“แค่ก…”
คนทั้งหมดฟังแล้ว ก็สะกดกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว ต่างมีความคิดอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า ถั่ว…มีถั่วไปงอกอยู่ที่ตาได้อย่างไร ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะโมโหจริงๆ แล้ว
ขันทีน้อยสะอึกไปชั่วครู่
คิดไม่ถึงเลย โลกนี้มีองค์ชายสี่ที่ไม่มีกฎระเบียบคนหนึ่งยังไม่พอ ถึงกับมีแม่นางเยี่ยเม่ยที่ไม่เห็นฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่ในสายตาอีก
การแต่งเป็นพระชายารององค์ชายใหญ่ สำหรับนางที่มีที่มาไม่ชัดเจน ก็เท่ากับเป็นเรื่องอาจเอื้อมแล้ว
จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ของนางกับองค์ชายสี่ไม่ธรรมดา
เดิมไม่ว่าอย่างไร ฮองเฮาก็เป็นเสด็จแม่ขององค์ชายสี่ เป็นมารดาแท้ๆ ของเขา เขาจะต้องมีความเคารพอยู่บ้าง ไม่แน่อาจจะตำหนิแม่นางเยี่ยเม่ยที่เอ่ยคำพูดเช่นนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่องค์ชายสี่ฟังแล้ว กลับตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หว่างคิ้วแฝงความโกรธอย่างเห็นได้ชัด เอ่ย “บางทีอาจไม่ใช่มีถั่วงอกออกมาง่ายๆ แบบนั้น”
คนทั้งหมดจนคำพูด พวกเขาในยามนี้อยากไอออกมาเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามฮองเฮาก็เป็นมารดาของแผ่นดิน หากฮองเฮาอยู่ที่นี่ฟังคำพูดของสองคนนี้ คาดว่าถ้าไม่โมโหจนคลุ้มคลั่งก็โมโหจนเป็นลมไปแน่
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันมองเยี่ยเม่ย นางไม่พอใจฮองเฮาอย่างรุนแรง ทั้งไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็เป็นมารดาของเขา
เพื่อไม่ให้เยี่ยเม่ยโมโหฮองเฮาจนพานมาถึงตน เขารีบเอ่ยแสดงจุดยืนทันที “แม่นางเยี่ยเม่ย หากเจ้าไม่อยากให้เสด็จแม่มีชีวิตอยู่ อย่างนั้นเยี่ยนก็รับรองได้ว่าเสด็จแม่จะตายในเร็ววันนี้ หากนางไม่อาจตายในเร็ววัน เยี่ยนก็สามารถส่งนางไปได้ด้วยตัวเอง เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่านางจะตายเร็วหรือไม่ คำสั่งของนางพวกเราไม่ต้องเชื่อฟัง”
คนทั้งหมด “…”
ปัญหาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ปัญหาการเลือกฝั่งนี้ องค์ชายสี่ช่างเด็ดขาดเสียจริง เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของ “ลูกอกตัญญู” ร่วมกับ “สามีแสนดี” เลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงจุดยืน เยี่ยเม่ยก็ไม่โมโหแบบเมื่อครู่อีกแล้ว
นางสูดลมหายใจลึก หันกลับไป สาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป “พระราชเสาวนีย์นี้ข้าไม่รับ ท่านจัดการก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเดินจากไป ขันทีน้อยส่งสารหน้าซีดเผือดลงทันที คำพูดเมื่อครู่ของแม่นางผู้นั้น องค์ชายสี่ถึงหยุดการเข่นฆ่า เขาถึงเก็บชีวิตเอาไว้ได้
นางจากไปเช่นนี้ จู่ๆ องค์ชายสี่คงไม่ฆ่าเขาหรอกนะ
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยจากไปแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมรู้ว่านางโมโห
ดวงตาของเขากลอกมองขันทีผู้นั้น ไอสังหารรุนแรง คราวนี้อวี้เหว่ยเอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านจำเป็นต้องมีคนกลับไปส่งข่าวผู้หนึ่ง”
อย่าวู่วามเชียว อย่าเพิ่งฆ่าคน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นคำรบหนึ่ง มองขันทีน้อยสั่งว่า “เจ้ากลับไปถ่ายทอดคำสั่งข้า บอกเสด็จแม่ว่า หากนางไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียงตายไว ก็ถอนรับสั่งของตนกลับไปซะ ส่งพระราชเสาวนีย์ที่เยี่ยนพอใจมาใหม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยพยักหน้า ตัวสั่นเทิ้มราวกับใบไม้ปลิดปลิวกลางพายุ หวังแต่ว่าองค์ชายสี่จะเอ่ยจบไวๆ เขาจะได้รีบกลับไปรายงานอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงไพเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง “บอกเสด็จพ่อให้ดูแลสตรีของตนให้ดี หากเขายังคิดนั่งอยู่บนบัลลังก์”
คราวนี้
เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้ ตกใจเสียจนเก็บเสียงเงียบ คิดแต่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดใดๆ ทั้งนั้น
ข่มขู่ฝ่าบาทเช่นนี้ ทั่วทั้งหล้าเกรงว่าจะมีองค์ชายสี่เพียงผู้เดียว นี่มันอกตัญญูเหลือเกิน
“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยพยักหน้ารัวๆ คล้ายมีดกำลังสับต้นหอม กลัวว่าหากเขาช้าสักนิดจะพานถูกโมโหไปด้วย
