แล้วมาพูดเรื่องน่าอายอะไรตอนกลางวันแสกๆ เนี่ย พระพักตร์อันหล่อเหลาจึงกลายเป็นสีแดงไปจนถึงกกหู ในระหว่างนั้นบางสิ่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็คิดถึงความร้อนแรงของเมื่อคืนและเตรียมตัวจะผงาดขึ้น ดังนั้นมันจึงเป็นสถานการณ์ที่ยากที่จะทนทีเดียว 

 

 

“ถะ ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะทำอย่างไรเล่า!” 

 

 

“อาจจะทรงไม่ทราบ แต่นางในของวังจานยองได้ยินหมดแล้วเพคะ” 

 

 

ไม่ว่าจะโมโหและสั่งให้ออกไปอย่างไร บรรดาซังกุงต่างก็หมอบกราบลงที่พื้นและตะโกนว่าไม่ได้เพคะอยู่ดี อย่างไรก็ตามถึงแม้จะบอกว่าสามารถทำกิจกรรมของคู่รักได้หลังจากตั้งครรภ์ได้ประมาณสามสี่เดือน แต่ฮอนที่หน้าไม่อายและรู้แม้กระทั่งกลอุบายนั่นก็ไม่ยอมแพ้ ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สนใจคำบอกกล่าวที่บอกว่าห้ามเพศสัมพันธ์ และโต้แย้งกลับไปเมื่อเห็นว่ารยูฮาดูอารมณ์ดีขึ้น 

 

 

นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้พวกซังกุงถึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างแปลกๆ อะแฮ่มๆ ฮอมกระแอมไอและลุกขึ้นจากที่โดยไม่มีสาเหตุ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง 

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” 

 

 

ทหารนายหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารหลุดลุ่ยวิ่งมายังสวนด้านหลังพร้อมกับร้องตะโกนเหมือนจะเป็นลม ใบหน้าที่ดูไม่ได้ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นกำลังบอกว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น แม้ว่าเขาจะเปิดปากพูดก่อนที่พระราชาจะตรัสถาม แต่ก็ไม่มีใครคิดจะลงโทษเขา 

 

 

“ทหารของฝ่ายศัตรูบุกรุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ! จากทะเลฝั่งตะวันออก!” 

 

 

คำบอกเล่าของทหารทำให้พระราชวังที่เคยเงียบสงบเกิดความโกลาหลขึ้น เหล่าเสนาบดีที่มารวมตัวกันที่พระที่นั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่างลนลานและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ผู้ที่ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ก็มีเพียงแค่ท่านมหาเสนาบดีและพวกเสนาบดีที่มาจากการเป็นทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ฮอนที่นั่งบนราชบัลลังก์ด้วยความเร่งรีบว่ากล่าวพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล 

 

 

“พวกเจ้าเคยบอกว่าอย่างไรนะ! ถึงแม้ว่าประเทศเล็กๆ จะมีปืนใหญ่ก็ไร้ประโยชน์อย่างนั้นรึ? นี่แหละคือผลลัพธ์!” 

 

 

ทหารสัมพันธมิตรพร้อมปืนใหญ่บุกเข้ามาทางทะเลฝั่งตะวันออกและเริ่มปะทะกันกับทหารที่ประจำการอยู่บริเวณนั้น และคงจะเล็งไว้แล้วว่าฮเยกุกซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรมีดินแดนติดต่อกันที่ฝั่งตรงข้าม ความเดือดดาลของพระราชาทำให้เหล่าเสนาบดีพูดไม่ออกและเอาแต่หัวหดลงไปเหมือนเต่า ท่านมหาเสนาบดีที่ดูไม่ต่างจากปกติจึงก้าวออกมาข้างหน้าแล้วโค้งคำนับ 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อม มหาเสนาบดีซอดู หากฝ่าบาททรงส่งกระหม่อมออกไปสู้รบ กระหม่อมจะอุทิศตนเพื่อจำกัดเหล่าศัตรูแล้วกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ดวงตาของนักรบซึ่งเป็นประกายแวววาวอยู่ระหว่างริ้วรอยแสดงตัวขึ้นมา 

 

 

“ไม่ได้ ตอนนี้ท่านก็อายุมากแล้วไม่ใช่หรือ” 

 

 

“นั่นคือเหตุผลที่กระหม่อมต้องไปพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมสิ้นชีพในสงครามครั้งนี้ มันจะเป็นความจงรักภักดีสุดท้าย รวมถึงความไม่จงรักภักดี แต่หากกระหม่อมรอดชีวิตกลับมาได้ กระหม่อมจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าแทซากุกรักษาความสงบสุขมาได้ช้านาน ดังนั้นแม้ว่าทหารหนุ่มจะมีจิตใจที่หาญกล้า แต่พวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในการสู้รบจริงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ท่านมหาเสนาบดี!” 

