ไม่รู้ว่ารถคันนั้นแล่นออกไปนานเท่าไร จึงมาถึงจุดหมายปลายทาง…ศูนย์วิจัยด้านสมอง
ตอนอินเสี่ยวเสี่ยวถูกจับขึ้นรถนั้น ไม่เพียงมือเท้าของเธอถูกมัดไว้ ตาถูกผ้าผูกตาปิดไว้ ปากก็ถูกปิดด้วยเทปกาว แล้วยังถูกฉีดตัวยาอะไรก็ไม่รู้เข้าอีก จากนั้นเธอก็หมดสติไป
“โอย คุณหนูอี้ นี่คือหนูทดลองของพวกเราคราวนี้งั้นเหรอ ช่างจัดการได้ง่ายดายซะเหลือเกิน” มาร์ตินฉีดยาสลบให้อินเสี่ยวเสี่ยว ในมือยังถือเข็มที่ภายในหลอดว่างเปล่า หันมายิ้มกับเธอพร้อมกับพูดด้วยภาษาจีนสำเนียงไม่ชัดนัก
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้วขมวดคิ้ว “หึ มาร์ติน คุณอย่าให้เธอไปอะไรไปล่ะ ฉันยังต้องใช้ความทรงจำในหัวสมองของเธออยู่นะ”
มาร์ตินฟังแล้วก็ชูเข็มในมือขึ้น หัวเราะพลางว่า “วางใจเถอะน่า คุณหนูอี้ ข้างในนี้แค่ยาธรรมดาเอง ไม่ส่งผลอะไรกับความทรงจำของเธอหรอก”
มาร์ตินก็คือหมอเฉพาะทางด้านสมองที่อี้อวิ๋นฉังเชิญมาจากต่างประเทศในครั้งนี้นั่นเอง ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะเพิ่งมาถึง แต่เมื่อก่อนเขาเคยทำวิจัยอยู่ในประเทศจีนมาเป็นเวลานาน จึงพูดภาษาจีนได้ไม่เลวนัก
จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ก็คือศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งซึ่งเมื่อก่อนมาร์ตินเคยทำวิจัยอยู่ในประเทศจีนมาหลายปี
พอถึงจุดหมาย อี้อวิ๋นฉังและมาร์ตินลงจากรถก่อน คนขับรถแบกร่างอินเสี่ยวเสี่ยวตามติดพวกเขาไป ส่วนพวกลูกน้องอี้อวิ๋นฉังให้พวกเขากลับไปก่อน
ศูนย์วิจัยห้ามบุคคลภายนอกเข้า แต่หมอมาร์ตินมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง ทั้งยังเคยทำวิจัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน เขาจึงพาอี้อวิ๋นฉังกับพวกเข้ามาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
มาร์ตินพาพวกเขามาที่ด้านหลังศูนย์วิจัย ทันใดนั้นก็มีชายผมหยักศกสีน้ำตาลทองคนหนึ่งโผล่มาต้อนรับ เขารูปร่างผอมสูง โครงหน้าเป็นสัน เบ้าตาลึก จมูกโด่งเป็นสันกับดวงตาสีฟ้า หน้าตาบอกว่าเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง
แต่ที่ไหนได้พอเขาเอ่ยปากกลับพูดเป็นภาษาจีนคล่องปรื๋อ “อาจารย์ครับ ไม่เจอกันนาน ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว!” เขาพูดกับมาร์ตินอย่างตื่นเต้นดีใจ
อี้อวิ๋นฉังเห็นเขาแล้วขมวดคิ้ว มาร์ตินทักทายกับชายคนนั้นแล้ว รีบหันมาอธิบายกับเธอว่า “คุณหนูอี้ นี่คือลูกศิษย์ของผม เป็นนักสะกดจิต ผมคิดว่าบางทีเขาอาจมีส่วนช่วยต่อแผนการของเราก็ได้ จึงให้เขาเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย…แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่ชอบ ก็คิดซะว่าเขาเป็นผู้ช่วยผมก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อี้อวิ๋นฉังคิดดูแล้วพูดขึ้น
