที่กระบี่ฟ้าจะร้องสะอื้น

เมื่อเหตุการณ์บนเวทีประลองยุทธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มาชมศึกต่างตกอยู่ภายในความเงียบสงัด

“เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มที่สาม เหตุใดเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งถึงกลายเป็นผู้ท้าชิงและเข้าไปอยู่สิบอันดับแรกได้”

“พลังการต่อสู้ของหลัวซิวน่ากลัวนัก แต่พลังการต่อสู้แข็งแกร่งไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์จะดีไปด้วย”

เมื่อเห็นว่ากลุ่มที่สามได้หลัวซิวเป็นผู้ท้าชิง คนอื่นๆ ที่เหลืออีกเก้าคนที่แพ้รวด อัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนต่างพากันไม่พอใจ

คนพวกนี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นตั้งแต่อยู่ที่แดนพรสวรรค์แล้ว ละดูถูกนักยุทธ์ทั่วๆ ไปที่ไร้สังกัด

แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แต่กลับพ่ายแพ้ แต่คนที่มีพื้นเพธรรมดาคนหนึ่งกับเข้าไปอยู่ในสิบอันดับ เรื่องนี้ทำให้ไฟในใจของพวกเขาลุกโชนอย่างไร้การควบคุม

เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งคือการฝึกฝนของแดนศักดิ์สิทธิ์มีเวลาจำกัด และเวลาสั้นยาวในการฝึกฝนนั้นขึ้นอยู่กับการจัดลำดับในการประลองของนักยุทธ์ด้วย คนที่เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ย่อมได้รับเวลาในการฝึกฝนที่มาก ส่วนพวกเขาที่เป็นฝ่ายแพ้จะต้องไปแย่งโควต้าที่้เหลือสิบที่สุดท้าย

เมื่อทางกลุ่มสามรู้ผลแพ้ชนะแล้ว กลุ่มที่เหลืออีกเก้ากลุ่มก็เริ่มทยอยรู้ผลแพ้ชนะออกมาบ้างเช่นกัน

“ภายในกลุ่มของพวกเรา ไม่มีใครได้เจอผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์” แววตาของหลัวซิวกวาดไปมองเวทีประลองกลุ่มอื่นๆ

แดนใหญ่ทั้งสี่ต่างมีแดนที่เทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของตนเอง อาณาจักรใต้มีแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ อาณาจักรเหนือมีสำนักดำเหลือง อาณาจักรตะวันออกมีตำหนักดารานภาและทางอาณาจักรตะวันตกมีนิกายมารศักดิ์สิทธิ์

ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือว่าแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ลูกศิษย์อัจฉริยะที่ถูกส่งตัวมามีจำนวน 2 – 3 คน นอกจากนี้แล้วยังมีอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ที่เจ้ายุทธจักรนั่งบัลลังก์ด้วย

หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบแรกมาแล้ว คนที่เหลืออีกร้อยคนล้วนเป็นคนวัยรุ่นตระกูลสูงที่มีความสามารถ คนทั้งสิบที่มีความสามารถโดดเด่นเหล่านี้มีพลังแข็งแกร่งจนสามารถเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในสมัยนี้ได้

หากเปรียบเทียบแต่ละกลุ่มกันแล้ว กลุ่มที่สามที่หลัวซิวอยู่นับว่าเป็นกลุ่มที่โชคดีที่สุด เพราะไม่มีผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เลยสักคน