 

 

“โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกสู้รบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ การพัฒนาปืนใหญ่ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ด้วยสิ่งนั้นแล้วกระหม่อมแน่ใจว่าจะต้องส่งข่าวแห่งชัยชนะได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ปืนใหญ่อย่างนั้นหรือ เหล่าเสนาบดีที่เรียงแถวก้มหน้าอยู่จึงเริ่มส่งเสียงโวยวายกันโดยพร้อมเพรียงกัน ฮอนซึ่งกำลังมองเขาอยู่จึงไม่มีทางสบายใจได้แน่ แต่ก็ไม่แปลกใจที่พวกที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีซึ่งมีอายุมากแล้วก้าวออกมาข้างหน้าจะเป็นพวกน่ารังเกียจที่เอาแต่พูดจ้อ 

 

 

“เงียบ เงียบซะ!” 

 

 

ฮอนตะโกนเสียงดังขึ้นมาจนทำให้ภายในนั้นเงียบสนิท แต่ท่านมหาเสนาบดีก็ยังคงยืนนิ่งไม่สั่นคลอนประหนึ่งภูเขา เขารู้ดีกว่าใครว่าพ่อตาเป็นคนที่ถึงห้ามปรามอย่างไรก็พาทหารลงไปอยู่ดี ต่อมาฮอนจึงออกคำสั่งด้วยเสียงที่แหบพร่าราวกับกลืนแท่งโลหะลงไป 

 

 

“ข้าขอแต่งตั้งให้ซอดูเป็นแม่ทัพใหญ่และมอบอำนาจในการตัดสินใจสุดท้ายของกองกำลังทหารให้แก่เขา นับตั้งแต่นี้ไปแม่ทัพใหญ่สามารถละเว้นพระราชกฤษฎีกาของข้าและเคลื่อนไหวกำลังพลได้ รวมถึงสามารถสรรหากำลังพลที่ขาดแคลนได้ด้วย แม้กระทั่งตระกูลขุนนางก็ไม่มีการยกเว้นใดๆ ท่านจงไปนำชัยชนะกลับมาให้ได้” 

 

 

สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีทำเป็นอย่างแรกสุดจากอำนาจทางทหารที่ได้รับนั่นคือการเลือกชายหนุ่มที่เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะการต่อสู้จากตระกูลสูงศักดิ์ เหตุผลก็คือพวกเขาได้เสวยสุขกับผลประโยชน์ที่มาจากภาษีซึ่งราษฎรเป็นคนจ่ายมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นจึงควรเป็นความรับผิดชอบของชนชั้นปกครองในช่วงเวลาที่มีเหตุอันตรายต่อประเทศชาติ เนื่องจากมีบุตรชายทั้งสามของท่านมหาเสนาบดีเป็นหัวเรือ ดังนั้นไม่ว่าจะสูงส่งสักแค่ไหนก็ไม่มีทางแอบซ่อนลูกชายไว้ได้ 

 

 

 

 

 

“ไปดีมาดีนะเจ้าคะ ใต้เท้า” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองยังคงเด็ดเดี่ยวแม้จะต้องส่งสามีรวมถึงลูกชายทั้งสามไปยังสนามรบ แม้กระทั่งในตอนที่ลงน้ำมันบนเสื้อเกราะและเก็บของกับมินอาทั้งคืนก็เช่นกัน เนื่องจากนางเองก็เป็นนักรบคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นข้าหลวงซึ่งจงรกภักดีของกษัตริย์พระองค์ก่อนอีกด้วย 

 

 

ดังนั้นท่านมหาเสนาบดีจึงทำเป็นไม่เห็นนัยน์ตาอันสั่นเครือของภรรยา ในขณะที่ลูบใบหน้าของนางเป็นการส่งท้ายหลังจากที่นางสวมเสื้อเกราะให้เขาที่กำลังจะออกไปรบในตอนเช้า แต่ต้องขอบคุณเสียงที่เรียกหาท่านมหาเสนาบดีจากข้างนอกซึ่งมาได้พอดิบพอดี เรื่องที่ควรจะยากจึงง่ายขึ้นเล็กน้อย 

 

 

“ท่านพ่อ มินอาเองเจ้าค่ะ” 

 

 

“เข้ามาสิ” 

 

 

หลังจากเข้ามาข้างใน สิ่งที่มินอายื่นให้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งคือดาบ ดาบสีนิลซึ่งเคยเป็นของนายหญิงตระกูลจองในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะถูกส่งต่อให้แก่รยูฮา 