ชายคนนั้นรีบหันมาทักทายอี้อวิ๋นฉัง “สวัสดีครับ คุณหนูอี้ ผมชื่อเบนนี่”
“สวัสดีค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเรียบ
ต่อจากนั้น มาร์ตินและเบนนี่ก็นำทางอี้อวิ๋นฉังกับคนรถที่แบกร่างอินเสี่ยวเสี่ยวไปยังส่วนลึกของศูนย์วิจัย ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงห้องใต้ดินหลังหนึ่ง
“มาร์ติน นี่คุณทำอะไรน่ะ” อี้อวิ๋นฉังเห็นมาร์ตินพาเธอมาที่ห้องใต้ดินก็ถามอย่างสงสัย
“คุณหนูอี้ เดี๋ยวคุณก็รู้ ตอนนี้ เข้ามาก่อนเถอะ” พูดพลางมาร์ตินก็เปิดประตูห้อง
ประตูเปิดออก อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าภายในเป็นห้องโล่งกว้าง จัดวางเครื่องมือแพทย์สารพัดชนิด ทั้งมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ต้องการความละเอียดสูงอีกหลายอย่างวางรวมอยู่ด้วยกัน ดูแล้วมีความเป็นมืออาชีพมากทีเดียว
ทุกคนเดินเข้าไป มาร์ตินพูดกับคนรถว่า “เอาล่ะ วางคนไข้ของเราไว้บนเตียงด้านในเถอะ” พูดพลางก็ชี้ไปยังส่วนลึกของห้อง
ถึงตอนนี้ อี้อวิ๋นฉังจึงเห็นว่าภายในห้องยังมีกั้นห้องอีกแห่ง วางเตียงสองตัวกับอุปกรณ์ขนาดใหญ่กว่าและเยอะกว่าอีกด้วย
คนรถวางร่างที่ยังไร้สติของอินเสี่ยวเสี่ยวไว้บนเตียงหลังหนึ่งแล้ว มาร์ตินก็พูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหนูอี้ คุณไปนอนอีกเตียงหนึ่งเถอะ ผมจะได้รีบดำเนินการตามแผน เชื่อมือผม อีกไม่นาน คุณก็จะได้ครอบครองความทรงจำของเด็กผู้หญิงคนนี้”
“จริงเหรอคะ” อี้อวิ๋นฉังพอได้ฟัง ตาเป็นประกายวาววับ แล้วรีบนอนลงบนเตียงอีกหลังหนึ่ง
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูอี้ คุณรอดูก็แล้วกัน!”
อี้อวิ๋นฉังกับอินเสี่ยวเสี่ยวนอนลงแล้ว มาร์ตินก็ให้เบนนี่สะกดจิตอี้อวิ๋นฉัง จากนั้นก็ติดสารพัด ‘ท่อ’ ลงบนศีรษะของพวกเธอทั้งสอง
‘ท่อ’ พวกนี้ไม่ใช่ท่อธรรมดาทั่วไป พวกเขาใช้อุปกรณ์ควบคุมพวกมันเพื่อส่องดูความทรงจำส่วนลึกในสมองของคนเรา และยังสามารถใช้มันส่งผ่านความทรงจำไปให้อีกคนหนึ่งได้ด้วย
หลังจากติด ‘ท่อ’ แล้ว มาร์ตินก็เริ่มจัดการให้เครื่องทำงาน ดึงความทรงจำจากส่วนลึกของสมองอินเสี่ยวเสี่ยวออกมาอย่างช้าๆ
อี้อวิ๋นฉังพอถูกสะกดจิต ก็นอนลงบนเตียง เหมือนเข้าสู่ภาวะหลับลึกในห้วงความฝัน
ในฝัน เธอเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง คือเซียวจิ่งสือ เธอเข้าไปหาเขาอย่างยินดี แต่เขาไม่ได้เดินมาทางเธอ กลับเดินไปที่ข้างกายผู้หญิงอีกคน คืออินเสี่ยวเสี่ยว และก็คือหลินหว่าน