จากนั้น ขันทีน้อยก็คล้ายได้ยินเสียงสวรรค์ “ไสหัวไปได้แล้ว”
น้ำเสียงขององค์ชายสี่โดยพื้นเพก็น่าฟังอยู่แล้ว ยามเปล่งคำพูดออกมานั้น ขันทีน้อยรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ซาบซึ้งใจที่สุดในชีวิตของตนเอง
“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะกลิ้ง[1]ไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ขันทีน้อยกอดพระราชเสาวนีย์ ทำตัวคล้ายเป็นก้อนกลมกลิ้งออกไป
คนทั้งหมด “…”
พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นวิธีไสหัวออกไปแบบใหม่
ในใจยังชื่นชมขันทีน้อยมาก มิน่าถึงเป็นขันทีถ่ายทอดรับสั่งของฮองเฮาได้ ช่างยืดได้หดได้ ไหวพริบดีนัก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รีบหมุนตัว ติดตามเยี่ยเม่ยไป
อวี้เหว่ยเองก็ตามไปติดๆ
……
เวลานี้ ในห้องรับรองใหม่ของเป่ยเฉินอี้
เซียวชินกำลังจับชีพจรให้อี้อ๋อง เขามีสีหน้าขรึมลง จ้องเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “อี้อ๋อง ท่านเองก็น่าจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี ใช้กำลังภายใน เป็นความคิดที่ขาดสตินัก”
“ข้าเข้าใจดี ทำให้หมอปีศาจลำบากแล้ว” คำพูดของเป่ยเฉินอี้ เกรงอกเกรงใจมาก
เซียวชินรั้งมือที่จับชีพจรกลับมา เขียนเทียบยาส่งให้ชิงเกอ “ไปต้มยามา”
ชิงเกอรีบเดินออกไปสั่งการคนด้านนอก
ถัดมา เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ยากนักที่ข้าจะแปลกใจ ไฉนอี้อ๋องต้องยั่วโมโหเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย ท่านหาใช่คนชอบหาเรื่องยุ่งยาก”
เป่ยเฉินอี้คิดทำอะไร เขาคาดเดาได้ชัดเจน แต่ในเส้นทางสายนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่อุปสรรคขัดขวางของเป่ยเฉินอี้ แม้กระทั่งนิสัยที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเป่ยเฉินอี้ในอนาคตได้อีกด้วย
เชื่อว่าปัญหาที่เขามองออก เป่ยเฉินอี้ก็ต้องเข้าใจแน่
แต่เพราะอะไรกัน…
วันที่สองของการมาถึงชายแดน คนทั้งสองก็ลงไม้ลงมือ ทั้งทำลายห้องหับ เจ้าเมืองหลินรีบร้อนเตรียมห้องรับรองใหม่ให้อี้อ๋อง
เขาออกไปข้างนอกก็แค่ครึ่งชั่วยาม กลับมาเห็นซากปรักหักพัง เขายังหลงคิดว่าตัวเองจากไปกี่ปีกันแน่ เมืองชายแดนถึงได้ประสบชะตากรรมผันแปรเช่นนี้
ในระหว่างที่เขาไม่พูดจา
เป่ยเฉินอี้มองเซียวชินทีหนึ่ง ถามเสียงเข้มว่า “เจ้าเคยพบเยี่ยเม่ยไหม”
“เคยพบ” เซียวชินไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ เมื่อก่อนตอนเขาเป็นจั่วอี้อ๋องของต้ามั่ว เคยทำศึกกับเยี่ยเม่ยจะไม่เคยพบได้อย่างไร
แววตาของเป่ยเฉินอี้เย็นเยือก สายตายากหยั่งจ้องเซียวชิน “อย่างนั้นเจ้าว่านางมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“อะไรผิดปกติหรือ” เซียวชินอึ้งไปแล้ว
เป่ยเฉินอี้เห็นสีหน้าที่ดูไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งทำของเซียวชิน ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมา “ปีนั้นเจ้าเคยพบจงเจิ้งซีไหม”
“ข้าได้รับข่าวจากอาหรุ่ย ตอนที่ไปช่วยเหลือที่เมืองหลวงของราชสำนักจงเจิ้ง องค์หญิงผู้นั้นก็ตกน้ำสิ้นชีพไปแล้ว อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ข้าไปเมืองหลวง ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยพบนาง” เซียวชินก็จนปัญญาเช่นกัน ทั่วทั้งหล้าต่างมีข่าวว่าเขากับจงเจิ้งซีมีความสัมพันธ์มาก่อน ส่วนเขาแม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยเห็น
เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออก สายตาที่มองเซียวชินก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย กล่าวเสียงนิ่งว่า “เรื่องนี้ช่างน่าสนใจนัก”
“อี้อ๋องถามไปทำไม” เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความแปลกใจ
เป่ยเฉินอี้เงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยเสียงขรึมว่า “ระหว่างข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกรงว่าจะเกิดข้อพิพาทยากคลี่คลายแล้ว”
“เพราะอะไร” เซียวชินย่อมไม่โง่ ฟังออกมาว่าภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่
สายตาล้ำลึกยากหยั่งของเป่ยเฉินอี้ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำเสียงจริงจังกล่าวว่า “ข้าจะให้นางเป็นพระชายาอี้อ๋อง”
[1] กุ่น (滚) ที่แปลว่าไสหัวไป สามารถแปลว่ากลิ้งได้ด้วย