 

 

“เป็นดาบที่พระมเหสีทรงมอบให้เจ้าค่ะ และทรงบอกว่าจะไม่มาบอกลาแต่หากท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในตอนนั้นจะมาคำนับเจ้าค่ะ ทรงฝากมาบอกท่านพี่ทั้งสามแบบเดียวกันด้วยเจ้าค่ะ 

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา” 

 

 

สิ่งที่มินอารักท่านมหาเสนาบดีจากใจจริงไม่ใช่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ที่นอนอันแสนอบอุ่นหรืออาหารดีๆ ที่เขามักจะมอบให้เด็กผู้หญิงซึ่งกำพร้าพ่อแม่คนนี้เสมอ แต่เพราะเขาคือท่านอาจารย์ซึ่งเอาขวานไปผ่าฟืนแทนให้ ในตอนที่นางยิงลูกธนูสามร้อยดอกไม่เข้าเป้าทั้งหมดจึงต้องถือขวานหนักๆ ไปผ่าฟืน และยังส่งหินที่อบกับเตาไฟให้ในยามที่นางฝึกฝนในช่วงกลางฤดูหนาวให้ด้วย เขาผู้ซึ่งมอบความรักราวกับเป็นพ่อบังเกิดเกล้าคือพ่อเพียงคนเดียวของมินอา 

 

 

“ขอให้กลับมาบ้านอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” 

 

 

มินอาเข้าไปกอดพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิตเพราะกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงพูดกระซิบด้วยความจริงใจ ท่านมหาเสนาบดีตบหลังนางเบาๆ ประมาณสองครั้งแทนคำตอบ ก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามรบด้วยกันกับลูกชายซึ่งเปรียบเสมือนลมหายใจของเขา 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

มันคือรุ่งอรุณซึ่งมีไฟจุดให้สัญญาณว่าเหล่าทหารเรือที่ไม่มีอาวุธรูปแบบใหม่ได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการสู้รบครั้งแรกที่เปิดฉากกันกลางทะเล 

 

 

“พวกเจ้าทั้งสามคนจงพาทหารลงไปซะ ข้าจะไปคัดเลือกพลทหารก่อน” 

 

 

“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่!” 

 

 

ทันทีที่ออกจากเมืองหลวง ซอดูก็คัดเลือกพลทหารห้าสิบนายก่อนจะควบม้าไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ยิ่งเคลื่อนกองกำลังทหารจำนวนมากเท่าไหร่ก็ย่อมต้องใช้เวลานานมากเท่านั้น หลังจากขี่ม้าและพักกินอาหารแบบง่ายๆ อย่างเช่น เนื้อตากแห้งกับข้าวปั้นมาติดต่อกันห้าวัน ในที่สุดแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกก็อยู่ตรงหน้าแล้ว จากตรงนั้นจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันและเข้าไปทางด้านหลังภูเขา เพราะปืนใหญ่ที่ช่างซึ่งมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดของแทซากุกและเหล่าทหารที่คัดแยกมาช่วยกันขนย้ายและประกอบขึ้นมาอย่างแข็งขันอยู่ที่นั่น 

 

 

“ได้ทั้งหมดกี่กระบอกรึ” 

 

 

“รวมกับอันที่เอามาจากประเทศตะวันตกแล้ว อันที่สามารถเคลื่อนย้ายได้มีทั้งหมดห้าสิบกระบอกขอรับ ท่านแม่ทัพ” 

 

 

ห้าสิบกระบอก จะว่าขาดก็ขาด แต่ถ้าหากใช้ได้เป็นอย่างดีมันจะแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากำลังพลหนึ่งกองทัพเสียอีก แต่ไม่มีเวลามานั่งกลุ้มใจแล้ว เขาจึงสั่งให้ขนปืนใหญ่กับอาวุธทั้งหมดและไปรวมพลกันที่แนวชายฝั่งทะเล ทหารเรือกำลังถูกต้อนไปเป็นเบี้ยล่างจนน่านับถือว่าสามารถอดทนจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร ส่วนเรือที่มีจำนวนน้อยกว่าที่เขารู้ก็กำลังเสี่ยงชีวิตในการต้านทานทหารสัมพันธมิตรซึ่งหลั่งไหลเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน 

 

 

และสองวันต่อมา ในท้ายที่สุดด่านแรกของแนวป้องกันทางทะเลก็ถูกเจาะทะลวง ทหารฝ่ายศัตรูจึงขึ้นฝั่งมาได้ 

 

 

 

 

 

* * *