อี้อวิ๋นฉังดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่า นี่คือหลินหว่าน และนี่คือภาพความทรงจำของอินเสี่ยวเสี่ยวก่อนสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้เธอได้เห็นความทรงจำของอินเสี่ยวเสี่ยว
ไม่นานนัก อี้อวิ๋นฉังก็เห็นหลินหว่าน เป็นภาพที่อินเสี่ยวเสี่ยวตอนที่อยู่กับเซียวจิ่งสือก่อนสูญเสียความทรงจำ นาทีที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่พวกเขานัดเดทกันเป็นครั้งแรก นาทีที่หลินหว่านหวั่นไหวต่อเซียวจิ่งสือเป็นครั้งแรก…ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นความทรงจำอันงดงามที่มีต่อเซียวจิ่งสือซึ่งหลินหว่านเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
อี้อวิ๋นฉังทางหนึ่งจดจำความทรงจำเหล่านี้ เพื่อใช้ในยามที่เซียวจิ่งสือเค้นถามเธออีก ทางหนึ่งก็สำรวจดูหลินหว่านอย่างละเอียด เพื่อต่อไปจะได้ลอกเลียนท่าทางของเธอให้ได้ดียิ่งขึ้น
อี้อวิ๋นฉังดูความทรงจำจนหมด เธอค่อยๆ ฟื้นคืนสติ รู้สึกตัวตื่นขึ้น
“คุณหนูอี้ ตื่นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ความทรงจำพวกนี้อยู่ในสมองของคุณแล้วหรือยัง”
อี้อวิ๋นฉังลืมตาขึ้น ก็เห็นมาร์ตินถามเธอด้วยทีท่าร้อนรนและรอคอยคำตอบ
อี้อวิ๋นฉังใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความทรงจำพวกนี้ ผงกศีรษะ “อื้ม ความทรงจำพวกนี้ ฉันเห็นมันทั้งหมดแล้ว วางใจได้ เรื่องนี้สำเร็จแล้วฉันจะโอนค่าตอบแทนเข้าบัญชีให้คุณแน่”
“หึหึ ขอบคุณคุณหนูอี้มากเลยครับ” มาร์ตินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “งั้นคุณหนูอี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ”
“ไม่มีนี่” อี้อวิ๋นฉังส่ายศีรษะตอบ
ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูอี้? คุณไม่ใช่หลินหว่าน? คุณเป็นใครกันแน่?”
ที่แท้ตอนที่อี้อวิ๋นฉังได้สติตื่นขึ้นมา อินเสี่ยวเสี่ยวที่หมดสติอยู่ก็ฟื้นขึ้นมาด้วย เธอจึงได้ยินคำสนทนาของพวกเขาทั้งสองอย่างชัดเจน
อี้อวิ๋นฉังหันไปทางต้นเสียงแล้วขึงตาใส่อินเสี่ยวเสี่ยวอย่างโกรธแค้น บ้าชะมัด ให้หล่อนรู้ว่าเธอไม่ใช่หลินหว่านตัวจริงจนได้สิน่า แววตาของอี้อวิ๋นฉังทอประกายดุร้ายขึ้นมา
ตอนจับตัวอินเสี่ยวเสี่ยวมานั้น เธอได้เผยตัวให้อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นแล้ว ตอนนี้ ยังให้เธอรู้ว่าตัวตนของเธอเป็นของปลอมอีก ดูท่าว่าเธอจะปล่อยให้เธอกลับไปอีกไม่ได้ซะแล้ว ไม่อย่างนั้น เธอไปพูดมั่วซั่วต่อหน้าเซียวจิ่งสือแล้วจะทำอย่างไร อย่างนั้นไม่ทันไรเธอคงต้องถูกเปิดโปงแน่!
คิดดูแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็ถามมาร์ตินว่า “ลูกศิษย์ของคุณเมื่อกี้ไปไหนแล้ว”
มาร์ตินตอบอย่างไม่เข้าใจนักว่า “เขาไปจัดเก็บเครื่องมือแล้ว คุณหนูอี้ คุณหาเขามาทำไมครับ”